The Vermillion Bird หงส์ทะยานฟ้า

59.0K · ยังไม่จบ
Be_asterfly ( 蝴蝶 )
23
บท
9.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

นางเข้าวังมาเพื่อเป็นสนม แม้นเกิดมาอาภัพต่ำต้อย แต่ชาตินี้นางขอสาบานว่าจะไม่ยอมอยู่ใต้ฝ่าเท้าให้ใครเหยียบย่ำอีก จะขึ้นไปให้สูงเหนือใคร แต่เดี๋ยวนะ...นี่นางมาเป็นสนมหรือแม่นมฮองเฮากันแน่?

นิยายจีนโบราณนิยายรักฮ่องเต้ท่านอ๋องพลิกชีวิตฮองเฮาดราม่านางกำนัลจีนโบราณ

บทที่ 1 ข้าสาบาน

โบราณได้กล่าวไว้...บุรุษล้มตายเพราะสู้รบฉันใด เหล่าสตรีงามต่างล้มตายเพราะพิษรักฉันนั้น ผู้ชนะศึกคือผู้พิชิตประวัติศาสตร์ วังหลังที่เปรียบได้ดั่งสนามรบแห่งสตรีเพศเองก็มีผู้ชนะเช่นกัน

วันที่ 5 เดือน 7 ปีที่ 10 รัชศกซื่อจี่

ภายในพระราชวังหลวงแห่งรัฐฉิน สาวงามมากมายต่างภาวนาขอเพียงให้ตนเป็นผู้ถูกเลือก วาดฝันไว้สวยหรูว่าถ้าหากตนได้เป็นผู้ครอบครองดวงใจมังกร ชีวิตทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ของนางและครอบครัวจะต้องสุขสบายยิ่งกว่าผู้ใด

สาวงามที่ผ่านการคัดเลือกตั้งแต่ด่านแรกจนมาถึงการคัดเลือกด่านสุดท้ายค่อยๆ ทยอยเดินผ่านประตูเสินอู่เหมิน (ประตูทิศใต้สำหรับวังหลัง) เข้าสู่เขตพระราชฐานชั้นในด้วยหัวใจที่เต้นระรัวไปด้วยความตื่นเต้นผสมปนเปไปกับความหวั่นใจ แต่เพื่อเป็นการผ่อนคลายความเครียดของเหล่าสาวงาม การคัดเลือกนางสนมครั้งสุดท้ายจึงได้รับอนุญาตจากฮองเฮาให้พวกนางได้พักผ่อนพูดคุยกันเล็กน้อยก่อนที่กงกงผู้ดูแลพิธีการคัดเลือกนางสนมจะให้ขันทีมาขานชื่อเหล่าสาวงามเพื่อเข้าพบฮ่องเต้และฮองไทเฮาครั้งละห้าคน

หลี่เจินลี่ หญิงสาวร่างเล็กที่มีใบหน้าสวยสะอาดตาแต่แฝงด้วยแววดื้อรั้นกำลังยืนพิงกำแพงฟังเสียงของเหล่าคุณหนูที่มาจากตระกูลสูงแข่งกันอวดโฉมเครื่องประดับที่ใส่มาในวันคัดเลือกนางสนมด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกอึดอัด ในใจของเจินลี่คิดเพียงว่าพวกคุณหนูไร้เดียงสาเหล่านี้คงไม่เคยได้พบเจอกับความผิดหวังและสิ้นหวัง ต่างคิดว่าตนเองต้องเป็นหนึ่งในผู้ถูกเลือกเป็นนางสนมอย่างแน่นอน ดูถูกคนเช่นนางที่มีศักดิ์ต่ำกว่าด้วยสายตาหยามเหยียดไม่ปิดบัง แต่แล้วยังไงเล่า...หลังจากถูกเลือกแล้วพวกนางต่างก็มีศักดิ์เทียบเท่ากัน เป็นได้เพียงแค่นางสนม แต่เอาเถอะ...พวกคุณหนูน้อยเหล่านี้จะคิดไว้หรือไม่ก็ช่าง ตัวนางคิดเอาไว้แล้วว่าถึงอย่างไรก็ต้องหาทางไปให้สูงกว่าตำแหน่งนางสนมชั้นน้อย ต้องเรียกความเห็นใจจากทุกสิ่งที่มี เพราะหากไร้ซึ่งความเมตตาจากฮ่องเต้ ต่อให้สามารถผ่านเข้าไปเป็นนางสนมได้ สุดท้ายแล้วมันก็จะไม่ต่างจากตายทั้งเป็น กลายเป็นเพียงนางสนมไร้ยศ ถูกรังแก กดหัว แย่งความดีความชอบ วันที่จะถูกผู้อื่นเรียกว่า 'พระสนม' ก็คงไม่มีทางมาถึง

