บทที่4
เป้าหมายต่อไปของผมคือทำให้คฤหาสน์ของเธอร้างผู้คน ในความใหญ่โตโอ่อ่าจะมีแค่ผมกับเธอเท่านั้น เพื่อที่ว่าจะได้จัดการอะไร... อะไรง่ายดายขึ้น ผมไม่ได้เสือกถึงขนาดรู้จำนวนสมาชิกในบ้าน ดังนั้นเลยต้องล้วงข้อมูลจากเธอเสียก่อน
“ที่บ้านมีคนดูแลไหม” คนที่ได้ฟังคงคิดว่ามันเป็นคำพูดที่ห่วงใย แต่ไม่หรอก ผมไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด ที่ถามไปเพราะต้องการรู้ข้อมูลเท่านั้น
“บ้านเหรอ... มีแค่คนใช้น่ะ” หงส์พูดเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก สายตามองตรงไปอย่างเลื่อนลอย สองมือกำไม้เท้าไว้แน่นเหมือนเป็นที่ยึดเหนี่ยวอย่างเดียวที่มีในตอนนี้
ผมเคยเห็นบ้านของเธอมาแล้ว จากการประเมินน่าจะมีคนใช้เกือบสิบ ไทเปเป็นเมืองเล็กแต่แออัดไปด้วยผู้คน ยิ่งคนมากความเหลื่อมล้ำในสังคมยิ่งมาก ผู้คนต่างดิ้นรนหาเงินเลี้ยงปากท้อง ฉะนั้นอาชีพคนใช้จึงเป็นที่นิยมเพราะอยู่ฟรีกินฟรี แม้จะถูกเรียกว่างานชั้นต่ำแต่ก็มีหลายคนเต็มใจทำ
“พวกเขาคงดูแลเธอได้”
“ไม่หรอก ฉันไม่มั่นใจ เฟิง... ฉันจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง” หงส์ย่นคิ้วเข้าหากัน นัยน์ตาเริ่มมีน้ำใส ๆ เอ่อคลอ
“เธอทำได้” ผมยื่นมือไปกุมมือเล็ก ๆ ของเธอไว้ มันไม่มีความอบอุ่นหรืออะไรส่งผ่านไปทั้งนั้น ผมแค่กุมเฉย ๆ แต่ในความรู้สึกของเธอคงแตกต่างออกไป หงส์ยิ้มน้อย ๆ เพราะคิดว่าได้กำลังใจจากผม
คนที่รู้จักกันเพียงแค่คืนเดียว…
“นายเป็นคนดีจริง ๆ นายเฝ้าฉัน คอยช่วยเหลือทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยรู้จักกัน ฉันไม่รู้จะขอบคุณยังไงดี ถ้าไม่ได้นายฉันอาจจะตายอยู่ตรงนั้น... กับพ่อแม่” สีหน้าหงส์หม่นลงเมื่อพูดถึงพ่อแม่ของตัวเอง
หึ... ก็แค่คนที่ตายไปแล้ว เธอควรจะอาลัยอาวรณ์กับชีวิตที่เหลืออยู่ดีกว่าไหม โลกที่มืดมิดทั้งกลางวันและกลางคืน มันน่ากลัวกว่าความตายซะอีก แค่ผมหลับตาลงยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด เธอจะได้รับรู้มากกว่าผมอีกร้อยเท่าพันเท่า เธอไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก ก็แค่… เกิดมาเป็นลูกของคนทำผิด ไหน ๆ ก็ตาบอดแล้วผมขอจัดอะไรสักเล็กน้อยก่อนจะปลอกลอกให้หมดตัวก็แล้วกัน
“ฉันยินดีดูแล ถ้าเธอไม่รังเกียจ” ผมพูดมันออกมาด้วยสีหน้าราบเรียบ เป็นคำพูดที่ผมใช้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งก่อน ๆ ผมต้องปั้นหน้าปั้นตาแสดงให้ฝ่ายตรงข้ามเชื่อ แต่ครั้งนี้ผมไม่จำเป็นต้องปั้นแต่งสีหน้าใด ๆ เพราะอย่างไรเธอก็มองไม่เห็น
“จริงเหรอเฟิง นายไม่โกหกฉันใช่ไหม” หงส์เขย่ามือผมไปมาเพื่อเรียกความมั่นใจ รอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างมีความหวัง
“อืม” ผมตอบรับสั้น ๆ คำยืนยันนั้นทำหงส์น้ำตาปริ่ม คนตาบอดนี่ช่างอ่อนไหวซะจริง ๆ เห็นแล้วสะอิดสะเอียนจนอยากจะอ้วกออกมา
หึ จะดูแลอย่างดีเลยรับรอง !
