บท
ตั้งค่า

CHAPTER 05

พยายามไปก็ไร้ค่า

เหมือนกับเรารู้ว่าตัวเองเป็นยังไงอยู่แล้วพอเอาทุกอย่างเข้ามาสาดใส่มันก็แค่นั้น พยายามแกล้งลืมเลือนแกล้งโหมงานหนักหน่วงยังไงสุดท้ายพอมาอีกวันมันก็กลับมาทำให้นึกถึงอยู่ดี ไม่มีอะไรมาทำให้ลืมได้หรอกนอกเสียจากว่าเราจะต้องปรับตัวอยู่ร่วมกันให้ได้

เหมือนที่ฉันพยายามทำอยู่ทุกวันนี้

แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ตลอด

“ฉะนั้นก็เงียบและนิ่งเฉยซะ”

“หึ...” ฉันเค้นเสียงออกมา

“เอาเลย เอาตามสบายเลยยังไงซะคุณมันก็เป็นจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารอยู่แล้ว”

~คลื่น~

แค่นี้ประตูตู้ก็ถูกเลื่อนปิดลงความมืดมิดบวกกับความเงียบยิ่งทำให้ใจฉันหวั่นไหวรนลานไปหมด นิ่งเฉยสั่งมาได้ยังไงใครมันจะไปทำได้ในเวลานี้กันสุดท้ายฉันก็ได้ประชดออกไปแต่เนื่องด้วยเวลาหรือปัจจัยอื่นๆ ที่เข้ามาเขาจึงไม่อยากเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกับฉันมั้งถึงตัดปัญหาด้วยการปิดประตูใส่หน้าแบบนี้

ทุกครั้งที่พยายามลุ้นถึงเหตุการณ์ด้านนอกหัวใจก็กระหน่ำเต้นระรัวไม่อยากนึกถึงมันเลยว่าสุดท้ายเหตุการณ์นี้จะลงเอยจบไปในรูปแบบไหนกันแน่ วุ่นวายหรือว่าเรียบร้อยเดาใจอีกคนซึ่งเป็นเหมือนผู้คุมซะตาเอาไว้หมดไม่ได้เขาอยากให้มันเป็นดั่งที่ใจของคิดไม่สนความเดือดร้อนของใครแม้กระทั่งฉันเองก็ตาม

ที่แน่ๆ

ถ้าป้าอุ่นเห็น เขาไม่ปฏิเสธ ฉันวุ่นวายที่สุด

แต่ถ้าตรงกันข้ามฉันก็รอด เรื่องวันนี้ก็คงเป็นความลับต่อไป

~คลื่น~

อ้าว...

แต่แล้วสิ่งที่ทำให้ต้องงงงวยมากกว่าเดิมคือประตูตู้ถูกเคลื่อนเปิดออกทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นมองสบตาคู่นั้นของเขาอีกทว่ากำลังจะเอ่ยปากถามเสื้อคลุมก็ถูกขว้างโยนควบลงบนศีรษะทันทีจากนั้นประตูตู้ก็เคลื่อนปิดลง

กลิ่นนี้

ไม่เคยลืมเลือน

ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเฉกเช่นเสื้อตัวโคร่งผืนนั้นที่อยู่บนตัวฉันเมื่อหลายปีก่อน

นั่นใคร... ทำไมสายตาเขาสวยจัง

มันก็เป็นธรรมดาเมื่อคนเราได้มองไปพบเจอผู้คนแต่คนที่ฉันกำลังมองอยู่ในขณะนี้เขาช่างสมบูรณ์แบบเหลือเกินไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาส่วนสูงเกินร้อยแปดสิบแน่ๆ การแต่งตัวที่ไม่เหมือนคนปกติทั่วไปเพราะดูทั่วเนื้อตัวของแพงทั้งนั้นทั้งที่เป็นแค่วัยรุ่น

“จ้องตาเป็นมันเลยนะอีซานชอบอ่ะดิ เห็นเขาบอกว่ามาเที่ยวอ่ะ” ฉันละสายตาจากเขาเพื่อมามองพี่มิ้นลูกเจ้าของร้านขายของชำหน้าปากซอย “กลุ่มพวกพี่เขาสุดๆ โคตรของความหล่อว่ามั้ยอีซาน”

“ก็...”

“ทำเป็นเรียบร้อยนะมึง!”

