CHAPTER 7
“หรอ?”
ไฟไหม้...
ผู้ชายคนนั้นอยู่ที่นั่นทำไม
ตั้งแต่บทสนทนาของหนามเตยและตัวเองตัดไปเพราะต้องขึ้นไปเรียนจนถึงตอนนี้เรียนเสร็จแล้วกำลังเดินมาที่รถผ่านตึกเรียนเก่าไร้คนฉันก็ยังคิดเรื่องนี้ไม่ตก อยากกลับไปสืบอะไรกันแน่ถึงได้เสนอหน้าไปยังที่ตรงนั้นแถมยังทำตัวเป็นคนดีเข้าไปช่วยร้านผู้หญิงคนนั้นอีก
ตึก!
“ขอคุยด้วยหน่อย”
รู้ไหมผู้ชายที่ฉันคิดกลับปรากฏตรงหน้าด้วยระยะห่างเพียงช่วงตัว สายตาคู่นั้นจ้องมองฉันแต่ไม่ได้แสดงแววตาใดๆ ออกมาแสดงว่าไม่ปกติ เขากำลังคิดอะไรบางอย่างหรือไม่ก็โกรธอยู่แน่
“ควรอยู่ห่างฉันเอาไว้”
“ทำแบบนั้นทำไม?”
“ใครมันทำฉันก่อนคิดหรอกว่าฉันจะปล่อยให้มันรอด” แม่ชีหรือนางฟ้าเรียกพี่ไปเลยสิแต่ฉันยอมให้เรียกตัวเองนางมาร “ไม่ได้เป็นคนดีศรีสังคมขนาดนั้น”
“แต่นั่นมันร้านน้าเธอ คือครอบครัว...”
ไปพูดให้ควายฟังน่าจะได้ประโยชน์มากกว่า
“พวกมันไม่ใช่ครอบครัวฉัน ไม่ต้องมานับญาติอะไรแค่โดนเผาร้านก็ไม่เห็นตายนิ” ฉันทำได้มากกว่านี้อีกมากกว่าหลายร้อยเท่าพันเท่า “แต่ถ้าไม่มีคนมาเช่าที่ดินผืนนั้นศิลาการอาจตายก็ได้นะ”
แค่พูดออกมาเล่นๆ ไม่ได้คาดหวังให้คนตรงหน้าตัวเองแสดงสีหน้าใดๆ ออกมาแต่คราวนี้ฉันกับเห็นว่ามีสีหน้าหนักใจพร้อมกับถอนหายใจออกมาท่ามกลางสายตาเฉยชาเหมือนเดิม มันไม่ได้ทำให้ฉันเห็นใจเพิ่มขึ้นหรือลดลงแต่มันยิ่งทำให้ฉันกระตุกรอยยิ้มเหยียดอย่างนางมารร้าย
เพิ่มความสะใจขึ้นเป็นกอง...
การทำของตัวเองมีผลทำให้คนอย่างผู้ชายคนนี้ทุกข์นั่นล่ะคือความปรารถนาสูงสุดและต่อไปมันต้องทุกข์มากกว่านี้เพิ่มขึ้น ฉันรู้ว่าที่ทางตรงนั่นเป็นที่ดินของตระกูลศิลาการทั้งหมดปล่อยให้เช่าไม่ได้คิดเก่งกล้าอยากเปิดวอร์แค่อยากสั่งสอนผู้หญิงที่ตัวเองเคยเรียกว่าน้าส่วนอีกส่วนหนึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความสะใจในตอนนี้
จะเรียกว่าผลพลอยได้ตามมาก็แล้วกัน
“อย่าคิดว่ามีคนหนุนหลังแล้วจะทำให้คนอื่นกลัว”
ถ้าหมายถึงใครคนหนึ่งที่ทั้งฉันและก็เขารู้จักดี ใครคนนั้นคงเป็นคนหนึ่งที่ทำให้ผู้ชายตรงหน้าเกลียดฉันทั้งที่ยังรับรู้อะไรไม่หมดละก็ตอนนี้ฉันเลิกแคร์ไปเรียบร้อยแล้วไอ้ความรู้สึกบ้านั่น ถ้าเขามองฉันเป็นอย่างนั้นจริงมันก็เป็นเรื่องที่ฉันเองช่วยไม่ได้เช่นกันเพราะตอนนั้นถือว่าพูดความจริงไปหมดแล้ว
“หมายถึงใคร?”