เธอคงซาบซึ้งมากจนไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดีจึงได้แต่ยิ้มอย่างเป็นสุข ผมไล่มองใบหน้าของเธอที่ตอนนี้มีผ้าก๊อซแปะอยู่ที่หน้าผากข้างซ้าย ตามแก้มและคางมีรอยช้ำเป็นจุด ๆ ผลมาจากอุบัติเหตุเมื่อคืนนี้ จะว่าไปร่างกายของเธอก็ยังไม่ฟื้นเต็มร้อย หงส์แสดงอาการเจ็บปวดอยู่เป็นระยะ ๆ แต่ถือว่าเธอแกร่งพอสมควร ถ้าเป็นคนอื่นป่านนี้คงยังนอนสลบอยู่
ร่างเล็กเอนศีรษะพิงไหล่ผมแล้วหลับตาลงอย่างอ่อนแรง อาจเป็นเพราะนั่งรอคิวมาเกือบชั่วโมงแล้ว ร่างกายเธอยังไม่แข็งแรงนักเลยอ่อนเพลียและต้องการที่พักพิง ผมปล่อยให้เธอซบข้างไหล่โดยไม่ได้ท้วงติงอะไร ผมมองไปยังความวุ่นวายของผู้คนที่มาใช้บริการในโรงพยาบาลแห่งนี้เบื้องหน้า
ปกติผมไม่ชอบอยู่ในที่ที่มีคนพลุกพล่าน เกลียดความวุ่นวาย แต่เผอิญว่าที่ตรงนี้มันคละคลุ้งไปด้วยความเศร้าและความเจ็บปวด ผมเลยทนนั่งอยู่ได้ ซึมซับความหดหู่ความสิ้นหวังให้ฝังลึกลงในกระดูก ความรู้สึกเลวร้ายพวกนี้หล่อหลอมให้ผมมีชีวิตอยู่ได้
ในที่สุดก็ถึงคิวของหงส์ ผมพาเธอเข้าไปที่ช่องรับยา เจ้าหน้าที่อธิบายรายละเอียดของยาและวิธีทานอยู่ประมาณห้านาที ผมไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไรเพราะมันไม่เกี่ยวกับตัวเองอยู่แล้ว แต่ก็พยักหน้างึกงักไปอย่างนั้นให้สมบทบาท หลังจากรับยาเสร็จก็พาหงส์มานั่งรออยู่ด้านนอกโรงพยาบาลเพื่อรอรถมารับ
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหา ‘เปา’ ให้มันมารับพวกเราที่นี่ เปาเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวที่ผมมี เรารู้จักกันตั้งแต่เด็ก ผมกับมันโตมาด้วยกัน ทำอะไรหลายอย่างมาด้วยกัน ส่วนใหญ่จะแข่งขันกันเรื่องงาน เราชอบพนันกันว่าใครจะตุ๋นนักท่องเที่ยวสำเร็จก่อนกัน และส่วนใหญ่จะเป็นผมที่ชนะ แต่มันก็แค่การพนันเล่น ๆ เราสองคนไม่เคยผิดใจกันเรื่องงาน มันเป็นคนที่ผมไว้ใจมากพอ ๆ กับอาหนิง
“มารับกูหน่อย” ผมพูดขึ้นเมื่อเปากดรับสาย
[มึงพูดแค่นี้กูจะรู้ไหมว่าที่ไหน] มันตอบด้วยน้ำเสียงปนหงุดหงิด
“โรงพยาบาล HB”
[เออ ๆ รอแป๊บละกัน]
เมื่อคุยกันรู้เรื่องผมก็ตัดสายลงไม่คิดให้มันถามต่อ ไอ้เปามันเป็นคนชอบถามนู้นถามนี่ ซึ่งผมขี้เกียจจะอธิบายอะไรยืดยาว ก่อนจะยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วเดินมาหาหงส์ที่นั่งเหม่อมองด้วยสายตาเลื่อนลอย ผมสอดส่ายสายตามองร่างกายเธออีกครั้งอย่างพิจารณา และก็พบว่านอกจากหน้าตาที่มีรอยฟกช้ำแล้ว ตามขาขาว ๆ ที่โผล่พ้นกระโปรงออกมามีรอยจ้ำม่วง ๆ เต็มไปหมด และผมเชื่อว่าภายใต้เสื้อแขนยาวที่ใส่อยู่น่าจะมีรอยแผลจากการบาดของเศษกระจกด้วย
