Inin
เย็นวันนั้น
ระหว่างที่ฉันกำลังนั่งกินข้าวคนเดียวด้วยอารมณ์เซ็งๆ ในครัว เสียงดังโครมครามนอกบ้านก็ดังขึ้น
โครม
เฮือก! ฉันสะดุ้งโหยง รีบออกไปดูด้วยความตกใจ ใครมาทำเอะอะโวยวายที่บ้านของฉันอีกเนี่ย
เย้ย! ฉันเบรกกึกเมื่อปะทะสายตาเข้ากับผู้ชายตัวบิ๊กเบิ้มสามคนที่กำลังพังประตูรั้วบ้านเข้ามา นะนี่มันเรื่องอะไรกัน ฉันยกมือขึ้นปิดปากอย่างทำอะไรไม่ถูก พี่มินมินมัวไปทำอะไรอยู่ที่ไหนนะ เย็นป่านนี้แล้วยังไม่กลับมาอีก ไหนบอกว่าถูกไล่ออกจากงานที่คลับสนุกเกอร์ของพี่คนนั้นแล้วไง หรือว่าแอบไปรับจ๊อบเป็นพริตตี้ที่ไหนอีก บ้าจริง! ฮือๆ ฉันรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ออกมาแต่ก็ต้องฝืนทำเป็นใจดีสู้เสือ... ตะโกนออกไปเสียงสั่น
“นะนี่พวกน้าทำอะไรกันน่ะ หยุดนะ”
“อ้อ... มีคนอยู่หนิ” หนึ่งในนั้นหันมาสนใจฉัน ก่อนจะยกมือขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้สองคนที่เหลือหยุดทำลายข้าวของ
“...”
“เธอคงจะเป็นลูกสาวบ้านนี้สินะ”
“...”
“พวกเรามาเก็บดอก ว่าไงมีจ่ายหรือเปล่า”
“ดะดอก! ดอกอะไร” ฉันรู้สึกหนืดคออย่างบอกไม่ถูก อย่าบอกนะว่าพ่อกับแม่พวกเราไปกู้หนี้นอกระบบมา
“ก็ดอกเบี้ยเงินกู้ไงล่ะ”
พลั่ก!
กระดาษแผ่นหนึ่งถูกโยนใส่หน้าฉันอย่างไม่ไว้หน้า ฉันเม้มปากแน่นก้มลงหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดูด้วยหัวใจสั่น... สะแสนห้า! นะแน่ใจนะว่านี่เป็นดอกเบี้ยไม่ใช่หนี้
“มะไม่มีหรอก ฉันไม่มีเงินเยอะขนาดนี้พวกน้ากลับไปซะเถอะ” ฉันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ จ้องมองผู้ชายปักหลั่นสามคนตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว
“ว่าไงนะ”
หมับ
“กรี๊ด!” ฉันแผดเสียงร้องอย่างตกใจเมื่อถูกกระชากข้อมืออย่างแรง
“ไม่มีงั้นเหรอ ถ้างั้นก็เอาตัวเธอไปขัดดอกก่อนดีไหม ขาวๆ สวยๆ แบบนี้เจ้านายฉันชอบ”
อี๋~ ฉันอยากจะถ่มน้ำลายรดหน้ามันชะมัด ความคิดนั้นช่างน่าขยะแขยงที่สุด ฉันดิ้นพล่านเพื่อให้ข้อมือหลุดจากกำมือที่น่ารังเกียจของผู้ชายร่างโตนี่
“ปล่อยนะ ฉันจะแจ้งตำรวจ ปล่อยเดี๋ยวนี้ บอกให้ปล่อยไง”
“ไม่มีประโยชน์หรอก ถ้าไม่อยากเดือดร้อนก็ไปกับพวกเราดีๆ บางทีถ้าทำตัวน่ารักเจ้านายของพวกเราอาจจะยอมยกหนี้ให้ฟรีๆ ก็ได้” ไม่พูดเปล่า ไอ้บ้านั่นก็ดึงทึ้งฉันออกไปด้วย ฉันพยายามยื้อตัวเองเอาไว้ แต่แรงสาวน้อยอย่างฉันมีหรือจะสู้แรงควายของยักษ์ปักหลั่นนั่นได้ แง ไม่นะ มันต้องไม่จบแบบนี้สิ ฉันยังไม่อยากเป็นเครื่องขัดดอกของใครนะ ฮือๆ ใครก็ได้ช่วยที แงๆ
“เฮ้ย!” ขณะที่ฉันกำลังต่อมน้ำตาแตกสิ้นหวังกับชีวิตอยู่นั่นเองเสียงห้าวหาญของใครบางคนก็ดังขึ้นไม่นานเจ้าของเสียงก็กระโดดเข้ามาขวาง ทำให้ฉันได้เห็นหน้าของเขาชัดๆ
พี่คนนั้น...
ฉันรู้สึกมีความหวังขึ้นมาทันที ราวกับได้เกิดใหม่ “พี่! ช่วยด้วย คนพวกนี้จะจับตัวอินไปขัดดอก ฮือๆ” ฉันรีบร้องขอความช่วยเหลืออย่างไม่ปล่อยโอกาสให้สูญเปล่า
“ปล่อยตัวผู้หญิงเดี๋ยวนี้”
“แล้วแกเป็นใคร ถึงได้แส่มายุ่ง”
“เป็นพ่องแกมั้งไอ้กร๊วก!”