“คุณหนูตู้...ไม่เจอกันเสียนานนะเจ้าคะ คุณหนูตู้สบายดีไหม” เสียงเจื้อยแจ้วช่างประจบแสนคุ้นหูของคุณหนูนางหนึ่งดังขึ้นไม่ไกลจากที่ที่เจินลี่ยืนอยู่สร้างความรำคาญใจจนเจินลี่อดไม่ได้ที่จะเหลือบตาไปมอง นางถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายยิ่งกว่าเก่าเมื่อสายตาของนางดันสบเข้ากับคุณหนูผู้นั้นพอดี

“แหม...ข้าสบายดียิ่งนักคุณหนูชิง” คุณหนูตู้ตอบกลับด้วยท่าทีอ่อนหวาน “ข้าบอกเจ้าตั้งกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกข้าว่าพี่หญิง ส่วนข้าก็จะเรียกเจ้าว่าน้องหญิง เรารู้จักกันมาตั้งแต่ยังเล็ก บิดาเราสองคนต่างก็สนิทสนมกันเป็นอย่างดี มาเรียกข้าคุณหนูตู้ให้ดูห่างเหินเช่นนี้ ไม่กลัวข้าเสียใจที่เจ้าทำตัวเหินห่างบ้างรึ”

“เจ้าค่ะพี่หญิง น้องแค่ไม่อยากทำตัวไร้มารยาท พี่หญิงมีศักดิ์สูงกว่าน้อง เป็นถึงบุตรีท่านแม่ทัพ...ถึงจะสนิทกันก็ต้องรู้จักมีมารยาทกับผู้ที่อาวุโสกว่าอย่างพี่หญิงอยู่ดี” โฉมงามทั้งสองเมื่อพูดจบก็ส่งยิ้มหวานฉ่ำปานน้ำผึ้งเดือนห้าใส่กัน คุณหนูชิงผู้มีศักดิ์ต่ำกว่าลอบใช้สายตากดขี่เหล่าหญิงสาวรอบกายเพื่อบอกเป็นนัยๆ ว่าตนเองมีคุณหนูตู้ผู้สูงศักดิ์เป็นสหายของตน ...รู้จักข่มตั้งแต่ยังไม่ทันจะถูกเลือก...สมเป็นคุณหนูชิงเสียจริง

“แล้วแต่เจ้าเถอะ ข้าไม่เถียงเจ้าแล้ว ...ข้ายินดีกับเจ้าด้วยนะที่ผ่านมาได้ถึงขั้นนี้ หากเราสองพี่น้องได้เป็นพระสนมของฮ่องเต้...ข้าก็ขอให้เราสองรักใคร่กันเช่นทุกวันนี้นะน้องหญิง เพราะด้านในนั้นล้วนมีแต่การแก่งแย่งชิงดีกัน ไม่อาจรู้ได้เลยว่าใครบ้างที่เป็นมิตรแท้ แต่หากมีเจ้าอยู่เคียงข้างข้าก็สบายใจได้...เพราะเจ้าคงไม่มีวันทรยศข้า จริงไหมน้องหญิง” คุณหนูตู้กล่าวพลางดึงมือบอบบางของหญิงสาวตรงหน้ามากุมไว้อย่างอ่อนโยนพร้อมกับยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มที่ดูน่าหลงใหล