ก็แค่หยั่งเชิง
“ตอนนี้ฉันรู้ว่าเธอฉลาด”
“หึ...” การยิ้มริมฝีปากยิ้มสบสายตาเขาไร้ความเกรงกลัว “มีหลายคนเสียด้วยสิ”
“แฟน”
การกดน้ำเสียงทุ้มต่ำลงบ่งบอกว่าความไม่พอใจเกิดขึ้น นัยน์ตาสีดำแข็งกร้าวส่งเน้นออกมาให้ได้รับรู้ถึงอารมณ์คุกกรุ่นนั้นได้การเป็นคนเดียวที่ทำให้เขาโกรธเกลียดได้แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตามทีเถอะมันช่างสนุกเสียจริง
“ฉันพูดจริง”
คนหนุนหลังตัวเองมีหลายคน
คนหนุนหลังที่เป็นทั้งมาเฟียคุมถิ่น อีกคนก็เป็นทั้งผู้มีอิทธิพลใหญ่
“ก็ไม่ได้กลัวสักนิด”
จะถือว่าอยากลองดีก็แล้วกัน
“แต่คนหนุนหลังคนนี้ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้เสียด้วยสิ” ไม่ว่าฉันจะสั่งอะไรคำสั่งของตัวเองมักทำให้อีกฝ่ายทำให้ด้วยความรวดเร็วเสมอ บางครั้งเร็วจนใช้เวลาไม่ถึงข้ามวันมันก็สำเร็จผลให้ได้ชื่นชมเช่นคนแรกที่เป็นถึงมาเฟียคุมถิ่นเป็นผู้สร้างเรื่องตามคำสั่งฉันผลสุดท้ายก็เลยทำให้ผู้ชายตรงหน้าเข้ามาสนทนากับฉันเอง “ก็เคยลองดีกับเขาแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“...”
เขาคนนั้นคือมาเฟียคุมพื้นที่นั่น
ส่วนคนตรงหน้าฉันเป็นได้แค่ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งอวดฉลาด
“ผลเป็นยังไงก็รู้ดีอยู่แก่ใจ”
แพ้ไงล่ะ
“นั่นสิวันนั้นไม่น่าไปเลย ไม่น่าเอาตัวเองไปในดงตีนให้ลูกน้องไอ้นั่นกระทืบจนเกือบตาย...”
ก็นะช่วยไม่ได้
ก็แล้วยังไงล่ะในเมื่อฉันห้ามแล้ว ไม่ใช่ไม่บอก
แต่ถ้ารับรู้อะไรบางอย่างก่อน... ฉันคิดว่าตัวเองจะไม่ห้ามเลย
ถ้าทุกคนจะถามว่าฉันเริ่มรู้จักผู้ชายตรงหน้าได้ยังไง เมื่อไหร่ ที่ไหน ฉันขอตอบรวบยอดเลยว่ารู้จักมานานมากแล้วเรื่องราวพวกนั้นไม่น่าจดจำเท่าเขาทำอะไรไว้กับฉัน เขาทำฉันเจ็บปวดจากการกระทำมากเท่าที่เกินจะรับมันได้ซึ่งในวันนั้นกับวันนี้ฉันกับเขาสมควรเป็นศัตรูกัน
เขาคือผู้ชายคนหนึ่งที่ฉันเคยรักมากยอมทุกอย่างอย่างถวายหัว
เขาคือผู้ชายคนหนึ่งที่ฉันจงรักภักดีไม่เปลี่ยนแปลงซื่อสัตย์เหมือนหมาตัวหนึ่ง
เขาคือผู้ชายคนหนึ่งที่ยอมเดินเข้ามาแลกความเจ็บปวดจากตีนหลายคู่เพื่อแลกให้ฉันกลับไปด้วย
และเขาก็คือผู้ชายคนหนึ่งที่ยอมให้แม่ตัวเองเข้ามาทำร้ายฉันอย่างเลือดเย็นแต่คนที่ได้รับผลคือฟาง เธอจากไปเพราะครอบครัวนี้ พอรู้ว่าทำร้ายผิดคนเขาก็เข้ามาทำร้ายฉันอีกจนแท้งแค่นั้นยังไม่พอ... ถัดจากฉันไม่ถึงสองเดือนแม่ก็มาจากไปเพราะอีผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ของผู้ชายตรงหน้า
ฉันจึงเก็บครอบครัวนี้ไว้ไม่ได้
ฉันต้องถล่ม ทำลายเหมือนที่ตัวเองได้เจอ