ศีรษะของฉันเอียงไปอีกทางตามที่ถูกพี่มิ้นดัน

“ซานแค่มาซื้อของค่ะพี่มิ้น”

“เร็วๆ ซื้อมัวอ่อยอยู่นั้นแหละ เห็นเงียบๆ ฟาดเรียบหรือเปล่าก็ไม่รู้”

ไม่ใช่ฉันแน่ ถึงผู้ชายคนนั้นจะรูปหล่อแค่ไหนแต่ฉันก็ไม่คิดอะไรแบบนั้นกับคนที่ตัวเองได้เห็นแค่ไม่ถึงนาทีอีกอย่างไม่ได้พูดจาหรืออ่อยด้วยซ้ำ

“ซานซื้อ...”

“น้ำเปล่าขวดเท่าไหร่ครับ?”

แต่แล้วประโยคของฉันหยุดชะงักไม่สามารถพูดอะไรต่อเนื่องจากมีลำแขนใหญ่ยื่นขวดน้ำจากด้านหลังเกือบสัมผัสกับหัวไหล่ฉันแล้วตอนนี้ถ้าฉันขยับตัวหน่อยมันต้องสัมผัสกันแน่ๆ

นิ่งไว้ไอ้ซาน

ท่องไว้ใจเย็นๆ

“10 บาทค่ะ” พี่มิ้นตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ส่วนแกจะซื้ออะไรอีซาน”

“เอ่อ... ซะ ซื้อมาม่า 1 ซองค่ะพี่มิ้น”

“รอ”

ฉันรู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ มาตรฐานการบริการของพี่มิ้นทั้งคำพูดจาการกระทำต่างกันโขดมากถึงมากที่สุดแต่ก็สมควรแล้วแหละ

“ไม่ต้องทอนครับคิดรวมมาม่าซองนั้นได้เลย”

แค่นี้ฉันก็หันตัวขวับมองผู้ชายคนดังกล่าวที่เปิดขวดน้ำยกขึ้นดื่มไม่สนใจสายตาใคร การดื่มน้ำที่ทั้งเท่ราวกับเป็นพรีเซนเตอร์เองขนาดนั้นและแล้วสายตาเขาก็สบตากับฉันแบบระยะห่างที่ใกล้กว่าเมื่อก่อนหน้า แบบนี้เป็นฉันเองที่โคตรประหม่ากำเหรียญในมือแน่น

“ชื่อซานเหรอเรา ชื่อเหมาะกับตัวดี”

“...”

ครั้งแรกที่ชื่อฉันถูกชม

ครั้งแรกที่มีคนเอ่ยเรียกซานโดยไร้คำไอ้อีนำหน้า

ครั้งแรกที่มีคนส่งยิ้มให้ทั้งที่ฉันเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา

“อีกอย่างก็ so cute”

“...”

So cute

งั้นเหรอ...

ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเกร็งขนาดไม่กล้าสบสายตากับคนตรงหน้า การที่ได้แต่หลุบมองไปยังรองเท้าของเขาซึ่งมันก็สวยและก็แพงนั้นฉันแทบจะไม่กล้าทำอะไรเลยนอกจากเงียบนิ่งเก็บความรู้สึกต่างๆ มากมายเอาไว้ภายใต้ร่างกายของตัวเอง

“แถมขี้เขินด้วย”

ยิ่งไปกันใหญ่กับประโยคนี้

ฉันไม่ได้ขี้เขิน ไม่ได้เป็นแบบนั้นสักนิดเลยนะ

“...”

“แก้มแดงเชียว”

“อีซานมาม่าเอาไป มือมีตีนไม่หัดหยิบเอาเอง”

แต่แล้วเสียงของพี่มิ้นก็ดังขึ้นขัดจังหวะอึกอัดพวกนั้นดีนะ มันดีมากๆ เลย ฉันจึงหันหน้าไปหาพี่มิ้นเพราะไม่อยากโดนว่าให้อีกแล้วแค่นี้เธอก็เกลียดฉันเข้ากระดูกดำโดยไม่ทราบสาเหตุถ้าขืนยืนหันหลังให้ในขณะที่เธอพูดเธอต้องเอาไปประจานใส่สีตีไข่อีกแน่

แค่นี้ก็เข็ดแล้ว

ไม่อยากอยู่นานๆ

“...”