“เจ้าค่ะพี่หญิง...น้องสัญญา” คุณหนูชิงยิ้มตอบกลับก่อนจะกุมมือคุณหนูตู้ไว้แน่น

เจินลี่แม้จะไม่ได้มองแต่หูก็ยังได้ยิน ในใจทำได้เพียงยิ้มเยาะท่าทีอ่อนหวานจอมปลอมกับการแสร้งทำตัวหัวอ่อนของทั้งสอง ทำไมเจินลี่จะไม่รู้ว่าคุณหนูตระกูลตู้เป็นคนเช่นไร ในเมื่อตัวนางกับคุณหนูตู้นั้นเกิดห่างกันเพียง 1 ปี อีกทั้งบิดาของนางกับคุณหนูตู้ก็สนิทชิดเชื้อกันเสียขนาดที่ว่า... หากวันใดไม่ได้เผาพริกเผาเกลือสาปแช่งกันคงได้ลงแดงสิ้นใจตายกันเสียวันนั้นเป็นแน่

ส่วนคุณหนูตระกูลชิงแม้จะมีศักดิ์ต่ำกว่าคุณหนูตู้อย่างที่ปากว่า แต่ก็ไม่ได้มากมายนัก นางเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของนายกองชิง จึงได้รับความรักจากบิดาอย่างมากจนทำให้นางกลายเป็นคุณหนูผู้ขึ้นชื่อเรื่องความเอาแต่ใจ ที่แย่ที่สุดสำหรับเจินลี่คือคุณหนูชิงมักคอยทำตัวเป็นกำลังเสริมให้กับคุณหนูตู้อยู่ตลอดเวลา นั่นเรียกได้ว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้เจินลี่รู้สึกไม่สบายใจเสมอเวลาที่ต้องเจอกับคุณหนูทั้งสองนางนี้ ...บิดาพวกนางไม่ถูกก็จริง แต่เหตุใดนางต้องมาโดนคุณหนูตู้เขม่นอยู่ตลอดเวลาที่เจอหน้ากันด้วยเล่า?

“แหม พี่หญิง... ท่านยังคงงดงามไม่เปลี่ยนเลยนะเจ้าคะ เมื่อเปรียบเทียบกับใครบางคนแล้วก็ช่างห่างชั้นกันจนเทียบไม่ติด” คุณหนูชิงพูดพลางเหลือบตามองมาที่เจินลี่

“น้องหญิง... เจ้าชมข้าเกินไปแล้วนะ” คุณหนูตู้ยิ้มออกมาด้วยความเขินอาย

แล้วทำไมเจ้าไม่ชมนางกลับบ้างล่ะ?

คุณหนูตระกูลตู้ก็คือคุณหนูตระกูลตู้ ไม่เคยเอ่ยปากชมใครเพราะนางนั้นถือว่าตนเป็นที่หนึ่งในเมืองหลวง เจินลี่ยังคงแอบเขม่นอยู่ในใจแต่ภายนอกนั้นยังคงปั้นหน้านิ่งทำราวกับว่าไม่ได้ยินอะไรเพราะรู้ดีว่าการมีปัญหากับใครในวันนี้คงไม่ใช่เรื่องที่ดีในอนาคต

“พี่หญิงเกิดมาในตระกูลสูงศักดิ์ มีหน้ามีตาในสังคม ต่างจากบุตรสาวจากตระกูลยากไร้บางคน... มารดาหรือก็ทิ้งไป บิดาเองก็ป่วยหนัก ชีวิตช่างน่าสงสาร หากไม่ได้เงินค่าสินสอดนางสนมในครั้งนี้ล่ะก็...คงไม่มีเงินไปจ่ายค่ายาให้บิดาของนางเป็นแน่ ข้าละสงสารนางยิ่งนัก เพียงคิดว่าถ้าหากวันนี้บิดาของนางไม่มียามารักษาจนต้องจากโลกนี้ไปในเวลาอันรวดเร็ว น้องก็อดสะเทือนใจไม่ได้เลยเจ้าค่ะพี่หญิง” คุณหนูชิงพูดก่อนจะปาดน้ำตาที่เอ่อคลอออกด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนบาง

เจินลี่ได้ยินเพียงประโยคแรกก็รับรู้ได้ทันทีว่าคุณหนูชิงคงหมายถึงตนเอง เด็กน้อยตระกูลชิงก็ยังคงเป็นเด็กน้อยตระกูลชิง การที่ได้อยู่กับคุณหนูตู้ไม่ได้ช่วยให้นางรู้จักสงบปากสงบคำเลยสักนิด ตัวเจินลี่เองก็เข้าใจอยู่หรอกว่าบิดาของตนและบิดาของคุณหนูตู้นั้นหาได้ลงรอยกัน แต่เหตุใดความบาดหมางของบิดาต้องลามมาถึงตัวนางด้วยเล่า ทั้งที่ไม่เคยเกี่ยวข้องกันเลยสักนิด ความเกลียดชังมันส่งต่อกันทางสายเลือดหรืออย่างไร

