CHAPTER 6
“แสดงว่ามึงตั้งใจทำสินะหิน กีดกันขนาดนี้เลยเหรอวะ”
“มันควรเป็นแบบนั้น” ประโยคเฉยชาเล่นเข้าโสตประสาทการรับรู้ของตัวเองรู้ไหมประโยคนี้ทำเอาบรรยากาศที่ดีเหมาะสำหรับดื่มกาแฟจางหายลงไปในพริบตา แก้วกาแฟอยู่ตรงหน้าโดยมีดวงตาของฉันภายใต้แว่นตาจับจ้องไปไม่คลาดสายตาไปไหนมองมันซ้ำๆ แบบนั้นเรื่อยๆ กระทั่งประโยคต่อมามันทำลายลง “หรือจะให้บอกลูกว่าแม่มีผัวใหม่”
“ไอ้หิน”
“นี่ไง ขนาดมึงยังรับไม่ได้แล้วคิดเหรอว่าเด็กแบบลิลลี่จะรับได้ ไม่มีทางหรอกมึงก็รู้ว่าลิลลี่เป็นยังไง”
หมายความว่าไง
“…”
“มันต้องทำแบบนี้”
“แต่วงกว้างที่มึงตีกรอบเอาไว้สุดท้ายแล้วมันไม่ได้อะไรเลยนะ”
“…”
“อยากให้มึงคิดข้อนี้ด้วยหิน อย่าคิดเพียงแค่ว่ากลัวลูกจะรับไม่ได้ว่าแม่ไปมีครอบครัวใหม่”
“…”
การเค้นยิ้มให้กับตัวเองโดยปราศจากคำอธิบายใดๆ เพราะมันจริงทุกอย่าง
“ว่าแต่เธอไปมีครอบครัวใหม่จริงๆ หรือมึงมโนเองไอ้หิน”
“ไม่รู้”
“ไม่รู้นี่หมายถึงปฏิเสธหรือว่าปัดส่งๆ”
“จะเอาอะไรนักหนาเว” เสียงหงุดหงิดอีกทั้งตอบปัดรำคาญไม่พอใจทำให้คู่สนทนาเงียบลง เรื่องมันเกิดขึ้นนานแล้วเป็นความทรงจำไม่ดีไม่มีใครอยากพูดอีก “เขาบอกกูเองให้คิดว่าไงล่ะ”
“เห้อปวดหัวกับเรื่องของพวกมึงว่ะ” ไม่ใช่การประชดนะแต่เป็นการใช้น้ำเสียงพร้อมทั้งถอดถอนลมหายใจที่แสดงถึงความเหนื่อยและเบื่อหน่ายมากจริงๆ หากคาดเดาไม่ผิดอีกคนที่เป็นคู่สนทนาจะเงียบไม่แสดงอาการอะไรออกมาทั้งนั้นเพราะไม่อยากให้ใครเข้ามารับรู้ความคิด “แล้วก็เบื่อการทำหน้าแบบนี้ของมึงด้วยหิน”
นั่นไง... เชื่อไหมล่ะ
ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะรับรู้เรื่องของคนอื่นได้ไปทั่วทว่ากับคนๆ นี้มันง่ายนิดเดียวเท่านั้น ความราบเรียบความนิ่งไม่ตื่นเต้นอะไรนั่นแหละคือจุดที่ควรมาร์กเน้นสีเด่นเอาไว้เลยว่าคนนี้มีแผนรองรับเอาไว้สำรองอยู่แล้วแต่จะเอ่ยออกมาหรือเก็บเอาไว้รับรู้เองมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งอยากในการคาดเดา
“…”
“แต่ดีหน่อยที่พาลิลลี่หลานรักมาอยู่ด้วยไม่ต้องไปๆ มาๆ ทัวร์อเมริกาเหมือนหลายๆ ปีที่ผ่านมาแล้ว”
“…”
“มีแค่นี้แหละที่กูรักมึงนอกนั้นอยากถีบลงเหว”
“แล้วถ้ากูพาลูกหนีมึงไปอีกอ่ะ”
“เรื่องนี้ไม่ต้องถึงกูเลยแค่แม่มึงคนเดียวมึงก็ตายห่าแล้วจ้ะ”
“กวนตีนเว”
“แต่จะว่าก็ว่าเถอะอีกเรื่องที่เกิดขึ้นมึงจะทำยังไง”
“เรื่องไหน?”