ผลัวะ!!!!
เฮือก! พี่คนนั้นเหวี่ยงหมัดเข้าที่หน้าไอ้ยักษ์ที่จับข้อมือฉันอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ก่อนจะตามเข้าไปซัดท้องของมันอีกรอบด้วยกำปั้นหนักๆ
หมับ! สองคนที่เหลือเข้าไปกระชากแขนพี่คนนั้นเอาไว้ก่อนที่อีกคนจะเหวี่ยงหมัดเข้าใส่แต่พี่คนนั้นก็ไวกว่าเอี้ยวตัวหลบได้หวุดหวิดขณะเดียวกันก็กระทุ้งศอกเข้าที่ท้องของคนที่ล็อกแขนเขาเอาไว้ หมอนั่นชักสีหน้าเจ็บปวดก่อนจะผละออกไป
ฉันรู้สึกเหมือนกำลังดูหนังแอคชั่นอยู่ก็ไม่ปาน เสียงหมัดกระทบกับเนื้อหนังสดๆ ดังตุบตับ ชวนให้ประหวั่นพรั่นพรึง มันน่ากลัวมาก หัวใจฉันสั่นระรัวด้วยความหวาดหวั่นร่างกายสั่นไปหมดแม้แต่เรี่ยวแรงจะขยับหนีจากตรงนี้ก็ยังไม่มี
“อ๊ากกกกก!” เสียงร้องเจ็บปวดของหนึ่งในชายร่างยักษ์ดึงฉันให้ตื่นจากภวังค์ แล้วฉันก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพี่คนนั้นจัดการกับคนพวกนั้นจนทำให้พวกมันลงไปนอนกองรวมกันอย่างหมดสภาพ ใบหน้าของพวกนั้นเขียวช้ำและมีรอยแตกเลือดซิบหลายแผล
“ไสหัวพวกแกไปซะ และอย่าเสนอหน้ามาที่นี่อีกไม่อย่างนั้นแกจะไม่มีวันได้กลับออกไป”
โห... ฉันได้แต่เบิกตากว้างอ้าปากค้างกับความโหดเหี้ยมดุดันในคำพูดของพี่คนนั้น ทะเท่สุดๆ
“แกเป็นใครกันแน่” หนึ่งในนั้นตะโกนถามออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บแค้นเคืองใจ และอยากรู้อยากเห็นในคราวเดียวกัน
“หึ! ลิ่วล้ออย่างพวกแกทำไมฉันต้องบอกชื่อให้รู้ด้วย รีบไปซะ ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ”
“ไอ้หัวทอง ฝากไว้ก่อนเถอะ” พวกมันเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธแค้น ก่อนจะรีบกุลีกุจอลุกขึ้นแล้วเผ่นออกจากบ้านของฉันไปแทบจะไม่ทัน
“บ้าเอ๊ย” พี่คนนั้นแตะบาดแผลที่หน้าตัวเองก่อนจะสบถออกมาอย่างหัวเสีย ฉันสะดุ้งเล็กน้อยกับท่าทางหงุดหงิดของเขา รีบล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวในกระเป๋ากระโปรงส่งให้เขา
“...”
เขามองหน้าฉันด้วยสายตาเป็นคำถาม
“...”
เราทั้งคู่สบตากันนิ่ง ฉันรู้สึกนานราวกับเวลาหยุดหมุนทั้งที่ความจริงแล้วมันแค่เวลาสั้นๆ เท่านั้น ประกายไหววูบในแววตาสีฟ้าใสคู่นั้นกำลังสะกิดความรู้สึกบางอย่างที่หลับใหลภายในหัวใจฉันให้ตื่น
ตึกๆ ตึกๆ
...รับรู้ได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นแรงผิดปกติของตัวเอง มือที่ถือผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ค่อยๆ ยกขึ้นไปซับเลือดที่มุมปากของเขาราวกับมีแรงดึงดูด
“เอ่อ...” พี่คนนั้นเอียงหน้าหลบก่อนจะฉวยผ้าเช็ดหน้าในมือฉันไป “ขอบใจนะ ฉันทำเองดีกว่า” เขาค่อยๆ แตะผ้าเช็ดหน้าของฉันลงบนบาดแผลก่อนจะกดค้างไว้อย่างนั้นพร้อมกับนิ่วหน้าเจ็บปวด
...คนอะไร ขนาดตอนเจ็บยังดูเท่บาดใจได้ขนาดนี้ เย้ย! นี่ฉันคิดอะไรลงไปเนี่ย ผู้ชายคนนี้ของพี่มินมินนะอย่าลืมเซ่ ฉันยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองอย่างเตือนสติไม่ให้เผลอลืมเรื่องนี้ไป... เฮ้อ หยุดคิดเดี๋ยวนี้
“นี่ เป็นอะไรหรือเปล่า” พี่คนนั้นเลิกคิ้วแปลกใจพร้อมกับเอื้อมมือมาดึงข้อมือฉันที่กำลังตบหน้าผากตัวเองเหมือนคนบ้าให้หยุด
ตึกๆ ตึกๆ จะใจสั่นไม่ไหวแล้วนะ
อร๊าย~ ทำไมหัวใจของฉันมันถึงไม่เชื่อฟังอย่างนี้
