06 | อิงฟ้า
“นับ อยู่ข้างใน...” ภริตาเดินเข้ามาตามน้องสาวบุญธรรมในห้องน้ำ เพราะเธอหายออกมาจากโต๊ะนานแล้ว “มีอะไรหรือเปล่านับ”
“ไม่มีอะไรค่ะพี่ภา นับเสร็จแล้วไปกันดีกว่า” นับดาวพูดพลางเดินชนไหล่กิรณาที่ยังยืนตัวสั่นด้วยความโกรธ
“ไม่มีอะไรแน่นะ พี่ว่าผู้หญิงคนนั้นเขาจ้องหน้านับอยากกับจะกินเลือดกินเนื้อ” คนร่างเล็กจับมือนับดาวกลับไปที่โต๊ะ
ภริตาเป็นผู้ตัวเล็กแบบพิมพ์นิยม เธอสูงเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบแปดต่างแตกจากนับดาวที่สูงหนึ่งร้อยหกสิบแปด
“กินเลือดกินเนื้อ เป็นผีปอบเหรอคะ ฮ่าๆ” สองสาวหัวเราะกันจนเดินเข้ามาถึงโต๊ะอาหารที่กวินนั่งรออยู่ แต่ยังไม่ทันได้เลื่อนเก้าอี้นั่งเสียงจากด้านหลังก็ดังขึ้นก่อน
“อีนับดาว!” กิรณาไปหยิบเค้กที่อุตส่าห์ไปลงคอร์สเรียนมาเพื่อเอาอกเอาใจครอบครัวของโอบเดินตามนับดาวมาที่โต๊ะ เธอตั้งใจจะปาเค้กใส่หน้าอีกฝ่ายแต่กลับสะดุดขาเก้าอี้ที่ภริตาเลื่อนออกมาพอดี
“กรี๊ดดด!”
เค้กหลุดมือไปกองอยู่ที่พื้นพร้อมกับกิรณาที่ล้มลงไปนั่งอยู่เหมือนกัน
“นี่คิดจะรอบกัดเหรอ” นับดาวเดินเข้าไปกระชากผมของกิรณาก่อนจะพยายามผลักหัวเธอลงที่ก้อนเค้ก
หญิงสาวไม่ใช่คนที่ยอมยืนอยู่เฉยๆ โดยไม่โต้ตอบและใครที่คิดจะทำร้ายเธอ มันก็ต้องโดนไม่ต่างกัน
“กรี๊ด ปล่อยฉันนะ กรี๊ดดด!”
แผละ!
ใบหน้าสวยเก๋รูปไข่ตอนนี้เละไปด้วยครีมจากเค้กปอนด์ เสียงกรีดร้องโวยวายทำให้ลูกค้าในร้านหันมาสนใจที่โต๊ะของพวกเธอเป็นตาเดียว
“หนูนา! ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะลูก” กุลนิภา ผู้เป็นแม่รีบวิ่งเข้ามาดูลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเธอทันที
วันนี้เธอตั้งใจนัดครอบครัวกิจธาดาวงศ์ออกมาเพื่อลองคุยเรื่องการหมั้นหมาย แต่ทำไมตอนนี้ลูกสาวของเธอถึงได้อยู่ในสภาพเละเทะแบบนี้
“คุณแม่ คุณแม่ช่วยหนูนาด้วย” กิรณาทั้งกรีดร้องและแดดิ้นอยู่กับพื้น ภาพลักษณ์คุณหนูผู้แสนน่ารักที่สร้างขึ้นต่อหน้าครอบครัวกิจธาดาวงศ์พังลงทันที เพราะตอนนี้ทั้งโอบและมนทิราต่างก็เดินเข้ามาดูเหตุการณ์ด้วยเหมือนกัน
“เธอทำแบบนี้กับลูกสาวของฉันได้ยังไง เธอต้องรับผิดชอบ” หลังพาลูกสาวสุดที่รักไปล้างหน้าล้างตาเสร็จ กุลนิภาก็เชิญทุกคนเข้ามาในห้องรับรอง
“ลูกสาวคุณหญิงเดินถือเค้กเข้ามาที่โต๊ะอาหารของผม ตั้งใจจะทำร้ายลูกสาวของผม ถ้าผมจะแจ้งความเอาผิดผมก็ทำได้นะครับ” กวินพูดพลางปรายตามองสองแม่ลูกให้เข้าใจว่านี่ไม่ได้คำขู่
