ตอนที่ 9 ความจริง
ขณะนี้รถยนต์ได้เดินทางมาถึงหน้าประตูใหญ่ที่มีความสวยงามวิจิตรตระการตา ผสมผสานศิลปะหลากหลายแขนงที่ถูกแต่งแต้มประดิษฐ์ประดอยจากช่างศิลป์ฝีมือระดับชาติ โดยมีป้ายขนาดใหญ่เขียนกำกับอยู่ด้านบนประตูว่า “วังพงศ์เจริญ”
เมื่อรถยนต์จอดอยู่หน้าประตูใหญ่ คนทั้งสามจึงลงจากรถยนต์ ทันทีที่เสียงปิดประตูรถยนต์ดังขึ้น ประตูใหญ่ของวังพงศ์เจริญก็ถูกเปิดออกพร้อมทั้งกลุ่มชายฉกรรจ์นับร้อยชีวิตและอาวุธครบมือเดินเรียงแถวออกมาจากประตูใหญ่ในชุดทหารสีฟ้าครามแถบขาวด้วยความเข้มแข็ง น่าเกรงขามที่เดินตรงเข้ามายังพวกเขาสามคน ก่อนจะหยุดเดินโดยรักษาระยะห่าง 10 เมตร พร้อมยกอาวุธขึ้นเตรียมรอฟังคำสั่งจากหัวหน้าองครักษ์ ซึ่งกำลังไปรายงานท่านชายของเขาอยู่
คุณชายไมล์ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ก่อนจะเดินเข้าไปหากองทหารองครักษ์ท่านชายปริ้นซ์ ทั้งที่ปลายกระบอกปืนนับร้อยถูกถือเล็งมาทางเขาเป็นเป้าหมายเดียวกัน แต่ไม่ทำให้เขาสะทกสะท้านแต่อย่างใด โดยมีแม่นมคอยปรามตลอด คุณชายเองกลับดื้อรั้นไม่ฟังคำปรามของแม่นมเลย กระทั่งมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากกองทหาร
"หยุดนะ!! พวกท่านเป็นใครเข้ามาในอาณาเขตนี้ได้อย่างไร" แล้วร่างชายคนหนึ่งก็เดินออกมาจากกองทหารนั้นอย่างสง่า
"เรามาขอพบท่านชายปริ้นซ์"
"มาขอพบท่านชายงั้นเหรอ คงมีจุดประสงค์ไม่ดีเป็นแน่ แล้วตัวท่านเป็นใครถึงมาขอพบท่านชายของเรา"
คุณชายไมล์กลับต้องสะดุดหูกับคำพูดของชายหนุ่มที่มีอายุไม่ห่างจากเขา
"ท่านชายของนาย?"
"ใช่ ท่านชายของเรา ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยว่าท่านเป็นใคร?"
"ระวังตัวนะคะคุณชาย" เสียงแม่นมร้องขึ้น
"อ๋อ นี่ท่านเป็นคุณชายหรอหรือว่าท่านจะมาร่วมงานเลือกคู่สมรสของท่านชาย"
"นายจะชวนเราพูดอีกนานไหม เราต้องการพบท่านชายเดี๋ยวนี้" คุณชายไมล์มีน้ำเสียงไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
"นี่ท่าน รู้ไหมว่าเราเป็นใคร กล้าดียังไงมาขึ้นเสียงกับเรา ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นคุณชายข้าก็ไม่สนใจหรอกนะ เพราะที่นี่ท่านชายของข้ามีอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ข้าคือคนสนิทของท่านชายปริ้นซ์มีนามว่า นีน นีอ้อน ทหารทุกคนเตรียมฟังคำสั่งของเรา"
เสียงทรงอำนาจดั่งราชสีห์คำรามพูดขึ้นพร้อมเสียงตอบรับจากกองทหารที่มีอาวุธครบมืออย่างพร้อมเพรียงกันดังกึกก้องทั่วบริเวณ
"ครับบ!!"