“เป็นอะไรไปอีกใบ้หรือไงหรือนึกว่าตัวเองเป็นคุณหนูบ้านนอกถึงโดนผู้ชายหล่อแซวนิดแซวหน่อยตัวอ่อยปวกเปียกเอียงอาย ทำอย่างไม่เคยนะมึงอีซาน!” พูดจบมาม่าซองเล็กก็ถูกโยนตรงมาให้ฉันดีนะที่รับทัน “รีบไสหัวมึงไปเลยนะ เห็นหน้าแล้วหมั่นไส้!”

“ค่ะๆ”

“ไปสิ!”

นาทีนั้นถ้าไม่รีบออกจากร้านฉันคงโดนเละมากกว่านี้แน่จึงรีบเผ่นออกมาก่อนดีกว่าโดยไม่สนใจมองไปทางผู้ชายคนนั้นอีกแต่ได้ยินเสียงพี่มิ้นพูดจาดีกับเขามากชนิดที่เรียกว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแทน

ในขณะที่ฉันเดินไกลออกจากร้านมาเรื่อยๆ เสียงบทสนทนาของทั้งสองคนก็เบาลงตามกันไปพอห่างออกไปทุกทีๆ สุดท้ายไอ้ประโยครั้งท้ายที่ได้ยินก็คือ

ถ้าทำให้จะได้เท่าไหร่...

ประโยคของพี่มิ้นที่มีน้ำเสียงกึ่งท้าทาย

ซึ่งวันนั้นเมื่อสองปีฉันไม่รู้

แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าวันนั้นไอ้ประโยคนั้นมันคืออะไร

รู้แล้วว่ามันหมายความว่าอย่างไร

การเป็นบุคคลที่สาม เป็นเป้าหมาย เป็นคนโง่และเป็นเหยื่อให้คนพวกนั้นเอ่ยพูดจาถึงโดยที่พวกเขาไม่ได้หวังดีกับเราสักนิดเดียว การโดนหลอกด้วยการเอาความเชื่อเข้ามาเป็นสื่อจากนั้นทุกคนก็หักหลังฉันอย่างเลือดเย็นไร้ความปรานีใดๆ และฉันก็ไร้การต่อสู้ต้อกรกับพวกเขา

มันโคตรทุเรศสิ้นดี

น่าสมเพชตัวเองเป็นที่สุด

และมันก็ฝังใจฉันมาจนถึงทุกวันนี้ว่าอย่าให้ความเชื่อใจใครง่ายๆ สุดท้ายมันมักกลับมาทำร้ายเราเอง

ก๊อกๆ ก๊อกๆ ก๊อกๆ

ความคิดของฉันถูกคั่นด้วยเสียงรัวการเคาะประตูของป้าอุ่นจะไม่ตื่นเลยถ้าฉันไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องของเขาดังขึ้น ความเงียบเกิดขึ้นภายนอกซึ่งเดาได้ไม่อยากว่าป้าอุ่นต้องอึ้งอยู่แหงๆ

ทำอะไรไม่ถูกใช่ไหมป้าอุ่น

ฉันเองตอนนี้ก็เหงื่อท้วมตัวมือเปียกชื้นไปหมดเพราะลุ้น

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

“เอ่อ...”

“มีผมคนเดียวอยู่ในห้องนี้ครับ จัดการบอกเลขาให้ผมทีหน่อย”

“หรือว่า...”

“ครับ ผมประธาน...”

“สวัสดีค่ะ ขอโทษทีนะคะ พอดีลูกน้องดิฉันทำความสะอาดห้องนี้ในตอนเช้านึกว่ายังไม่เสร็จจึงเสียมารยาทเคาะรัวเพราะห่วงเธอนิดหน่อย” ดูเหมือนป้าอุ่นไม่ฟังการแนะนำตัวของอีกฝ่ายเพราะป้าอุ่นต้องรู้มาก่อนแน่ๆ ไม่งั้นจะขอโทษขอพายขนาดนั้นเหรอ ข่าวการมาของเขาดังระเบิดในกลุ่มพนักงานขนาดนี้ “ร่างกายเธอไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไหร่ค่ะแต่ทำงานได้เต็มร้อยนะคะท่าน”

“อ๋อ... ครับ”

เสียงรับราบเรียบเหมือนเดิม

“เดี๋ยวดิฉันจัดการที่สั่งให้ค่ะ ขอโทษอีกครั้งนะคะ”

“ไม่เป็นไรฝากจัดการอีกเรื่องผมชอบห้องนี้ อยากมาทำงานห้องนี้กรุณาบอกเลขาให้หน่อย”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel