CHAPTER 04
“เอาตรงๆ เลยนะเธอนึกว่าพี่ฉลาดมั้ยซาน” และแล้วสายตาคนตรงหน้าก็กวาดขยับมองหน้าท้องสลับกับมองหน้าฉันอีกครั้ง “เผื่อเธอจะยังไม่รู้ว่าไส้ติ่งเขาผ่ากันใต้สะดือก็จริงแต่มันเยื้องออกไปข้างขวา ไม่ใช่ตรงใต้สะดือลงไปอย่างไอ้รอยที่มันอยู่ตรงหน้าท้องเธอ เอาความจริงมา...”
เขาหรี่สายตาลงเล็กน้อยสำหรับจ้องจับผิดโดยเฉพาะ
เขาชอบกดดันโดยใช้แววตาน่ากลัว
เขาชอบให้ตัวเองเหนือกว่า
และก็ชอบทำให้ฉันตกเป็นเบื้องล่าง
แล้วมันก็ยิ่งทำให้ฉันซึ่งเป็นผู้หญิงคนหนึ่งรนได้อย่างอัตโนมัติ ความกลัวมันกัดเซาะเกาะกินหัวใจเกินความอดทนไปหมดกระทั่งลมหายใจของฉันเกิดการขาดห้วงราวกับหยุดชะงักไปเมื่อสายตาเขาเคลื่อนไปหยุดลงยังรอยแผลเป็นนั้นอีกรอบ
รอยแผลที่ทั้งฉันและเขามีส่วนร่วมกัน
เพราะค่ำคืนนั้นเลย...
“...”
“เอาความจริงมาซาน”
เพราะโดนกดดันไม่เลิก
เพราะหลีกเลี่ยงหลีกหนีไม่ได้
เพราะจนหนทางฉันจึงถอนหายใจออกมาและจำใจพูดออกไป
“ฉันจะเป็นอะไรมันก็ไม่เกี่ยวกับคุณนิคะ” หวังว่าจะเป็นทางออกให้กับตัวเองเมื่อการพยายามตั้งสติต่อสู้กับความกลัวด้วยการข่มมันไว้สุดใจก่อนที่จะเอ่ยพูด การทำอารมณ์ให้เยือกเย็นดั่งสายน้ำหวังจะช่วยดับรดความโกรธของเขาเพราะมันเริ่มบานปลายไปกันใหญ่แล้ว “ฉันป่วยไม่แข็งแรงเหมือนใครคนอื่นจะรับการผ่าตัดเพื่อแค่อยากมีชีวิตต่อมันก็ไม่เห็นแปลก”
เห็นไหมความตีเนียนที่ฉันยังดันทุรังคนเดียว
โดยที่อีกฝ่ายมองกลับมาด้วยสายตาไม่เชื่อเช่นเดิม
คำพูดที่ฉันตั้งใจคิดตั้งใจหาคำตอบเพื่อหลีกเลี่ยงกับเป็นเหมือนสิ่งที่ไร้ประโยชน์ไม่เข้าหูของอีกคนแม้แต่คำเดียว เขาไม่คิดใส่ใจด้วยซ้ำ
“เหรอ”
หมดแล้วหนทางที่ในตอนนี้ฉันเอามาแก้ไขปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่เปรียบดังกับฉันกำลังจะจมน้ำรอบตัวไม่มีอะไรสามารถคว้าหรือหามาพยุงเพื่อตัวเองได้เลย นาทีนั้นน้ำก็เพิ่มระดับขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่หยุดยั้งพวกมันกำลังดูดกลืนร่างฉันให้จมลงเหมือนกับเขาในตอนนี้
เขาทำให้ฉันเหมือนตกนรกอีกรอบหนึ่ง
“...”