ไหนจะคำพูดคำจาที่ฟังราวกับกำลังสาปแช่งบิดาของเจินลี่ให้ตายเสียวันนี้ก็ทำเอาเจินลี่แทบจะทนไม่ไหว จะพูดเรื่องไหนนางไม่ว่า...แต่พูดถึงบิดานางแบบนี้มันหาเรื่องกันชัดๆ หากไม่ติดว่าขันทีเข้ามาขัดด้วยการประกาศรายชื่อสาวงามชุดแรกที่จะต้องเข้ารับการคัดเลือกล่ะก็...วันนี้นางคงต้องขอลองทำตัวเป็นคุณหนูชิงดูสักวัน

“ซิ่วซุนยี่ ซื่อเสี่ยวชิง หลิงไป๋ฮวา หลี่เจินลี่ อู่หงเฟย” สิ้นเสียงขันที เหล่าสาวงามที่ถูกเรียกก็รีบตั้งแถวเดิมตามไปเพื่อเข้าสู่การคัดเลือกรอบสุดท้าย แม้จะบอกว่ารอบสุดท้าย...แต่ในความเป็นจริงมันคือปราการด่านแรกต่างหาก

สาวงามทั้งห้าเดินเรียงแถวกันเข้ามาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยก่อนจะหยุดลงที่หน้าพระที่นั่งของว่านไทเฮาและหรงฮองเฮา ปกติแล้วฮองไทเฮากับฮ่องเต้จะเป็นผู้คัดเลือกนางสนมด้วยตนเองในการคัดเลือกครั้งสุดท้าย แต่การคัดเลือกครั้งนี้ฮ่องเต้ไม่สามารถเสด็จมาได้ด้วยตนเองจึงมีรับสั่งฮองเฮามาเป็นผู้คัดเลือกแทน ทำให้เหล่าสาวงามที่ได้ทราบเรื่องอย่างกะทันหันถึงกับหน้าถอดสีไปตามกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องพยายามให้ดีที่สุดและไม่ไปขัดใจทั้งสองพระองค์เข้า

ขันทีทำการประกาศชื่อทีละคนให้ว่านไทเฮาและหรงฮองเฮาทราบก่อนที่ทั้งสองพระองค์จะถามคำถามเพื่อทดสอบว่าหญิงสาวผู้นั้นคู่ควรจะเข้ามาอยู่ในวังหลังหรือไม่ หากพึงพอใจจะเก็บป้ายชื่อและมอบดอกไม้ประจำตำหนักให้ โดยดอกไม้ดังกล่าวจะเป็นเครื่องหมายยืนยันว่าหญิงสาวผู้นั้นได้ถูกเลือกแล้ว แต่หากโชคร้ายไม่ถูกเลือกป้ายชื่อของหญิงสาวผู้นั้นจะถูกคว่ำลง

เจินลี่เป็นคนที่สี่จึงพอมีเวลาให้คาดเดาคำถามจากฮองเฮาและฮองไทเฮามากกว่าหญิงสาวอีกสามคนที่ไม่ได้เตรียมใจจะมาเจอกับฮองเฮา ทำให้หญิงสาวบางคนตอบด้วยน้ำเสียงสั่นจนถูกคว่ำป้ายชื่ออย่างรวดเร็ว

“หลี่เจินลี่ ลูกสาวขุนนางหลี่” ขันทีหนุ่มประกาศ

“ถวายพระพรฮองเฮา ถวายพระพรฮองไทเฮา ขอทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปีเพคะ”

“ช่างพูดจาฉะฉานยิ่งนัก อีกทั้งยังดูฉลาด แม้ใบหน้าจะไม่ใช่ในแบบที่ฮ่องเต้ชอบ...เจ้าคิดอย่างไรฮองเฮา?” ว่านไทเฮากล่าว พลางสำรวจมองท่าทางการวางตัวของเจินลี่ไปด้วย

“เพคะเสด็จแม่” หรงฮองเฮาพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ยถามคำถามทั่วไป “หลี่เจินลี่ ตัวลี่ในชื่อของเจ้ามาจากเหมยลี่ ที่แปลว่าความสวยงามอย่างนั้นสินะ ดูเข้ากับเจ้ายิ่งนัก” ฮองเฮาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบต่างกับคำชมที่ดูอ่อนโยน

“ไม่ใช่เพคะ เป็นตัว ลี่ ที่แปลว่าอำนาจเพคะ” เจินลี่ตอบกลับไปด้วยความมั่นใจ แต่เมื่อรู้สึกตัวก็ถึงกับต้องกล่าวโทษตัวเองในใจเพราะความลืมตัว ...ถึงมันจะเป็นความจริง แต่ตอบแบบนั้นไปฮองเฮาต้องไปพอพระทัยเป็นแน่ ปากข้านี่มัน...

เจินลี่เผลอตัวปล่อยอารมณ์ตามความรู้สึกที่แท้จริงออกไปเสียอย่างนั้น 'ลี่' อักษรตัวหนึ่งในชื่อของนางนั้นแสดงถึงอำนาจ และนางชอบชื่อของนางมากเสียจนไม่อาจปกปิดความภูมิใจและมั่นใจจนเกินตัวไว้ได้

“หึ ...หลี่เจินลี่...เก็บป้ายชื่อ มอบดอกเหมยฮวา (ดอกบ๊วย) ” ฮองเฮาแสยะยิ้มออกมาอย่างพอใจก่อนจะบอกขันทีให้เก็บป้ายชื่อของเจินลี่โดยไม่ถามคำถามใดอีก ฮองไทเฮาทำเพียงมองใบหน้าของเจินลี่ด้วยแววตาที่ไม่อาจเข้าใจได้ เจินลี่แม้จะงงงวยอยู่บ้างแต่เมื่อตั้งสติได้ก็ยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อยและกล่าวขอบพระทัยทั้งสองพระองค์ท่ามกลางสายตาอิจฉาของหญิงสาวที่เหลือ ...คำตอบของนางสะกิดใจของหรงฮองเฮาเข้าอย่างจัง เมื่อมองใบหน้าและแววตาที่มั่นใจของเจินลี่ ฮองเฮาก็รู้ได้ทันทีว่าเจินลี่นี่แหละ...คือหญิงสาวที่นางต้องการให้มาอยู่ในตำหนักเหมยฮวา

หลังสิ้นสุดงานคัดเลือกนางสนม เจินลี่ได้รับข่าวร้ายจึงต้องรีบกลับทันที ซึ่งสำหรับนางก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากเพราะนางไม่มีใจอยากจะอยู่ร่วมงานเลี้ยงสร้างสัมพันธ์ของเหล่านางสนมหน้าใหม่อยู่แล้ว แม้แต่ชื่องานเลี้ยงจริงๆ นางยังไม่เคยคิดจะจำ แล้วเหตุใดกับเรื่องแค่หนีออกมาจากงานเลี้ยงเพื่อกลับไปดูแลอาการบิดานางจะไม่กล้าทำ อีกทั้งในใจของเจินลี่ตอนนี้ก็ร้อนรุ่มดังโดนไฟเผา เพราะเพียงไม่กี่ชั่วยามที่นางไม่อยู่ บิดาของนางกลับอาการทรุดหนักถึงขั้นที่ขาข้างหนึ่งก้าวเข้าสู่ความตายเสียแล้ว ...ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วย จะไม่รอให้ข้าได้ตอบแทนบุญคุณท่านบ้างเลยรึ?

“ท่านพ่อ!!!” เจินลี่วิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปในห้องนอนที่ทรุดโทรม ใบหน้าของนางตื่นตระหนกทันทีที่เห็นอาการของบิดา ...หากท่านพ่อไม่ยอมเสี่ยงชีวิตหาวิธีถอนพิษให้นางผู้ถูกเรียกว่ามารดาข้า ท่านคงไม่ต้องมาโดนพิษร้ายนี้เล่นงานเข้าเสียเอง...