บรรยากาศเริ่มตึงเครียดแต่คนสำคัญที่สามารถควบคุมทุกอย่างได้ยังไม่ออกมา
"เอ๊ะ!! แม่นมนั่นเสียงอะไรน่ะ" ท่านชายรีบอุทานทันทีเมื่อได้ยินเสียงดังกึกก้อง
"รึว่าบุตรชายของผมจะสั่งรวมพล ไม่ได้การแล้วครับท่านชาย พวกเรารีบออกไปดูกันเถอะครับ"
"มีอะไรกันหรอเราไม่เข้าใจ!?"
"นมว่าเรารีบไปยังหน้าวังก่อนเถอะค่ะ"
คนทั้งสามรีบวิ่งออกไปยังประตูใหญ่ เมื่อไปถึงหน้าวังท่านชายก็ได้ยินเสียงโต้เถียงกันไปมาของน้ำเสียงคุ้นหูของใครคนหนึ่ง
"คุณชายไมล์!!"
ท่านชายปริ้นซ์อุทานเบาๆ ก่อนจะเดินฝ่ากองทหารออกไปหาคนดั่งกล่าว แต่ภาพที่เขาเห็น คุณชายถูกปืนสั้นของบุตรชายหัวหน้าองครักษ์เล็งที่ลำตัว ก่อนที่คำสั่งประกาศิตจะสั่งห้าม
"หยุดนะนีน!!..."
เพี๊ยะ!!
เสียงฝ่ามือเรียวดังกระทบแก้มของรองหัวหน้าองรักษ์ ทันทีที่ท่านชายปริ้นซ์ปรากฏตัว กองทหารต่างยืนโค้งคำนับตามระเบียบ
"ท่านชายตบหน้าผมทำไม?" ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบแก้มด้วยสีหน้างุนงง
"นายมันคนเสียมารยาท คนกลุ่มนี้เป็นแขกของเราหรือเขาจะไม่ใช่แขกของเรา นายก็ไม่มีสิทธิ์ทำกับพวกเขาแบบนี้ ขอโทษพวกเขาซะ"
"ไม่ เป็นเพราะคุณชายคนนี้ใช่ไหมที่ทำให้ท่านชายเปลี่ยนไป" คำพูดที่ออกมาจากปากของรององครักษ์นีนทำเอาทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นตกใจและเกิดความสงสัยรวมถึงตัวท่านชายเอง
"นายกำลังจะพูดอะไร เราไม่เข้าใจ มันเกี่ยวข้องกับคุณชายไมล์ยังไง"
"ท่านชายจะให้ผมพูดใช่ไหม ได้! เมื่อก่อนที่ท่านจะเดินทางไปทำงานที่เมืองไกล ตอนนั้นผมได้ไปรับใช้ท่านชายร่วมกับแม่นมด้วย พอดีที่บ้านของแม่นมมีพื้นที่จำกัด ผมและท่านชายเลยได้นอนห้องเดียวกัน จนมีอยู่วันหนึ่งในช่วงฤดูหนาว ท่านชายที่นอนบนเตียงเดียวกับผม ผมนอนหันหลังให้ท่านโดยห่มผ้าผืนเดียวกัน ท่านชายคงหนาวมาก จึงหันมากอดผมจากทางด้านหลัง ผมสะดุ้งตื่นและเกรงว่าจะไม่เหมาะสม เลยบอกท่านชายให้คลายกอดจากผม แต่ท่านกลับบอกว่าไม่เป็นไรหรอกอากาศหนาวแบบนี้นอนกอดกันอุ่นดี ผมเห็นว่าเป็นความประสงค์ของท่านเลยไม่ปฏิเสธ
คืนต่อๆ มาท่านชายก็ได้พรากความเป็นชายของผมไปจนหมดสิ้น ในทุกค่ำคืน นับตั้งแต่นั้นมาจนท่านชายไปทำงานต่างถิ่น ท่านชายจะพร่ำบอกผมเสมอเมื่อท่านต้องการสิ่งนั้นจากผม จนกลายเป็นความรักในใจของผมตลอดจนถึงปัจจุบัน