“ไม่จริง ลูกฉันจะทำแบบนั้นไม่ทำไม”
“งั้นลองถามลูกสาวคุณหญิงดูสิครับว่าทำไมถึงไปอยู่ที่โต๊ะอาหารของผมได้”
กุลนิภาหันไปมองหน้าลูกสาว กิรณาทำได้แค่มองหน้าแม่พลางส่ายหน้าเบาๆ แต่ก็ไม่มีคำตอบใดๆ หลุดออกมา
“ผมไม่รู้นะครับว่าคุณโกรธเคืองอะไรลูกสาวผม แต่อย่ามายุ่งกับเธออีก ผมขอตัว” กวินพูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะเดินออกไปโดยมีภริตาตามไปด้วย
นับดาวหันมามองหน้าคุณหญิงมนทิราและโอบก่อนจะเดินตามกวินออกมาเช่นกัน
“มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นนับ” กวินเอ่ยถามในขณะที่อยู่บนรถ
พวกเขาขับรถมาส่งเธอที่สำนักงานใหญ่ของกิจธาดาวงศ์เพราะนับดาวจอดรถทิ้งเอาไว้ เธอไม่อยากรบกวนให้ภริตาต้องไปรับตั้งแต่เช้าในวันพรุ่งนี้
“เธอหึงหน้ามืดตามัวน่ะค่ะ ไม่ได้มีอะไรมากเลยคุณอา”
“เรื่องคุณโอบเหรอ”
“ใช่ค่ะ” นับดาวชะงักไปเล็กน้อยแต่ก็ยอมตอบออกมา เหตุการณ์เมื่อสักครู่คุณโอบยืนอยู่ตรงนั้นด้วยอาของเธอคงจะเดาได้ไม่ยาก
“นับไม่ลืมใช่มั้ยว่ามาที่นี่เพราะอะไร”
“ไม่ลืมค่ะ”
ภริตาที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมนับดาวถึงจะต้องมาทำงานไกลขนาดนี้ ทั้งที่ปกติอยู่เบคาเทียพ่อของเธอก็ส่งเสียเงินให้ไม่เคยขาด แต่พ่อไม่ยอมเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังและถามนับดาวเองน้องสาวบุญธรรมของเธอก็คงจะไม่บอก
@คฤหาสน์กิจธาดาวงศ์
“วันนี้ฉันได้เจอหนูนับดาวแล้วนะคะ” คุณหญิงมนทิราเล่าให้ผู้เป็นสามีฟังเมื่อเธอกลับมาถึงบ้าน
“ได้เจอเหรอ ที่ไหนล่ะ” ภวัตแปลกใจเล็กน้อย วันนี้ภรรยาของเขาไม่ได้เข้าไปที่สำนักงานใหญ่หรือว่าจะเจอกันข้างนอก
“ที่ร้านอาหารค่ะ เธอหน้าเหมือนอิงฟ้ามากเลยนะคะ” คุณหญิงพูดพลางนึกถึงดวงหน้าหวานละมุน ดวงตาสีน้ำตาลอมเทาที่ตราตรึงอยู่ในใจของเธอ ถ้าลูกสาวเธอยังอยู่คงจะอายุเท่ากับหนูนับดาวคนนี้แน่ๆ
โอบเดินตามเข้ามาในห้องนั่งเล่นลอบมองผู้เป็นแม่ที่พูดถึงน้องสาวของเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ร่างหนาเดินตรงไปยังห้องพระ ช่วงนี้เขายุ่งๆ ก็เลยไม่ได้แวะเข้ามาหาน้องสาวของเขาเลย
โต๊ะหมู่บูชาขนาดใหญ่สีโอ๊คถูกวางด้วยพระประธาน ดอกไม้ธูปเทียน สำหรับการบูชา และกรอบรูปของเด็กน้อยหน้าหวานวัยห้าขวบที่ถักเปียสองข้างกำลังส่งยิ้มมาให้เขาทุกครั้งที่เปิดประตูห้องเข้ามา
‘อิงฟ้า กิจธาดาวงศ์
ชะตะ 15 มกราคม 25xx
มรณะ 21 กรกฎาคม 25xx’
ข้อความในกรอบรูปที่คอยย้ำเตือนว่าน้องสาวของเขาได้จากไปสิบหกปีแล้ว
