บท
ตั้งค่า

1 ความคิดพิสดาร

1

ความคิดพิสดาร

“ท่านเจ้าเมือง... พวกเราจะทำอย่างไรกันดี? ยามนี้เสบียงในคลังได้หมดเกลี้ยงไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไร้วี่แววว่าฝนจะตกในเร็วๆ นี้”

‘ชูชาง’ ขุนนางผู้ทำหน้าที่ดูแลคลังเสบียงเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล เนื่องด้วยยามนี้สิ่งที่เขาเฝ้าดูแลรักษามาเกือบทั้งชีวิต ได้มลายหายไปจนสิ้น

หลังเกิดภัยพิบัติแห้งแล้งมาเป็นเวลาร่วมห้าปีเต็ม สายน้ำค่อยๆ แห้งเหือดไปจากแม่น้ำลำธาร พื้นดินร้อนระอุแตกระแหงไร้ความชุ่มชื่น ส่งผลให้พืชพันธุ์นานาชนิดที่ชาวบ้านเพาะปลูกไว้ทยอยล้มตาย

สัตว์จำนวนมากมายขาดน้ำและอาหารผอมโซ บางตัวยังไม่ทันโตเต็มวัย ก็ถูกจับเชือดเพื่อนำไปทำเนื้อตากแห้งไว้ประกอบอาหาร เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจล้มตายเสียเปล่า

จากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปีที่ท้องฟ้าไร้ซึ่งเมฆฝน บรรดาเมืองทั้งสามในแผ่นดินต้าหวง ต่างพากันหาวิธีเอาตัวรอด ผู้คนล้วนเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ผู้มีศักดิ์ฉกฉวยกดขี่ข่มเหงผู้ต้อยต่ำกว่า

ใช้อำนาจในมือบีบเคล้นแย่งชิงสิ่งที่ตนต้องการ อย่างไร้ความเมตตาสงสาร ขูดเลือดรีดเนื้อเอาอาหารจากชาวบ้านตาดำๆ ช่างเป็นภาพที่ดูหดหู่น่าเวทนายิ่งนัก

หลังดินแดนของตนว่างเปล่า จึงเริ่มรุกล้ำไปยังพื้นที่ของเมืองข้างเคียง จนก่อให้เกิดสงครามระหว่างเมือง ทหารล้มตายมากมายจากการถูกส่งไปรบ

ประชาชนเดือดร้อนกันถ้วนหน้า แค่ปัญหาปากท้องก็ทุกข์ทรมานเกินทนแล้ว ยังต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ เพราะกลัวโดนลูกหลงจากสงคราม

มีเพียงเมืองจุนเฟิงเท่านั้นที่เปิดคลังเสบียงแจกจ่ายอาหาร ช่วยเหลือชาวบ้านในดินแดนของตน ขณะที่เมืองอื่นเอาแต่ริบของประชาชนเข้าคลังหลวง ปล่อยพวกเขาให้เผชิญชะตากรรมอย่างเดียวดายไร้การแยแส

“ข้าจะจัดพิธีบวงสรวงขึ้นอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ พวกท่านช่วยไปเตรียมข้าวของที่จำเป็นต้องใช้ให้พร้อมด้วย”

บุรุษหนุ่มซึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้อันทรงเกียรติ ที่มีเพียงแต่ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองเท่านั้นถึงจะขึ้นไปสัมผัสได้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงพลังขณะหยัดกาย ลุกขึ้นก้าวเดินออกมาด้านหน้าบัลลังก์ของตน

‘เหวินหยาง’ เจ้าเมืองซึ่งอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์แผ่นดินต้าหวง ขึ้นปกครองเมืองจุนเฟิงสืบต่อจากบิดาด้วยวัยเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น

หลังจากเจ้าเมืองคนก่อนล้มป่วย ด้วยโรคที่มาพร้อมกับภัยแล้งกะทันหัน บุตรชายเพียงคนเดียวอย่างเขา จึงต้องรับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่อย่างเลี่ยงไม่ได้

เด็กชายซึ่งพึ่งแตกเนื้อหนุ่มอายุเพียงสิบเจ็ด อาศัยเอาความรู้ที่ครูพักลักจำมาจากบิดา จัดการบริหารบ้านเมืองตามคำแนะนำของเหล่าขุนนาง เก็บเกี่ยวประสบการณ์จนมีทัศนคติที่ค่อยๆ แตกต่าง เริ่มออกปากออกเสียงเมื่อข้อเสนอบางประการดูไม่น่าเห็นควรด้วย

