ตอนที่ 7 องค์ชายรองโดมินิค เดอะ เวเนเซีย
◇◇◇
“ว้าย!!! อีวอก อีควาย ง่าวต๋าย สะดุ้งสะเด็นหมด
อก อก อก อก ขวัญเอ้ย!!! ขวัญมา!!!”
◇◇◇
ผมและพี่เอริคเดินมาหากลุ่มองค์ชายรัชทายาทและองค์ชายรองที่กำลังคุยกับเพื่อนสนิทอย่างสนุกสนาน โดยการพบกันในครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกของผมที่ได้พูดคุยกับองค์ชายรัชทายาทและองค์ชายรอง และก็เป็นครั้งแรกของพี่เอริคเหมือนกันที่ได้กลับมาคุยกับองค์ชายรัชทายาทและองค์ชายรอง หลังจากที่เขาตัดสินใจกลับไปดูแลผมที่ป่วยอยู่ที่เมืองอวาลอน
“อ้าว!!!…อลันไม่ได้เจอกันตั้งนาน อาการป่วยดีขึ้นแล้วใช่ไหม” องค์ชายรัชทายาทหันมาคุยและส่งยิ้มให้ผม
สำหรับองค์ชายรัชทายาทมีชื่อว่า ‘อเล็ก เดอะ เวเนเซีย’ เป็นชายหนุ่มรูปงาม ผิวขาวกระจ่างใส เส้นผมสีทอง ดวงตากลมโต นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเล คิ้วหนาเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางรับกับใบหน้าคมเข้ม รูปร่างสูงโปร่ง และถึงแม้ว่าองค์ชายรัชทายาท จะไม่มีมัดกล้ามเนื้อใหญ่โตเหมือนกับพี่เอริค แต่เท่าที่ผมสังเกตเห็นเงาภายใต้ร่มผ้า เขากับซ่อนมัดกล้ามเนื้อที่สวยงามและแข็งแรงเอาไว้ภายใน
ซึ่งโดยภาพรวมแล้วองค์ชายรัชทายาทถือเป็นหนุ่มหล่อในดวงใจของใครหลายๆ คนรวมไปถึงผมด้วย และถ้าหากว่าองค์ชายรัชทายาทไม่ได้เป็นลูกพี่ลูกน้องของผมแล้วล่ะก็ไม่แน่ว่าผมอาจจะจีบเขาก็ได้
“อาการดีขึ้นแล้วครับ" ผมยิ้มสดใส
“ดีแล้วล่ะ ว่าแต่ช่วงที่อลันถูกลอบวางยาพิษ ดูเหมือนจะมีไอ้บ้าแถวนี้เกือบจะคลั่งตายไปแล้วนะ” องค์ชายรัชทายาทหันไปแซวพี่เอริคที่กำลังยืนกำหมัดแน่นเพราะโดนเพื่อนสนิทแซวในระยะเผาขน
“ว่าแต่อลันดูสดใสมากขึ้นนะหลังจากที่หายป่วย ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ขี้อายไม่กล้าพูดคุยกับพวกเราเอาแต่หลบอยู่ด้านหลังเจ้าเอริค” องค์ชายรัชทายาทหัวเราะ
“คนเราก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงบ้างสิครับ ถ้ามัวแต่เขินอายชีวิตคงขาดสีสันพอดี” ผมหัวเราะเบาๆ
“นั่นสินะ” องค์ชายรัชทายาทพยักหน้าเห็นด้วยกับคำตอบของผม
“เอ่อ…ว่าแต่อลันช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าคุยอะไรกับท่านพ่อและท่านแม่อยู่ตั้งนานสองนาน” องค์ชายรัชทายาทถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“อืม...” ผมครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่และคิดว่าจะเริ่มต้นเล่าเรื่องราวตั้งแต่ตอนไหนดี
“เอาเป็นว่าผมต้องออกไปตามหาวัตถุดิบที่จะนำมาปรุงยาถอนพิษมายารัตติกาลด้วยตัวเองล่ะมั้งครับ” ผมพูดสรุปเนื้อหาที่พวกเราได้พูดคุยกันก่อนหน้านี้ออกมาเป็นประโยคเดียวให้องค์ชายรัชทายาทได้ฟัง
“เฮ้ย จริงดิ!!!” องค์ชายรัชทายาท องค์ชายรองรวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในกลุ่มต่างพากันตกใจเมื่อได้ยินคำตอบจากผม