“...เจิน ลี่...” หลี่ซุนลี่พยายามเอื้อมมือไขว่คว้าหาบุตรสาวที่รัก

“ท่านพ่อ...” เจินลี่หันไปหาแม่นมหงที่ยื่นอยู่ข้างเตียงบิดาด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวราวกับว่านี่เป็นความผิดของแม่นมหงที่ไม่ยอมดูแลบิดานางให้ดี “เหตุใดอาการท่านพ่อข้าถึงทรุดหนักเช่นนี้กัน” เจินลี่หันถาม

“คือว่า...”

“อย่าได้ถามแม่นมหงด้วยน้ำเสียงเช่นนั้นเลยเจินลี่ ข้าเองก็แก่มากแล้ว...จะตายวันตายพรุ่งก็หาได้ต่างกัน” ซุนลี่หอบหายใจหนักก่อนจะเอ่ยต่อด้วยท่าทีอ่อนแรง “...แต่เจ้า เจินเจิน... ข้าห่วงเจ้ายิ่งนัก”

“ท่านพ่อ...วันนี้ วันนี้ข้าได้รับเลือกเป็นนางสนมแล้ว ข้าต่างหากที่ควรเป็นห่วงท่าน ข้าไม่อยู่ใครกันเล่าจะดูแลท่านกับแม่นมหง... คนใช้เราก็ไม่มี โชคดีเพียงใดแล้วที่แม่นมหงยังอยู่กับพวกเราเพื่อช่วยข้าดูแลท่าน”

“เจินเจิน...ถ้างั้นเจ้าก็พาแม่นมหงไปกับเจ้าด้วย ข้าจำได้ว่าผู้ที่ผ่านการคัดเลือก มีสิทธิพาคนดูแลที่เป็นหญิงเข้าไปด้วยได้หนึ่งคน...เจ้าช่วยพานางไปด้วย อย่าให้นางต้องมาลำบากกับข้าเลย” ซุนลี่พูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ ภายในใจครุ่นคิดหาข้ออ้างมากมายเพื่อที่จะให้เจินลี่พาแม่นมหงเข้าวังไปด้วย อย่างน้อยขอเพียงแค่ให้มีคนที่เชื่อใจได้คอยอยู่ดูแลลูกสาวตน...หลี่ซุนลี่ก็พอใจแล้ว ในวังหลวงนั้นเต็มไปด้วยอันตราย อีกทั้งชีวิตเขาเหลือเพียงเศษเสี้ยว หากเขาตายไป แม่นมหงเองก็ไร้ที่พึ่งพิง สู้ส่งทั้งสองเข้าวังไป ชีวิตเขาก็อาจจะพอคลายห่วงลงได้บ้าง

“ข้าไม่อาจพาแม่นมหงไปกับข้าได้ในตอนนี้ ท่านก็รู้ว่าข้าเป็นเพียงนางสนมยศต่ำ ข้าเกรงว่าหากวันหนึ่งเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแม่นมหงจะพลอยโดนหางเลขไปด้วย ท่านพ่อรอข้าก่อนได้หรือไม่...ข้าขอเวลาท่านเพียงไม่กี่ปี ข้าสัญญาว่าข้าจะทำให้ท่านสุขสบาย และข้าจะพาแม่นมหงเข้าวังไปกับข้า ตอนนี้ข้าเป็นเพียงไฉเหริน เป็นเพียงสนมปลายแถว...แต่เชื่อข้าเถิด ข้าจะไม่ยอมให้ใครมากดขี่ข้าได้ ข้าต้องขึ้นไปให้สูงเหนือใครๆ ...เพื่อที่ท่านและแม่นมหงจะได้อยู่อย่างสุขสบาย และเมื่อใดก็ตามที่ข้าอยู่เหนือผู้อื่น ข้าจะนำยาถอนพิษมาให้ท่านให้ได้”

“...เจินเจิน เจ้าช่างเป็นเด็กที่หัวดื้อยิ่งนัก...หากเจ้าไม่ยอมพ่อก็ไม่อาจปฏิเสธเจ้าได้” ซุนลี่กลั้นใจตอบตกลงให้คำมั่นสัญญากับลูกสาวของตน เขาสู้อยู่มาได้เกือบ 10 ปีเพื่อเลี้ยงดูลูกสาวให้ผ่านพ้นวัยปักปิ่น บุตรชายคนโตนั้นหายสาบสูญ ส่วนมารดานางนั้นก็มิได้ต่างกันกับบุตรชาย...ไร้ซึ่งร่องรอย ชีวิตข้ามีเพียงลูกสาวเท่านั้นที่ทำให้ข้าสู้อุตส่าห์ฝ่าฟันทุกอย่างมาได้ ...หากลูกสาวเลือกที่จะแต่งงานกับชายหนุ่มธรรมดาสักคนเขาคงสบายใจกว่านี้ ...ลูกเอ๋ย ข้าหวังเพียงให้เจ้าปลอดภัยและมีชีวิตที่สงบสุข...