ยกตัวอย่างเช่นการส่งทหารไปสู้รบกับเมืองอื่น เพื่อหาเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ของเมืองนั้นๆ มาเป็นของตน เหวินหยางก็เอ่ยปฏิเสธเพราะมองเห็นแต่ความรุนแรงสูญเสีย มากกว่าการได้รับประโยชน์ใดๆ

หรือการเก็บข้าวปลาอาหารและน้ำสะอาดที่มี เอาไว้ใช้กันเองเหมือนดั่งที่เมืองอื่นๆ ทำกัน แทนที่จะแจกจ่ายให้ประชาชนของตนได้กินดื่ม

ทว่าเหวินหยางกลับเลือกที่จะคัดค้าน ออกคำสั่งให้เปิดคลังช่วยเหลือชาวบ้าน เปิดบ่อน้ำบาดาลของเมืองให้ผู้คนได้ใช้สอย โดยที่เหล่าขุนนางทั้งหมดไม่เห็นชอบด้วย

จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลาร่วมสามปีเต็ม ที่เขาดูแลประชาชนไม่ให้อดอยากปากแห้ง ปกครองดินแดนด้วยความเที่ยงธรรมมาโดยตลอด

เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ด เติบโตขึ้นเป็นบุรุษอายุยี่สิบปีบริบูรณ์ ที่ทั้งสง่างามและมีจิตใจโอบอ้อมอารี ทว่าเขากลับยังไม่มีสตรีเคียงข้างกาย แม้บรรดาขุนนางจะพากันเสนอบุตรสาวของตนให้ก็ตามที เหวินหยางกลับเมินเฉยไม่สนใจดอกไม้งามเหล่านั้น

คำสั่งที่ได้รับทำเอาขุนนางทั้งหมดถอนหายใจยาวพรืด ส่ายศีรษะเบาๆ คล้ายเหนื่อยใจ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าเมืองมีคำสั่งให้จัดตั้งโต๊ะบวงสรวงขึ้น

ตลอดระยะเวลาห้าปี ที่แผ่นดินต้าหวงเผชิญกับภัยความแห้งแล้ง พวกเขาทำพิธีบวงสรวงขอความเมตตาจากสวรรค์ มาหลายครั้งหลายคราจนนับไม่ถ้วน ทว่าแม้แต่ก้อนเมฆสีดำยังไม่มีปรากฏให้เห็น บนท้องฟ้ามีเพียงสีครามเท่านั้นที่ระบายแต่งแต้มจนทั่ว

“ยังคิดจะจัดพิธีบวงสรวงสวรรค์อีกหรือท่านเจ้าเมือง ที่ผ่านมามันล้มเหลว จนพวกข้าแทบจะทนรับกับความผิดหวังไม่ไหว”

‘อี้เจ๋อ’ ผู้ดูแลกรมพิธีการกล่าวด้วยสีหน้าคล้ายหมดแรง พวกเขาเคยมีความหวังในการพึ่งพาฟ้าดิน ทว่าที่ผ่านมามันทำให้เห็นและรับรู้ ว่าสวรรค์ได้ทอดทิ้งมนุษย์ไปแล้ว

“ใครว่าจะบวงสรวงสวรรค์กัน ข้าจะขอขมาเทพเจ้ามังกรต่างหาก”

“…!!”

จากใบหน้าท้อแท้สิ้นหวัง กลายเป็นตื่นตระหนกตกใจอย่างขีดสุด หลังได้ฟังเป้าหมายในการจัดพิธีบวงสรวงครั้งนี้ จากปากผู้เป็นเจ้าเมือง

ทุกคนหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เสียงซุบซิบนินทาดังระงมไปทั่วห้องโถง บ้างก็บอกว่าเหวินหยางเสียสติ บ้างก็กล่าวว่าเขามีความคิดพิสดารเกินไป

เป็นเรื่องไม่สมควรทำบ้างล่ะ ไม่ควรคิดจะทำบ้างล่ะ ทั้งๆ ที่มันก็ควรค่าแก่การลองทำดูสักครั้ง หลังหมดหวังจากการเฝ้ารอความเมตตาจากสวรรค์แล้วแท้ๆ