“ร่างกายของอลันอ่อนแอมากขนาดนี้จะออกไปตามหาวัตถุดิบเหล่านั้นไหวเหรอ” องค์ชายรองที่นิ่งเงียบอยู่นานตัดสินใจถามผม และคำถามของเขาก็ตรงใจหลายๆ คนที่ยืนฟังอยู่รอบๆ
“โลกภายนอกมันอันตรายมากเกินไปอลันคนเดียวคงไม่ไหวหรอก” องค์ชายรัชทายาทขมวดคิ้ว
“แล้วท่านพ่อ ท่านแม่ของอลัน รวมถึงไอ้บ้านี่ยอมให้อลันออกไปได้ยังไง” องค์ชายรัชทายาทกังวลใจ ส่วนพี่เอริคที่ได้ยินอย่างนั้นได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ ให้กับทุกคน นั่นเป็นเพราะว่าผมได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นคนออกเดินทางตามหาวัตถุดิบเหล่านี้ด้วยตัวเอง
ผมถอนหายใจเบาๆ เพราะกว่าจะโน้มน้าวให้ท่านพ่อและท่านแม่รวมไปถึงพี่เอริคเข้าใจและยอมให้ผมออกไปตามหาวัตถุดิบเพื่อนำมาปรุงยาถอนพิษได้ก็ใช้เวลาอยู่นานมาก และคราวนี้ผมต้องมาอธิบายให้องค์ชายรัชทายาทและองค์ชายรองเข้าใจอีก และกว่าที่ผมจะอธิบายจบก็ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง
และภายหลังจากที่ผมอธิบายจบองค์ชายรัชทายาทก็ตัดสินใจที่จะออกเดินทางร่วมกันกับผม โดยเขาจะขออนุญาตกับองค์ราชาและองค์ราชินีอีกที ซึ่งผมก็ไม่ได้ห้ามหรือคัดค้านเพราะว่านั่นคือความต้องการขององค์ชายรัชทายาทเอง
ผ่านไปอีก 1 ชั่วโมงพี่เอริค องค์ชายรัชทายาทและเพื่อนๆ ก็แยกตัวออกไปพูดคุยกันตามประสาเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนาน และนั่นทำให้ท้องพระโรงในตอนนี้เหลือเพียงแค่ผมและองค์ชายรองที่เป็นเพื่อนสนิทสมัยเด็กของผมอยู่เพียงสองคนเท่านั้น
“พวกเราไปเดินเล่นที่อุทยานดอกไม้กันไหม” องค์ชายรองตัดสินใจชวนผมออกไปเดินเล่นที่อุทยานดอกไม้ในยามราตรี
“เอาสิ” ผมยิ้มตอบรับคำชวนขององค์ชายรองทันที
สำหรับตัวตนของจอมเวทศักดิ์สิทธิ์ในอดีตค่อนข้างขี้อายและเก็บตัวดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยมีเพื่อน และเมื่อท่านพ่อและท่านแม่รู้จึงตัดสินใจพาเขามาที่วังหลวงแห่งนี้และแนะนำให้รู้จักกับองค์ชายรอง
และเนื่องจากพวกเขาทั้งสองคนอายุเท่ากันมันจึงทำให้ทั้งสองคนเริ่มสนิทสนมและเป็นเพื่อนสนิทกันในที่สุด และภายหลังที่วิญญาณของผมมาเข้าร่างของอลัน ผมก็อยากจะรู้จักและสนิทสนมกับเพื่อนสนิทคนนี้อีกครั้ง และนั่นทำให้ผมตอบรับคำชวนขององค์ชายรองทันที
สำหรับองค์ชายรองมีชื่อว่า ‘โดมิมิค เดอะ เวเนเซีย’ เป็นชายหนุ่มผิวขาวสว่างราวกับไข่มุก เส้นผมสีทองหยักศกเงางาม ใบหน้าเล็กรูปไข่ ดวงตากลมโต นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเล เหนือดวงตากลมโตมีคิ้วเรียวโก่ง จมูกเล็กเชิด ริมฝีปากบาง นอกจากนี้ยังมีลักยิ้มเล็กๆ ที่ข้างแก้ม และเมื่อองค์ชายรองพูดหรือยิ้มจะทำให้เห็นลักยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นมา และนั่นทำให้เขาดูมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก
