9 สวรรค์กลั่นแกล้ง
9
สวรรค์กลั่นแกล้ง
ตั้งแต่เมื่อคืนที่เหวินหยางออกจากห้องไป จวบจนเช้านี้เขายังคงไม่กลับเข้ามา จินหลงเองก็ไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะเอาแต่ร้องไห้จนฟ้าเริ่มสว่าง
ฝนยังคงลงเม็ดตกจากฟ้าอย่างไร้วี่แววว่าจะหยุด ผืนฟ้าเป็นสีขาวขุ่นราวกับทะเลสาบขนาดใหญ่มหึมา แม้มีแสงสว่างทว่ากลับมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ บรรยากาศอึมครึมไปทั่วทั้งเมืองจุนเฟิง
จินหลงนั่งกอดเข่ามองหยาดฝน ผ่านบานหน้าต่างห้องซึ่งเปิดออกเพื่อระบายอากาศ พลางคิดไปต่างๆ นานาถึงคำพูดของบุรุษ ที่ทำให้เขาต้องร้องไห้มาทั้งคืน
น้อยใจไม่น้อยกับคำกล่าวหาลอยๆ ไร้ซึ่งความจริง ทว่าจินหลงเองก็รู้สึกเข้าอกเข้าใจอีกฝ่าย การเฝ้ารอบางสิ่งมาอย่างยาวนาน แล้วมันไม่เป็นไปดั่งที่คาดหวังเอาไว้ เขาคงผิดหวังเสียใจมากแน่ๆ
“ท่านเซียน พวกข้านำอาภรณ์ชุดใหม่มาให้ผลัดเปลี่ยนเจ้าค่ะ”
ขณะกำลังเหม่อมองท้องฟ้าซึ่งขุ่นมัวไปด้วยหยาดฝน สาวรับใช้สองนางได้เดินเข้ามาภายในห้อง พร้อมเอ่ยดึงสติที่กำลังเลื่อนลอย
จินหลงสะดุ้งเล็กน้อย รีบยกหลังมือซับหยดน้ำตาที่ยังรื้นอยู่ออก เขาหันมองผู้มาเยือนทั้งสอง ซึ่งกำลังวางถาดเสื้อผ้าลงบนโต๊ะน้ำชา พลันนึกบางสิ่งขึ้นได้
“พวกท่าน… ข้ามีเรื่องอยากรบกวนสอบถามหน่อยได้หรือไม่?”
ร่างเล็กราวกับสตรีลุกพรวดเดินดิ่งเข้ามาหาสาวรับใช้ทั้งสองคน ซึ่งกำลังตกใจกับท่าทีคล้ายร้อนรนของคู่สนทนา พวกนางมองหน้ากันเลิ่กลั่กเล็กน้อยก่อนกล่าวตอบ
“ได้เจ้าค่ะ ท่านเซียนมีเรื่องใดอยากถามหรือเจ้าคะ?”
“ข้าอยากรู้ว่าวันที่ข้าปรากฏตัวขึ้นในเมืองจุนเฟิง เจ้าเมืองของพวกท่านกำลังบวงสรวงขอขมาผู้ใดอยู่ พวกท่านพอจะรู้หรือไม่?”
ในเมื่อถามเรื่องนี้กับตัวการหลักไม่ได้ ก็ถามหาข้อมูลจากคนอื่นแทนแล้วกัน หวังว่าพิธีบวงสรวงในวันนั้นจะไม่ใช่ความลับอะไรนะ เพราะไม่งั้นจินหลงไม่รู้จะไปหาข้อมูลพวกนี้จากที่ใดแล้ว
“รู้เจ้าค่ะ ท่านเจ้าเมืองบวงสรวงขอขมาท่านเทพเจ้ามังกร”
“เทพเจ้ามังกร?”
จินหลงขมวดคิ้วยุ่ง ขบคิดตามคำที่ได้ฟังจากปากสาวใช้ เทพเจ้ามังกรเป็นบรรพบุรุษของจินหลง หรือสาเหตุที่เขาทะลุมิติมายังแผ่นดินต้าหวงในครั้งนี้ ต้นเหตุมันเป็นเพราะเทพเจ้ามังกร
แต่… เพราะเหตุใดบรรพบุรุษถึงต้องเรียกเขามาที่นี่ด้วย จะให้มาช่วยขจัดภัยแล้งให้ดินแดนแห่งนี้งั้นหรือ บ้าบอสิ้นดี! เทพเจ้ามังกรคิดอะไรอยู่กันแน่ เขาไม่รู้หรือไงว่าแม้จะสืบเชื้อสายผู้ควบคุมฤดูกาล แต่ความจริงแล้วกลับทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ไร้ประโยชน์ขนาดนี้จะไปช่วยเหลือผู้ใดได้
“ใช่เจ้าค่ะ อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะเจ้าคะ ตอนแรกไม่มีใครเห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านเจ้าเมืองคิดจะทำเลยสักคน แต่พอท่านเซียนปรากฏตัวพร้อมกับสายฝนที่พวกเราเฝ้ารอ ทุกคนก็เปลี่ยนความคิดกันหมด”
สาวรับใช้นางหนึ่งเอ่ยด้วยสีหน้ารู้สึกผิด เพราะนางเองก็เป็นหนึ่งในพวกนั้น ซึ่งมีความคิดว่าสิ่งที่เหวินหยางทำพิสดารเกินไป
“เพราะเหตุใดจึงไม่มีใครเห็นด้วยกับเขางั้นรึ?”
“เพราะตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ทุกคนในแผ่นดินต้าหวงล้วนเข้าใจว่าท่านเทพเจ้ามังกรคือปีศาจ”
“…”
“ไร้หัวใจ ไร้ความเมตตา ปล่อยให้มนุษย์เผชิญกับภัยแล้งจนเจ็บป่วยล้มตายมากมาย”
“…”
“แต่ยามนี้ท่านเทพเจ้ามังกรได้ทำให้เห็นแล้วว่า ท่านไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเราคิด เพราะได้ประทานท่านเซียนพร้อมสายฝน ลงมาให้กับประชาชนชาวเมืองจุนเฟิง”
ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มอย่างดีอกดีใจ ขณะดวงตาปล่อยหยาดน้ำแห่งความปีติยินดีให้ไหลรินหลังเอ่ยจบ ทว่าจินหลงกลับรู้สึกปวดหนึบในหัวใจ เพราะสิ่งที่พวกนางกำลังรู้สึกยินดีอยู่นั้น ได้สร้างหายนะให้กับเมืองจุนเฟิงแล้วในตอนนี้
“แต่ตอนนี้สายฝนพวกนั้น กำลังจะทำให้เมืองจุนเฟิงจมลงสู่ใต้สายน้ำนะ”
“ข้าเชื่อว่าท่านเซียนไม่ทำร้ายพวกเราหรอก ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
ประโยคนี้ทำเอาจินหลงสะอึก เกิดความรู้สึกชาวาบไปทั่วทั้งร่างกาย ก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ในลำคอจนเขาไม่สามารถเอ่ยตอบได้ หรือความจริงแล้วจินหลงไม่กล้าตอบคำถามนั้นกันแน่
“หากต้องการไปที่หมู่บ้าน ข้าควรทำอย่างไร?”
สุดท้ายแล้วจินหลงก็บ่ายเบี่ยงที่จะไม่ตอบคำถามนั้น เขาจึงเลือกตั้งคำถามใหม่ขึ้นมาแทน ในส่วนของสาวรับใช้ก็ไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบในสิ่งที่เอ่ยถามไป
“ยามนี้ฝนตกหนักถนนชำรุดเสียหาย รถม้าไม่สามารถวิ่งได้ ทางเดียวที่จะไปได้คือขี่ม้าเจ้าค่ะ”
ดีที่ตอนอยู่โลกเดิมโรงเรียนได้สอนการขี่ม้าให้กับนักเรียนด้วย แม้ตอนนั้นจินหลงจะมีความคิดว่าเรียนไปก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ เพราะปัจจุบันมนุษย์นิยมใช้ยานพาหนะล้ำสมัยกันแล้ว ทว่ายามนี้จินหลงกลับรู้สึกขอบคุณโรงเรียนที่สอนมันให้กับเขา
“แล้วเส้นทางเล่า ข้าต้องไปทางใด?”