นรกบนดินตอนแรกนึกว่าสวรรค์ที่ไหนได้พอตกหลุมพรางไปเท่านั้นแหละรสชาติที่ได้ลิ้มลองกับทำให้ฉันดิ้นทุรนทุรายหนีออกมาแทบไม่ได้ ตรรกะบ้าบอกพวกนั้นพอได้ฟังไม่มีใครหยิบยกขึ้นมาบูชาหรอกนอกจากคนไร้ความรู้สึกของความเป็นคนเท่านั้นจะเข้าใจ
“ไม่เกี่ยวจริงๆ สินะ”
“ใช่...”
ฉันยอมรับด้วยคำพูดที่ดังอยู่ในลำคออีกทั้งยังพยายามหลีกเลี่ยงสายตาคู่นั้น ก็เพราะไอ้ดวงตาคู่นี้แหละที่ทำให้ฉันเป็นอย่างทุกวันนี้ วันนั้นถ้าฉันไม่หันหลงไปมอง วันนั้นถ้าฉันไม่ยืนนิ่งแต่ใช้สายตามองกลับและถ้าวันนั้นฉันรับรู้ตื้นลึกหนาบางมากกว่านี้คงไม่เป็นเช่นนี้
“คิดว่าพี่จะเชื่อมั้ย?”
“...”
“คิดว่าพี่ไม่รู้อะไรขนาดนั้นเลย”
“...”
ไม่คิดแต่มันก็ผ่านไปนานแล้วเหลือกันไม่ใช่แผลสด ตอนนี้มันคงเหลือแค่รอยแผลที่ปิดสนิทไม่มีอะไรทำให้มันเปิดขึ้นมาอีกแล้ว เรื่องราวพวกนั้นก็จบลงโดยไม่มีใครเดือดร้อนนอกจากฉันคนเดียว
ฉันคนเดียวที่ได้รับทั้งความเกลียดชัง
ฉันคนเดียวที่ได้รับผลของมันทุกอย่างจากความเชื่อใจ
“โลกมันคงเหวี่ยงให้เรามาเจอกันอีกสินะซาน เด็กน้อยในวันนั้น”
“หยุด!”
“เด็กน้อยแสนซื่อ อ่อนต่อโลกหลงเชื่อคำพูดง่ายๆ ของเพื่อนเหี้ย”
“คุณมันก็ไม่ต่างจากเดนนรกพวกนั้นหรอก การกระทำเลวระยำกว่าตั้งเยอะ!”
“ก็ใช่” คนตรงหน้าฉันยักไหล่ทำท่าทางไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น จิตสำนึกอย่าถามเลยแค่นี้ก็ทำให้รับรู้แล้วว่าถ้าฉันเอ่ยปากถามจะได้อะไรกลับมาตอกหน้า “จะว่าอะไร ด่าออกมาก็ได้”
“จะทำอะไร!”
แต่แล้วตัวฉันเองที่เป็นฝ่ายตกใจจากการที่เขารวบมือทั้งสองของฉันด้วยมือเดียวก่อนที่จะใช้อีกมือหนึ่งเข้ามาลูบวนบนรอยแผลเป็นนั้น ยิ่งปลายนิ้วสัมผัสทุกความรู้สึกทุกการกระทำของคืนนั้นก็เข้ามาสู่หัวสมองน้อยนิดของฉันอีกราวกับว่าอยากฉายภาพคืนนั้นให้เห็นให้จดจำ
“...”
“ปล่อยหนูนะ ปล่อยไง!”
“เจ็บมั้ย?”
“หนูไม่เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ ไม่เจ็บเหมือนอย่างที่คุณคิดเลย”
“นั่นสินะ ตอนผ่า.... คงสลบ” เขาจงใจเว้นไว้จากนั้นก็พูดต่อ “คิดว่าไอ้ผู้ชายที่หนีมามันไม่เคยรับรู้เรื่องของเธอเลย”
“...”