“อลันรู้สึกยังไงบ้างที่รู้ว่าตัวเองจะต้องตายในอีกหนึ่งปี” องค์ชายรองถามผมในระหว่างที่พวกเรากำลังเดินไปที่อุทยานดอกไม้
“เอาจริงๆ ก็รู้สึกดีนะที่รู้ว่าตัวเองจะต้องตายตอนไหน เพราะอย่างน้อยในช่วงเวลาที่เหลืออยู่จะได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าและเต็มที่ยังไงล่ะ” ผมยิ้มกว้าง
“นั่นสินะ คนเราไม่รู้หรอกว่าจะตายเมื่อไหร่ดังนั้นทำทุกวันให้เต็มที่ก็พอ” องค์ชายรองพูดเบาๆ ราวกับนึกถึงเรื่องราวบางอย่างอยู่ในใจ
“แล้ววางแผนเอาไว้หรือยังว่าหลังจากนี้จะทำอะไรต่อไป” องค์ชายรองถามอีกครั้งหลังจากที่นิ่งเงียบไปชั่วครู่
“ก็พอคิดแผนการคร่าวๆ ไว้แล้วล่ะ” ผมยิ้ม
“ยังไงล่ะ เล่าให้ฟังหน่อย” องค์ชายรองหันมามองหน้าผม
“ก็คิดว่าจะเริ่มต้นเดินทางไปที่อาณาจักรอสูรก่อน จากนั้นก็เดินทางไปที่อาณาจักรเอลฟ์ต่อ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ คงต้องพูดคุยกันอีกครั้งในวันพรุ่งนี้” ผมยิ้มตอบ
“อ่อ” องค์ชายรองยิ้มและพยักหน้า และหลังจากที่พวกเราพูดคุยกันได้ไม่นานในที่สุดพวกเราก็เดินมาถึงอุทยานดอกไม้ จากนั้นพวกเราก็ตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งพูดคุยกันในศาลาแห่งหนึ่งที่สร้างอยู่ท่ามกลางอุทยานดอกไม้แห่งนี้
โดยอุทยานดอกไม้ในยามค่ำคืนไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เนื่องจากมีดวงไฟเวทมนตร์สีเหลืองนวลล่องลอยอยู่บนอากาศคอยให้แสงสว่าง และนั่นทำให้อุทยานดอกไม้แห่งนี้สว่างไสวราวกับเป็นช่วงเวลากลางวัน
และเมื่อพวกเราเข้ามานั่งภายในศาลากลางอุทยานดอกไม้แล้ว องค์ชายรองก็เรียกสาวใช้ที่ยืนอยู่โดยรอบให้เข้ามาหาและสั่งการให้พวกเธอช่วยเตรียมของว่างและน้ำชามาให้พวกเราได้ดื่มและรับประทานในระหว่างพูดคุยกันทันที
จากนั้นองค์ชายรองก็เล่าเรื่องราวต่างๆ รวมไปถึงเรื่องราวของตัวเองให้ผมฟัง ซึ่งจากวีรกรรมขององค์ชายรองในช่วง 1 ปีที่ผมนอนป่วยอยู่ที่เมืองอวาลอน องค์ชายรองทั้งแอบหนีเที่ยวนอกวัง ทั้งโดดเรียนวิชาการต่างๆ ทำเอาภาพลักษณ์ขององค์ชายรองที่ดูเรียบร้อยในสายตาของผมกลายเป็นองค์ชายรองสุดแสบไปเลยทีเดียว และจากการพูดคุยในครั้งนี้ก็ทำให้พวกเราสองคนกลับมาสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว
ภายหลังจากองค์ชายรองเล่าเรื่องของตัวเองจบได้ไม่นานสาวใช้ก็ถือถาดของว่างและน้ำชาเดินเข้ามาในศาลา และด้วยเหตุผลใดก็ตาม จู่ๆ สาวใช้คนหนึ่งก็เดินสะดุดและล้มลงไปต่อหน้าต่อตาพวกเราสองคน จนทำให้ของว่างและน้ำชาที่เธอถือมาร่วงกระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมด
“เฮ้ย!!!” ผมตกใจและอุทานเสียงดังทันที
“ว้าย อีวอก อีควาย ง่าวต๋าย สะดุ้งสะเด็นหมด อก อก อก อก ขวัญเอ้ย!!! ขวัญมา!!!”