“ท่านเซียนสามารถขี่ม้าลงเขาไปตามเส้นทางหลักได้เลยเจ้าค่ะ หมู่บ้านอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก”
“ขอบใจท่านมาก”
เมื่อจบบทสนทนาสาวรับใช้ทั้งสองจึงเดินจากไป จินหลงจึงเริ่มผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดนอนเป็นชุดใหม่ เตรียมความพร้อมสำหรับการออกไปผจญภัยด้านนอก เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เขายังไม่เคยได้ไปไหนไกลเกินกว่ารั้วจวนของเหวินหยางเลย
ไม่นานร่างเล็กก็ได้ขึ้นไปอยู่บนหลังอาชาสีขาวสง่า ที่ไปขอหยิบยืมมาจากทหารผู้ดูแลคอกม้า จินหลงควบม้าออกประตูจวน มุ่งตรงไปตามเส้นทางสู่หมู่บ้านแถบเชิงเขา
ใช้เวลาสักพักแนวหลังคาบ้านเรือนก็ปรากฏให้เห็น จินหลงจึงชะลอม้าหยุดดูสถานการณ์บนขอบผา ทอดสายตามองลงไปยังด้านล่างด้วยสายตาเศร้าสลด
ชาวบ้านที่พอแข็งแรงพากันขนข้าวของหนีน้ำขึ้นที่สูง ขณะผู้สูงอายุและเด็กนั่งกอดกันร้องไห้อยู่บนเนินดิน น้ำฝนกับหยดน้ำตาไหลรวมกันจนแยกแทบไม่ออก
ฝนยังคงตกลงจากท้องฟ้าไม่ขาดสาย ราวกับกำลังกลั่นแกล้งมนุษย์ที่ไร้ทางสู้ มันน่าหงุดหงิดตรงพื้นที่รอบกายของจินหลงกลับไร้ฝนสักเม็ด ยิ่งตอกย้ำให้เขารู้สึกผิดหนักเข้าไปใหญ่
ห่างออกไปไม่มาก เหวินหยางกำลังช่วยชาวบ้านอพยพจากที่ต่ำขึ้นบนเนินเขา เสื้อผ้าร่างกายเปียกโชกไปหมด สีหน้าดูอิดโรยอย่างชัดเจน เขาคงอยู่ที่นี่ทั้งคืนเพื่อช่วยเหลือประชาชนของตน
“ข้าจะช่วยพวกท่านอย่างไรดี?”
ดวงหน้าจิ้มลิ้มแสดงความเวทนาสงสาร ไม่นานจึงแหงนมองท้องฟ้าด้วยแววตากรุ่นโกรธ นึกโมโหผู้ที่ประทานฝนห่านี้ลงมา เหตุใดจึงเอาความหวังของมนุษย์มากระทำเหมือนเป็นเรื่องล้อเล่นกัน
จินหลงหลับตาลงพยายามตั้งสมาธิ รวบรวมพลังอันน้อยนิดในร่างกายมารวมกัน ไม่นานจึงลืมตาขึ้นและยกมือทั้งสองข้างโบกไปมา เพื่อไล่ก้อนเมฆสีขาวขุ่นขนาดใหญ่บนท้องฟ้าให้จางหายไป ทว่าสิ่งที่เขาทำกลับไร้ประโยชน์ ราวกับยกมือโบกกลางอากาศอันว่างเปล่าเพียงเท่านั้น
แม้ครั้งแรกจะไม่สำเร็จแต่จินหลงไม่คิดย่อท้อ เขาทำแบบเดิมอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง จนหยาดน้ำอุ่นๆ เริ่มไหลรินออกจากดวงตาทั้งสองข้าง
ถึงสมองบอกให้พยายามต่อ เพราะทุกคนกำลังรอความช่วยเหลือจากเขา ทว่าส่วนลึกด้านในก็ร้องตะโกนว่า ต่อให้พยายามมากแค่ไหนก็คงไม่มีทางสำเร็จ เพราะเขามันก็เป็นได้แค่ไอ้คนไร้ค่า เป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ไร้ประโยชน์ เป็นเพียงเซียนปลอมๆ ที่ทำได้แค่หลอกลวงความเชื่อมั่นของผู้คนไปวันๆ
“ฮือๆ สวรรค์! หากข้ามันไร้ประโยชน์ถึงเพียงนี้ เหตุใดต้องส่งข้ามายังสถานที่แห่งนี้ด้วย!! ข้าไม่อยากเป็นความหวังของผู้ใด และข้าไม่อยากให้ใครมาคาดหวังในตัวข้า!!!”
จินหลงร้องตะโกนตัดพ้อพร้อมร้องไห้ฟูมฟายราวกับเด็กน้อย แหงนหน้ามองฟ้าด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ พลันบางสิ่งกลับดึงความสนใจจากเขา
ลำแสงประหลาดสีทองอร่ามสาดส่องจากพื้นดินขึ้นสู่ฟากฟ้า จากระยะที่จินหลงอยู่กับพื้นที่ตรงนั้นค่อนข้างห่างไกลพอสมควร ทว่าบางส่วนภายในความรู้สึกบอกให้เขาไปยังสถานที่แห่งนั้น
ไม่รอช้าฝ่ามือเล็กรีบเช็ดหยาดน้ำตาออกจากใบหน้า ควบม้าตะบึงมุ่งตรงสู่จุดกำเนิดลำแสงทันที ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้างหน้าจะมีอะไรรอเขาอยู่ อาจเป็นไปได้ทั้งสิ่งที่ดี หรือบางทีอาจเป็นความชั่วร้าย