เป็นไปไม่ได้แน่ๆ
“ใช่หรือเปล่า”
ก๊อกๆ ก๊อกๆ
แต่แล้วไม่ทันที่ฉันจะได้ตอบเสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกสายตาฉันไปมอง ความกลัวจับจิตจับใจเกิดขึ้นพร้อมกับร่างการที่มันต้องออกแรงประท้วงให้หลุดรอดจากพันธนาการของเขา การพยายามดิ้นให้หลุดก่อนจากนั้นค่อยคิดต่อว่าจะเอายังไงดีถ้าเกิดอีกฝ่ายที่เคาะประตูมีกุญแจสำรองในมือทุกอย่างต้องจบแน่
“ซานแกล็อคประตูทำไมเนี่ย”
ป้าอุ่น...
ก๊อกๆ ก๊อกๆ
เสียงเคาะดังขึ้นถี่มากเพราะป้าอุ่นเล่นใส่รัวไม่ยั้งจึงกดดันให้ฉันต้องมองขึ้นไปสบตากับเขาอีกครั้งการสบตาแกมสื่อขอร้องว่าอย่าทำให้เรื่องราวมันยุ่งยากไปมากกว่านี้อีกเลยแต่แล้วรู้ไหมว่าสิ่งที่ฉันได้กลับคืนมาคือรอยยิ้มร้ายเหยียดยกขึ้นตรงมุมปากพร้อมกับการสื่อความหมายว่า...
‘ไม่ทำตาม’
‘เอามันให้รู้ไปเลย’
และนี่คือสิ่งที่ทำให้ฉันอยากจะบ้าตาย
“คุณปล่อยหนูก่อน”
“ไม่”
“แต่ป้าอุ่นมีกุญแจสำรองเข้ามาเห็นมันไม่ดี” การพยายามพูดด้วยเหตุผลสุดท้ายแล้วมือใหญ่ก็ปล่อยข้อมือฉันเป็นอิสระแต่ยังไม่ย้ายออกไป “คุณลุกไปสิ”
“นี่แกอยู่ในนั้นหรือเปล่าซาน”
“ยะ...” แค่นั้นฉันพูดได้แค่นั้นเพราะถูกกระชากให้กึ่งลุกกึ่งนั่ง ไม่สมควรเอ่ยออกไปสินะถึงได้จ้องเขม่นขนาดนั้นแล้วก็ไม่บอกกันดีๆ “นิ!”
“ทำตัวดีๆ”
แล้วการขู่เข็ญก็เข้ามาทำให้ตัวฉันแข็งนิ่งเพราะเวอร์ชั่นนี้ของเขาไม่ควรเข้าไปขวางเด็ดขาด การกระทำต่อมาที่เขาทำด้วยความรวดเร็วมากนั่นคือการลากฉันให้ลุกขึ้นจากเตียงเดินไปยังหน้าตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างกันทันทีที่ประตูเลื่อนถูกเขาเปิดฉันก็รับรู้ตัวดีว่าต้องซ่อนอยู่ในนี้
อีกทั้งยังมีแรงดันร่างฉันอีก
“...”
“อย่าให้ได้เหลืออด”
สันกรามปูดนูนขึ้นเพราะเขากำลังระงับอารมณ์เต็มที่
“แต่หนู...”
การพยายามจะแย้งของฉันดูหมดหนทางหมดความหมายไปในทันทีเมื่อท่าทีแข็งกระด้างประกอบกับวาจาที่กำลังจะพ่นออกมานั้นไม่ทันให้ฉันได้พูดต่อได้เลย
“ซาน เธอคงรู้นะว่าต่อจากนี้มันจะเป็นยังไงถ้าทำให้พี่โกรธ”
“...”
ความพินาศย่อยยับตามมาเป็นพรวดนะสิทำไมฉันจะไม่รู้ ไม่มีอะไรปิดบังฉันได้หรอกโดยเฉพาะไอ้นิสัยเหล่านั้นถึงจากกันนานมันก็ยังทำให้ฉันจำได้ขึ้นใจไม่มีทางลบเลือนได้ทั้งนั้น ความเลวร้ายซึ่งกลายเป็นจุดด่างดำในจิตใจฉันต่อให้ทำความดีแค่ไหนก็ไม่สามารถทำอะไรไอ้จุดดำนั้นได้เลย
พยายามไปก็ไร้ค่า