“ไปวิ่งเล่นอยู่บนฟ้าสนุกมั้ยคะ คิดถึงพี่บ้างมั้ย” โอบพูดพลางนั่งลงตรงหน้ากรอบรูปและมองเหม่อจนใจลอยไปถึงเหตุการณ์ในอดีต
‘พี่โอบจับอิงให้ได้น้า’ เสียงใสเอ่ยเรียกพี่ชายวัยสิบแปดปี ถึงจะเป็นหนุ่มหล่อเฟรชชี่ที่สาวๆ เหลียวมองทั้งคณะแต่เขาก็ยังคงวิ่งเล่นกับน้องสาวราวกับเด็กที่อายุห้าขวบเท่ากัน
‘จะจับติดแล้วน้า’
‘กรี๊ดด ฮ่าๆๆ’ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของอิงฟ้า เข้ามาเติมเต็มความสุขให้กับครอบครัวของเขา
มนทิราสุขภาพร่างกายไม่ค่อยดี กว่าจะมีลูกเป็นของตัวเอง ใช้เวลาอยู่เกือบสิบปี เมื่ออิงฟ้าเกิดมาเธอเป็นเหมือนของขวัญที่ส่งตรงมาจากฟากฟ้า เธอก็เลยชื่อเด็กหญิงอิงฟ้า
แต่แล้วความสุขก็อยู่ได้ไม่นาน ฟ้าส่งนางฟ้าตัวน้อยๆ ลงมาอยู่กับเธอเพียงแค่ห้าปีเท่านั้น
‘อ้วกกกกกกกก!’
อิงฟ้ามีอาการอาเจียนอย่างหนัก ตามผิวหนังมีจุดเลือดออกและผื่น ปื้น
‘เธอเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวครับ’
คำวินิจฉัยของหมอเหมือนคำประกาศิตจากฟากฟ้า ครอบครัวกิจธาดาวงศ์ที่มีเงินจนเรียกได้ว่า ‘รวยล้นฟ้า’ แต่กลับไม่สามารถรักษาชีวิตของลูกสาวคนเดียวเอาไว้ได้
‘คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องร้องไห้นะคะ อิงไม่ได้ไปไหน อิงอยู่ในใจของคุณพ่อคุณแม่ไงค่ะ’
คำพูดของเด็กวัยห้าขวบช่างบีบรัดหัวใจของผู้เป็นพ่อเป็นแม่เหลือเกิน พวกเขาจะทำใจยอมรับเรื่องนี้ได้อย่างไร พวกเขาไม่มีทางทำใจได้
‘พี่โอบคะ’ เสียงแหบพร่าเอ่ยเรียกพี่ชายสุดที่รัก ใบหน้าซีดเซียวจนแทบจะเป็นสีขาว แก้มป่องบัดนี้ซูบผอมลง น้ำตาลูกผู้ชายหยดแล้วหยดเล่าไหลลงมาจากดวงตาผู้เป็นพี่ชาย
‘อิงฝาก...ดูแลคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะคะ’
‘ฮือๆๆ’ มนทิราร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น อิงฟ้าเป็นเหมือนนางฟ้าตัวน้อยๆ ที่เธอไม่เคยคิดว่านางฟ้าจะต้องกลับสวรรค์เร็วขนาดนี้
‘อิงก็จะอยู่ช่วยพี่ดูแลคุณพ่อคุณแม่ไงคะ’
‘อิงเหนื่อยค่ะ พี่โอบรับปากอิงก่อนสิคะ’
‘ค่ะ พี่จะดูแลคุณพ่อคุณแม่ให้ดีที่สุดค่ะ’ ฝ่ามืออุ่นยกขึ้นลูบหัวน้องสาวผ่านหมวกไหมพรม
อิงฟ้าส่งยิ้มให้ครอบครัวของเธออย่างสุดกำลังแม้จะดูเป็นยิ้มที่เหนื่อยล้าเหลือเกิน
‘อิงเหนื่อยจังค่ะ อิงขอนอนก่อนนะ’ เด็กน้อยพูดพลางล้มตัวลงนอนบนเตียงผู้ป่วย กอดตุ๊กตาหมีคู่ใจไว้แน่น ผู้เป็นแม่ลุกขึ้นยืนก่อนจะหยิบผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ลูกสาว
ติ๊ด ติ๊ด ตี๊ดดดดดดดด!