ส่วนองค์ชายรองผู้เรียบร้อยก็เผลอหลุดคำอุทานแปลกๆ ออกมาเช่นกัน และนั่นทำให้คิ้วทั้งสองข้างของผมถึงกับกระตุก เพราะคำอุทานที่องค์ชายรองได้พูด มันช่างคุ้นเคยและติดหูผมเป็นอย่างมาก
จากนั้นเมื่อองค์ชายรองหายตกใจแล้ว เขาก็ค่อยๆ หันหน้ามามองผมช้าๆ พร้อมกับบอกให้ผมอย่าไปใส่ใจเพราะว่าในเวลาที่เขาตกใจ เขามักจะชอบหลุดอุทานคำพูดแปลกๆ แบบนี้เสมอ ซึ่งคำพูดเหล่านี้ก็เป็นคำพูดที่คนอื่นไม่เข้าใจ
แต่!!!…คำอุทานทุกคำที่องค์ชายรองพูดนั้น ผมดันเข้าใจมันหมดเลยน่ะสิ!!! แถมมันยังเป็นภาษาเหนือในโลกใบเก่าของผมอีกด้วย และไอ้นิสัยเวลาตกใจแล้วมักจะหลุดคำอุทานแบบนี้ออกมา มันก็ดันไปตรงกับเพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งเข้าน่ะสิ
“ไอ้เหี้ยเสือ!!!” ผมตัดสินใจเรียกชื่อเพื่อนของผม พร้อมกับยกมือชี้ไปที่องค์ชายรองที่กำลังแสดงสีหน้าตกใจหลังจากได้ยินคำพูดของผม
“อลัน ตะกี้นายพูดอะไรนะ” องค์ชายรองถามผมด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“บ่าเสือ บ่าคิตตี้ บ่าวอก บ่าควาย บ่าง่าว บ่ากระเทยควาย บ่าสลิดนัก บ่าแฮ่น!!!” ผมตัดสินใจเรียกชื่อพร้อมกับด่าออกมาเป็นชุดเพื่อพิสูจน์สิ่งที่ผมสงสัย
“กรี้ด!!! คิงเป๋นไผ๋!!! (กรี้ด!!! แกเป็นใครยะ!!!)” องค์ชายรองกรีดร้องเสียงดัง ก่อนจะลุกขึ้นยืนชี้หน้าผม
“กูเอง 'ติณห์' ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาที่สุดในจักรวาล แต่ต้องอกหักช้ำรักจนกลายเป็นตำนาน!!!” ผมยืนขึ้นและพูดยืนยันตัวเอง
“กรี๊ด!!! แต้ก่อเนี่ย เป๋นคิงแต้ก่อเนี่ย บ่าวอกติณห์ คิงบ่าได้จุฉันหนา ฮือออ… ฉันกึ้ดเติงหาคิงขนาดนัก!!! ฮือออ… (กรี้ด!!! จริงเหรอเนี่ย เป็นแกจริงๆ เหรอเนี่ย ไอ้เหี้ยติณห์ แกไม่ได้โกหกฉันใช่ไหม ฮือออ…ฉันคิดถึงแกมากๆ เลย ฮือออ…)”
และหลังจากที่องค์ชายรองรู้ว่าผมเป็นใคร เขาก็พุ่งตัวเข้ามากอดผมทันทีพร้อมกับปล่อยโฮออกมาอย่างหนัก
“เอ่อ กูเองนั่นแหละ ไม่ได้โกหก และกูเองก็ดีใจที่ได้เจอกับมึงนะ ไอ้คิตตี้” ผมกอดองค์ชายรองพร้อมกับลูบหลังขององค์ชายรองที่มีไส้ในเป็นกะเทยควายร่างยักษ์อย่างไอ้คิตตี้เบาๆ พร้อมกับน้ำตาของผมที่มันกำลังไหลออกมาด้วยความดีใจไม่ต่างกัน