“แท”
“ให้แก้เอง” ไม่ต้องใช้เวลาคิดในการตอบน้ำเสียงเดิมก็เอ่ยขึ้นแต่ลดเสียงกว่าเดิมมากกว่าเนื่องจากเป็นที่สาธารณะควรเซฟนิดหนึ่ง “กูไม่เข้าไปยุ่งหรอกอีกอย่างปัญหาก็เกิดขึ้นมาจากตัวแทเองนะเว”
“ไหนว่าคุยๆ กันอยู่วะ”
“คุย ก็แค่คุยไม่ใช่ตัวรับแทนปัญหาทั้งหมดแล้วถ้าจะคิดว่าจะเข้าไปเป็นสปอนเซอร์แทน JR หรือเปล่านั้นตอบได้เลยว่าไม่มีทาง”
“ไอ้หิน”
“ขนาดคุณลาแอลนักธุรกิจชื่อดังระดับโลกยังถอนออกแล้วกูจะเอาตะวันพิศาลไปเสี่ยงเหี้ยอะไรล่ะ จริงมั้ย?”
“ลาแอล?”
เหมือนอีกฝ่ายจะถามว่าใครด้วยสิ
“ผู้มีอิทธิพลหญิงจากฝั่งตะวันตก เด็ดขาด น่าเกรงขาม ร่ำรวยแล้วก็เลือดเย็น มึงควรไปหาประวัติอ่านนะเว”
“…”
“อ้อ... ผู้หญิงคนนี้ไม่มีรูปภาพนะ ไม่รู้สิว่าหน้าตาจะสวยขนาดไหน”
“อะไรวะแล้วมึงอยากเห็นอยากเจอหรือเปล่าคุณลาแอลอะไรเนี่ย”
“ไม่ ไม่อยากเจอ”
เป็นประโยคเบาหวิวที่ดังก้องเข้ามาในการได้ยินของตัวฉันเอง ไม่อยากเจอ เล่นวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนพลอยทำให้ยกมุมปากยิ้มออกมาอย่างไม่แคร์ ลาแอลน่ะเหรอ...อืม
ผู้หญิงคนนี้สวยนะ
ผู้หญิงคนนี้ฉลาดมาก
ผู้หญิงคนนี้เท่าทันคนมาหมด
และสุดท้ายผู้หญิงคนนี้ก็ร้ายสุดเช่นกัน
การกำจัดความของความร้ายกาจไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดตรงไหนหากใครเคยร่วมทุนก็น่าจะรับรู้ดีว่าคนๆ นี้ไม่ใช่เล่นๆ ขนาดระดับเดียวกันยังสามารถทำให้ร่วงตกลงมาได้เลยนับประสาอะไรหากจะต่อกรสู้เล่นๆ การเอาตัวเข้าไปเป็นตัวเล่นภายในเกมของเธอไม่ใช่เรื่องสนุกเท่าไหร่นักเพราะถ้าหากจบเกมส์ไม่ตายก็เจ็บหนัก
“โหดขนาดนั้นเชียว”
“ไม่รู้ดิ กูไม่เคยเจอนิ”
“พูดวกวนว่ะหิน มึงเป็นเหี้ยอะไรเนี่ย”
“มึงนั่นแหละเป็นเหี้ยอะไรไอ้สัส”
แล้วทั้งสองคนนั้นก็พูดเรื่องอื่นซึ่งมันไม่ได้มีความหมายอะไรกับฉันอีกเพราะเป็นเรื่องอื่นๆ ไร้ความหมายหากจะฟังอีกอย่างไม่เกี่ยวอะไรกับฉันไม่อยากสาระแนเรื่องคนอื่นชีวิตของตัวเองยุ่งยากขนาดนี้หากไปยุ่งคนอื่นไม่ตายเหรอ
การเข้าไปยุ่งเรื่องคนอื่นบอกเลยเสียเวลาชีวิตมากนอกจากจะไม่ได้เรื่องอะไรก็ยังถ่วงชีวิตและความคิดอีกประเด็นหลักที่สามารถเห็นได้ทั่วไปเลยคือการอิจฉา มนุษย์เป็นบุคคลทำให้โลกยุ่งเหยิง ทำให้สิ่งต่างๆ ต่ำลงหรือมันไม่จริง
การกระทำของมนุษย์ใช่ว่าจะดีหมด ไม่มีใครขาวสะอาดเท่ากับเด็กไปได้ตลอดหรอกแม้กระทั่งตัวเด็กเอง การเติบโตคือการแต่งแต้มสีสันลงบนตัวนั่นเสมือนเป็นตัวเลือกที่จะเลือกแต่งสีขาวหรือว่าดำ อย่างฉันเองที่ไม่ได้ดีเด่นอะไรมากกว่าใครทั้งนั้นแล้วชีวิตก็ไม่ได้น่าอิจฉาด้วยซ้ำ การเลือกมองว่าชีวิตก็เหมือนเหรียญแต่เหรียญที่มองมันมีอยู่สามด้านด้วยกัน ด้านของตัวเองด้านของคนอื่นและก็ด้านที่ปลอมขึ้น