เสียงสัญญาณชีพจรที่ดับลงพร้อมกับมือที่กอดตุ๊กตาร่วงหล่น ผู้เป็นแม่ถือผ้าห่มชะงักค้าง ก่อนจะล้มทั้งยืน
‘อิงฟ้า! กรี๊ดดดดดด อิงอย่าทิ้งแม่ไป ฮือๆ แม่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปยังไง’
โอบยกหลังมือขึ้นปาดหยดน้ำที่หางตา สิบหกปีแล้วสินะที่นางฟ้าตัวน้อยของเขาไปวิ่งเล่นอยู่บนสวรรค์ คำสัญญาที่เคยให้ไว้กับน้องสาว ตัวเขาเองไม่เคยลืม
Rrrr Rrrr
สายเรียกเข้า ‘Brooke’
“ว่าไง” โอบกดรับสายทันทีเหมือนว่าเขารอคอยสายนี้มานาน
“นับดาว อนิสตัน เบอร์เรล เป็นคนที่ประวัติแปลกมาก”
ปลายสายของเขาคือ บรู๊ก ออเดรย์ ไมเนอร์ มาเฟียที่ปกครองเขตพื้นที่เปโดร เมืองหลวงประเทศเบคาเทีย เป็นเพื่อนสนิทของเขาตอนเรียนปริญญาโทที่บอสตัน ไม่มีอะไรในเมืองเปโดรที่บรู๊กอยากรู้แล้วสืบไม่ได้
“แปลกยังไง”
“เอกสารทั้งหมดของเธอถูกสร้างขึ้นตอนที่เธออายุห้าขวบ ไม่มีประวัติว่าเธอเกิดที่โรงพยาบาลไหนหรือพ่อกับแม่เป็นใคร” บรู๊กอ่านเอกสารในมือด้วยความสนใจ เรื่องนี้มันต้องมีอะไรบางอย่างและคนที่ทำเอกสารพวกนี้ก็ต้องมีอิทธิพลไม่น้อยถึงทำให้เขาตามร่องรอยไม่ได้
โอบขมวดคิ้วกับคำพูดของบรู๊ก ทำไมนับดาวถึงต้องมีประวัติที่ซับซ้อนขนาดนี้
“กฎหมายของเบคาเทีย ทุกคนจะต้องมีสองนามสกุลต่อกันคือนามสกุลของพ่อและของแม่ อย่างเช่นฉัน ออเดรย์เป็นนามสกุลของพ่อไม่ใช่ชื่อกลางอย่างที่คนต่างประเทศเข้าใจ”
“แล้วยังไง”
“แต่นับดาว อนิสตันไม่รู้ว่าเป็นนามสกุลของใคร”
“แล้วเบอร์เรลล่ะ”
“เป็นนามสกุลของผู้ชายคนหนึ่งชื่อโจนส์ มอร์แกน เบอร์เรล ขับรถชนเสาไฟฟ้าตายไปแล้วเมื่อสิบหกปีก่อน”
“สิบหกปี” โอบทวนคำบอกเล่าของบรู๊กพลางคิดตาม
“ตายหลังจากที่เอกสารของนับดาวถูกสร้างขึ้นมาสามวัน”
“แล้วมีประวัติอะไรเกี่ยวข้องกับครอบครัวฉันบ้างมั้ย”
“ไม่มีเลย ไม่มีอะไรที่เชื่อมโยงกันได้เลย จะมีอย่างเดียวก็ตอนนี้ นับดาวเปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็นของพ่อบุญธรรมเมื่อไม่นานแล้วย้ายไปประเทศไทย”
แปลก ทำไมเธอต้องเปลี่ยนนามสกุลก่อนจะย้ายมาหรือถ้าอยากจะเปลี่ยนทำไมไม่เปลี่ยนก่อนหน้านี้
“ขอบใจมาก ยังไงนายช่วยส่งข้อมูลทั้งหมดให้ฉันในเมลแล้วกัน”
“ส่งไปแล้ว” บรู๊กตอบก่อนจะกดวางสายไป หน้าที่ของเขามีแค่นี้ช่วยหาข้อมูลให้เพื่อน ถึงจะมีเรื่องที่น่าสงสัยอยู่เยอะเขาก็ไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวถ้าเพื่อนไม่ร้องขอ แค่งานปกครองในเขตเปโดรก็มีเรื่องให้เขาแก้ไขวันละพันเรื่องอยู่แล้ว
--------------------
เหล่านักสืบพอจะได้เบาะแสกันบ้างหรือยัง