“ท่านพ่อ...ข้ารู้ดีว่าชีวิตในวังนั้นไม่ได้สวยงาม มารดาข้าเองก็มาจากที่แห่งนั้น” เจินลี่เม้มปากแน่นเมื่อนึกถึงหญิงสาวผู้หนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นมารดาของนาง “หึ! ...นางหนีออกมาและรอดตายเพราะท่านพ่อช่วยเหลือดูแลนาง แต่ดูสิ่งที่นางทำกับท่านสิ...นางทิ้งท่าน! แถมยัง...”

“พอเถิดลูกรัก...ข้ารู้ ข้ารู้มาตลอดว่านางเป็นใคร...ข้ารู้ว่านางรักใคร... แต่นั่นเป็นเพียงอดีต ข้ามีเจ้า...ลูกสาวที่ดีที่สุดของข้า”

“ท่านพ่อ...ท่านบอกให้ข้าเรียกนางว่าแม่ ข้ายอมรับนางเพราะนางมีบุญคุณใหญ่หลวงกับข้า แต่นางไม่เคยเลี้ยงดูข้า...หากวันใดข้าเจอนาง...ข้าจะขอคารวะนางในฐานะมารดา แต่ข้า...หลี่เจินลี่...จะไม่ขอเรียกนางว่าแม่และไม่ขอยอมรับความหวังดีใดๆ ที่นางมอบให้เป็นอันขาด!!!” เจินลี่กลั้นน้ำตาที่เอ่อล้น ก่อนจะกล้ำกลืนกลบฝังความเจ็บปวดที่ถูกขุดขึ้นมาลงไปอีกครั้งอย่างยากเย็น นางโหยหาความรักจากผู้เป็นแม่มาตั้งแต่เกิด นางเฝ้าถามหาว่ามารดานางเป็นใคร มารดานางไปไหน เหตุใดมารดาจึงทอดทิ้งนาง... เพราะนางเป็นเด็กไม่ดี หรือเพราะนางเป็นลูกของท่านพ่อ ต่างจากพี่ชายที่เป็นลูกของท่านแม่กับชายที่ท่านแม่รัก... เจินลี่ทำสิ่งใดผิดท่านถึงทอดทิ้งเจินลี่ไป...

“คุณหนูคะ...แม่นมหงจะดูแลคุณท่านอย่างดีจนกว่าคุณหนูจะกลับมารับแม่นม คุณหนูอย่าได้ห่วงอะไรเลยนะเจ้าคะ” แม่นมหงกุมมือนางไว้อย่างแผ่วเบา แม่นมหงรู้ดีว่าหญิงสาวตรงหน้าที่นางเลี้ยงดูมากับมือคือหญิงสาวที่ถูกความรักทอดทิ้ง ...แม้ในท้ายที่สุดจะได้รับความรักจากบิดาแต่นั่นก็สายไปเสียแล้ว ยามเมื่อนางโหยหาความรัก หาได้มีผู้ใดมอบมันให้นางแม้สักคนเดียว

“แม่นมหง ข้าฝากท่านพ่อด้วย ยังไงเสียพรุ่งนี้ข้าก็ต้องเข้าไปใช้ชีวิตในวังแล้ว คงไม่อาจทำอะไรเพื่อแม่นมและท่านพ่อได้มากนัก...” เจินลี่ลูบมือหยาบกร้านของยิ่งวัยกลางคนก่อนจะบีบเบาๆ เหมือนกับให้เชื่อในทุกๆ คำพูดของนาง “...ขอเวลาข้าสักนิดเถิด เพียงไม่นานข้าจะกลับมารับท่าน และข้าจะต้องทำให้พวกมันทุกคนที่เคยเหยียดหยามชะตาชีวิตข้า...ก้มกราบแทบเท้าข้า ข้าหลี่เจินลี่ขอสาบาน!!!”