มันเป็นแบบนี้จริงๆ นะ
ไม่เชื่อก็ลองสังเกตดูสิว่าคนรอบตัวเป็นยังไง
“วันนี้กูไปหาหลานนะหิน”
“ถ้าบอกไม่มึงก็จะไปแล้วจะถามทำเหี้ยอะไร”
“ไม่กวนสักครั้งมันจะตายมั้ย”
“มึงอ่ะตายห่าแน่”
“กูตลอด กูที่เป็นพี่มึงเนี่ย”
“เลิกไร้สาระเถอะเว”
เสียงถกเถียงกันดังขึ้นแล้วก็จางหายลงไปเรื่อยๆ กระทั่งกลับมาเงียบกว่าปกติได้ การได้นั่งดื่มกาแฟใช้เวลากับตัวเองไปเรื่อยจวบจนเป็นที่พอใจก็ถึงเวลากลับ
ความจริงแล้วฉันต้องการกลับทีหลังสองคนนั้นต่างหากแล้วก็เป็นแบบนั้นแบบที่เป็นความต้องการของตัวเองใช้เวลาเดินจากร้านกาแฟมายังรถใช้เวลาไม่นานนักก่อนเท้าจะหยุดลง
มีข้อความหนึ่งโชว์ขึ้นท่ามกลางสายตาของฉัน
ข้อความจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่สาว
และก็เป็นข้อความที่ฉันเลือกไม่ตอบและก็ไม่สนใจมัน นิ้วมือเคลื่อนกดสลับแชตไปยังอีกแชตหนึ่งซึ่งถูกใช้งานบ่อยกว่าใครทั้งนั้น
J CHAT
LL[ll]: สืบรายละเอียดทุกอย่างของลลิสา ตะวันพิศาล
LL[ll]: ขอด่วน
J: รับทราบค่ะ
พึ่งเห็นช่องโหว่ของตัวเองในรอบหลายปีที่ผ่านมาซึ่งมันเป็นความผิดพลาดของตัวเองอย่างไม่ต้องไปโทษใครได้เลย รู้ตัวว่าแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยตัวเองรับรู้หมดทุกอย่างทว่ากับเรื่องหนึ่งซึ่งอยู่ในบทสนทนาของสองคนนั้นทำให้ฉันกังวลว่าอาจมีเรื่องหนึ่งหรือหลายเรื่องที่ยังไม่รู้ซุกซ่อนอยู่มันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
สำหรับลิลลี่ฉันเองรู้ทุกเรื่อง
ฉันต้องการรู้ทุกเรื่อง
“ไอ้เหี้ยดีนะที่กุญแจไม่หายไอ้สะ...”
น้ำเสียงทุ้มที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์จนโสตประสาทของฉันคุ้นเคยแยกเสียงได้ถึงแม้ไม่ได้เจอหรือพูดคุยกันเลย ประโยคนั้นยังเอ่ยพูดไม่จบแบบสมบูรณ์กับต้องมาหยุดลงเมื่อฉันและเขาสบสายตากัน ระยะห่างของพวกเราไม่มากเพียงแค่สามก้าวก็ชิดกันแล้วงั้นแสดงว่ารถคันสีขาวจอดข้างกับรถฉันก็คือรถเขาสินะ
โลกกลมหรือเวรกรรมกำลังจะวนเกิดอีกรอบกัน
อย่างหลังน่าจะใช่กว่า
“มึงหยุดทำเหี้ยอะ.... ไอ้เหี้ย...”
ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้นนอกจากคนเรือนผมสีแดงอ่อนเข้ากับนัยน์ตาสีดำขลับคู่นั้น
กระทั่ง... เขาเดินผ่านฉันไปราวกับไม่มีตัวตนหลงเหลือเพียงแค่กลิ่นน้ำหอมล่องลอยตามลม