หลังจากที่ท่านกลับมายังวังพงศ์เจริญ ผมไปหาท่านที่ห้องนอนทุกคืนด้วยความคิดถึงและเป็นห่วงท่าน ท่านชายกลับไล่ผมให้ออกจากห้องอย่างไม่มีเยื่อใย แต่ผมพยายามคิดทำความเข้าใจว่า ท่านชายคงเหนื่อยและเพลียมาก ผมเลยต้องเดินออกจากห้องนอนทั้งน้ำตาด้วยความเสียใจ มาวันนี้ผมได้รู้ทุกอย่างแล้ว ชายผู้นั้นก็เป็นคุณชาย ที่บรรดาศักดิ์ไม่ต่างจากท่านมาก แต่สำหรับผมเป็นเพียงลูกชายองครักษ์ธรรมดา ที่ท่านจะหาความสุขกับผมเมื่อไหร่ก็ได้แบบนั้นน่ะสิครับ ผมรักท่านชายดั่งเทพบุตรผู้สูงศักดิ์ รักด้วยความรักทั้งหมดของหัวใจที่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งพึงจะมีให้แก่ท่านชายผู้เป็นเจ้าของร่างกายและหัวใจของเขาไปตลอดชีวิต ผมไม่เหลือความรักเอาไว้รักใครได้อีก ผมมอบให้ท่านชายจนหมดสิ้น ผมรักและจงรักษ์ภักดีต่อท่านชายด้วยชีวิต ผมยอมมอบร่างกายให้ท่านชายได้เชยชมจนสมอุรา
และต่อจากนี้ผมจะไม่ยอมให้ท่านชายทำร้ายจิตใจของผมได้อีก ยกเว้นว่าผมจะตายด้วยน้ำมือของท่านชาย ก็ให้มันรู้ไประหว่างคุณชายในดินแดนต่างถิ่นกับผมที่ยินยอมให้ท่านชายพรากความเป็นชายนับครั้งไม่ถ้วน ใครกันจะได้เป็นเจ้าของตัวและหัวใจของท่านชาย"
ทุกคนที่ได้ฟังความจริงในใจจากปากของรององครักษ์นีน ถึงกับตกใจไปตามๆ กัน
คุณชายไมล์เมื่อได้ฟังเรื่องราวจนจบสิ้น อาการเก่าก็กำเริบขึ้นอย่างรุนแรงแทบจะสิ้นใจ ณ ตรงนั้น
"คุณชาย!!"
เสียงแม่นมร้องขึ้นด้วยความตกใจที่เห็นคุณชายล้มลงหมดสติและหายใจโรยริน ทำให้ท่านชายหลุดจากภวังค์ของเรื่องราวในอดีตทันที แล้วรีบวิ่งเข้าประคองตัวคุณชายขึ้นบนตักของตน
ขณะที่รององครักษ์นีนก็ปรี่เข้ามาหวังจะผลักร่างคุณชายที่ไร้สติลงจากตักท่านชาย แต่ถูกคนเป็นพ่อรั้งตัวไว้เสียก่อน ทั้งยังคงพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากการเหนี่ยวรั้งจากคนเป็นพ่ออยู่ตลอดเวลา
จนท่านชายต้องสั่งให้นำตัวไปขังเพื่อสงบสติอารมณ์ ก่อนที่ท่านชายจะอุ้มคุณชายเข้าไปในวังยังห้องนอนส่วนตัว แล้วสั่งให้หมอประจำวังมาช่วยรักษาทันที ระหว่างที่รอหมอมารักษา คุณชายเริ่มหายใจเหนื่อยอ่อนเต็มแรง ท่านชายจึงตัดสินใจประกบริมฝีปากหนานุ่มเพื่อการผายปอดอย่างห่วงใย ทำให้แม่นมของทั้งสองเกิดความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่าง