เทพเจ้ามังกรเดิมเป็นสัตว์เทพโบราณ ซึ่งทำหน้าที่ดูแลแผ่นดินต้าหวงมานับพันๆ ปี แต่ก่อนแผ่นดินนี้เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาลตลอด

พื้นดินมีแต่สีเขียวขจีของต้นหญ้าและพืชพันธุ์นานาชนิด แม่น้ำลำธารเต็มไปด้วยฝูงปลาหลากหลายสายพันธุ์แหวกว่ายตลอดสาย ผืนป่าอุดมสมบูรณ์ไปด้วยฝูงสัตว์มากมาย

ทว่าจู่ๆ เมื่อห้าปีก่อนกลับเกิดเหตุการณ์อาเพศ ฝนที่เคยตกทุกปีกลับไร้วี่แววว่าจะร่วงหล่นลงจากฟ้า แหล่งน้ำทั่วแผ่นดินค่อยๆ แห้งเหือดลงเรื่อยๆ

เมื่อไร้ซึ่งน้ำจึงไร้ความชุ่มชื้น แผ่นดินแตกระแหงแยะออกจากกัน แปรเปลี่ยนเป็นเศษฝุ่นธุลีพัดปลิวไปตามสายลมร้อนระอุ ต้นไม้ที่เคยเขียวขจียืนต้นแห้งตายเกลื่อนไปหมด

ผู้คนอดอยากปากแห้งสุขภาพย่ำแย่ ไม่นานก็เกิดโรคระบาดตามมาในที่สุด ถือเป็นหายนะครั้งใหญ่ของแผ่นดินต้าหวง ที่เคยได้ประสบพบเจอมา

แต่นั่นยังไม่หนักหนา เท่ากับทั้งสามเมืองก่อสงครามแย่งชิงดินแดนกัน เพราะต่างฝ่ายต่างคิดว่าแต่ละเมืองมีเสบียงกักเก็บเอาไว้ หนำซ้ำยังไปรุกล้ำพื้นที่ของเทพเจ้ามังกร ทะเลสาบกลางแผ่นดิน สถานที่เดียวซึ่งยังคงความอุดมสมบูรณ์ไว้อยู่

ดั่งโอเอซิสกลางทะเลทรายอันไกลโพ้น เป็นที่หมายปองอยากครอบครองของแต่ละเมือง การบุกรุกสถานที่อยู่อาศัยของสัตว์เทพในตำนาน สร้างความโกรธเกรี้ยวให้ผู้เป็นเจ้าของพื้นที่อย่างมากโข ลงโทษผู้รุกล้ำด้วยการสร้างเมฆฝนให้ตกติดต่อกันแรมเดือน จนทั้งแผ่นดินเกือบจมลงสู่ใต้ธารา

หลังเหตุการณ์เลวร้าย ที่ก่อให้เกิดความสูญเสียมากมายมหาศาลครั้งนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปเหยียบสถานที่แห่งนั้นอีกเลย แม้แต่เส้นทางโดยสารระหว่างเมืองซึ่งสะดวกที่สุด แต่ดันไปอยู่ใกล้กับทะเลสาบ ยังไม่มีใครกล้าเดินทางผ่านสักคน เลือกเดินอ้อมเสียเวลาเป็นแรมสัปดาห์แทน

เทพเจ้ามังกรถูกขนานนามเป็นปีศาจร้าย ต่อว่าต่อขานว่าจิตใจคับแคบอำมหิต ถูกเหล่ามนุษย์สาปส่งสารพัดไร้การสรรเสริญเชิดชู

แต่ยามนี้เจ้าเมืองจุนเฟิงกำลังมีความคิด จะตั้งโต๊ะบวงสรวงให้กับเทพเจ้ามังกรเสียอย่างนั้น จะเป็นเรื่องที่ขัดตาขัดใจผู้คนมากมายก็คงไม่แปลก

แต่ใครจะไปรู้เล่า...

บางทีความคิดพิสดารของเหวินหยาง ที่ไม่มีใครกล้าคิดจะริเริ่มลงมือทำ อาจสร้างเรื่องมหัศจรรย์ให้พวกเขาได้ตกตะลึงกันก็เป็นได้...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel