บท
ตั้งค่า

Episode 05: แสงสะท้อนกลับ [2/2]

“หัดสำนึกซะบ้างเจเรมี!”

พลั่ก!

ไม่พูดอย่างเดียว มือยังพลั้งเผลอไปต่อยซีกแก้มของลูกชายเสียเต็มแรง

เจเรมีที่เพิ่งเคยถูกบิดาสั่งสอนด้วยการลงไม้ลงมือเป็นครั้งแรกในชีวิตกระเด็นลงไปนั่งกองอยู่กับพื้นในสภาพนิ่งอึ้ง มือข้างหนึ่งยกประคองซีกหน้าที่ถูกกระแทก ปลายลิ้นสัมผัสได้ถึงรสเค็มปร่าของเลือดที่หลั่งไหลอยู่ในโพรงปาก ขณะที่เลขาและคนขับรถเข้ามาห้ามปรามเจอโรมเป็นการใหญ่ ทว่าไม่ได้ผลเลย เจอโรมในตอนนี้ดูน่ากลัวและดุดันกว่าทุกครั้งที่เคยเจอ คล้ายว่าหมดความอดทนกับพฤติกรรมร้ายๆ ของเจเรมีแล้ว

“สำนึกในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปซะบ้างว่ามันกำลังจะย้อนกลับมาเล่นงานแก แล้วก็จำใส่สมองเน่าๆ ของแกเอาไว้ด้วยว่าถ้าแกไม่ใช่ลูกฉัน ไม่มีสายเลือดของฉัน ฉันจะไม่ดูดำดูดีแกเลยแม้แต่นิดเดียว!”

อึ้งงันไปอีกระลอก บิดาไม่เคยพรั่งพรูคำพูดทำนองนี้ออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียวตลอดเวลาที่เลี้ยงดูเขามา ท่าทางตอนนี้คงจะเหลืออดจริงๆ ถึงได้แสดงท่าทางอย่างนั้น ในใจของเจเรมีตอนนี้ เขารู้สึก...หวั่นเกรง ระคนเกรงกลัวชายตรงหน้าด้วย บิดาผู้ซึ่งไม่เคยตำหนิติเตียนไม่ว่าเขาจะทำเรื่องร้ายใดๆ มีแต่ตามแก้ปัญหาให้ตลอด บัดนี้ได้หมดความอดทนกับเขาแล้ว ตะคอกเสร็จก็นิ่งไปนิดก่อนจะออกคำสั่งเสียงกร้าว

“ต่อจากนี้แกต้องอยู่ใต้คำสั่งฉันตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอน แล้วก็ไสหัวมาขึ้นรถได้แล้ว ฉันมีธุระเรื่องของแกต้องทำอีกเยอะ” พูดจบก็เป็นคนแรกที่ขึ้นรถไป

เจเรมีฮึดฮัดเล็กน้อย ทำท่าจะขัดขืนแต่พอเห็นเลขาของบิดาพยักหน้าเรียกด้วยสีหน้าลำบากใจเป็นเชิงว่าให้เขาทำตามถ้าไม่อยากให้เกิดปัญหามากกว่าเดิม ชายหนุ่มก็จำต้องยันตัวลุกขึ้นยืน เดินมาขึ้นรถแต่โดยดี ก่อนจะรู้สึกได้ว่ามีกำแพงบางอย่างค่อยๆ เข้ามากั้นขวางในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับบิดาเสียแล้ว

ใบหน้าบอบช้ำของเจเรมีที่หอบกลับมาบ้านสร้างความตกใจให้กับมาเรียเป็นอย่างมาก พอรู้ว่าเกิดจากฝีมือของผู้เป็นสามี หล่อนก็พรั่งพรูน้ำตาออกมาราวกับว่าได้พบเจอสิ่งกระทบกระเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง เจอโรมไม่พูดอะไร ไม่แม้แต่จะปลอบโยน ปล่อยให้คู่ทุกข์คู่ยากได้พร่ำพรรณนาตัดพ้อเขาไปเรื่อยว่าทำไมต้องถึงขั้นลงมือทำร้ายลูกชายของหล่อนอย่างนั้น โดยหล่อนคงจะลืมไปแล้วว่าการถูกหมัดหลุนๆ กระแทกหน้านั้นเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เจเรมีกระทำกับธีโอ

ความตึงเครียดอบอวลในครอบครัวอยู่หลายวันทีเดียว แรกๆ เจเรมีก็หัวเสียกับการกระทำของบิดาอยู่เหมือนกัน ปั้นปึ่งใส่ ไม่พูดไม่จา กระนั้นก็ยอมเชื่อฟังตามคำสั่งที่ได้รับ คราวนี้ไม่ใช่เพราะเกรงกลัว แต่เป็นเพราะชายหนุ่มไม่อยากเห็นมารดาหลั่งน้ำตาทุกครั้งที่เขามีปากมีเสียงกับเจอโรมมากกว่า มาเรียอ่อนไหวเกินกว่าจะยอมรับปัญหาอื่นๆ ได้แล้ว ในตอนนี้เพียงเรื่องเล็กๆ ก็ทำให้หล่อนร้องไห้ได้ง่ายๆ ทั้งหมดเป็นเพราะความกังวลที่มีต่อลูกชาย เจเรมีเองก็ไม่อยากเห็นมารดาต้องมาร้องไห้เพราะเขาอีกจึงได้แต่ทำตัวเซื่องๆ ให้บิดาจับจูงพาไปโดยไม่โต้แย้งแม้ว่าในใจนึกอยากจะอาละวาดให้สะใจสักครั้ง

ทว่าความคิดนั้นก็ต้องถูกลบเลือนไปเมื่อเห็นว่าคืนนี้เป็นอีกคืนที่บิดาไม่ได้นอน...

นับตั้งแต่วันที่เขามีเรื่องจนถึงวันนี้ก็น่าจะเกือบอาทิตย์หนึ่งแล้ว ถึงได้นอนก็เพียงไม่กี่ชั่วโมง ไม่แน่ใจนักว่าที่ไม่ได้นอนเป็นเพราะกังวลเรื่องเขาหรือยุ่งวุ่นวายจนไม่ได้นอนกันแน่ แต่คิดว่าน่าจะกังวลเรื่องเขา บางคืนก็แอบเห็นไปนั่งจิบแอลกอฮอล์ตามลำพังตอนดึกๆ ในห้องรับแขกด้วยท่าทางกลัดกลุ้ม

บิดาคงจะเป็นห่วงเขาจากใจจริง...

จากที่ไม่รู้สึกผิด เจเรมีก็สำนึกขึ้นมาทันตาว่าการกระทำของเขามันส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างแค่ไหน อึดอัดกับสถานการณ์อย่างนี้จนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร วันนี้ก็เช่นกัน เขาอึดอัดตั้งแต่อยู่ในรถตอนถูกเจอโรมพาตัวมาที่โรงพยาบาลเพื่อดำเนินโครงการพัฒนายาระงับอาการฮีทที่มีต่อคู่แห่งโชคชะตาแล้ว

ไร้ซึ่งการพูดคุยเหมือนเช่นทุกวัน มาถึงที่หมาย เขาก็ถูกเจ้าหน้าที่พยาบาลพาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและพบกับคริสในห้องสังเกตการณ์ การทดลองตัวยาเป็นไปอย่างราบรื่น เจเรมีไม่แสดงอาการก้าวร้าวใดๆ ออกมาทั้งนั้น ทำเอาทีมแพทย์โล่งใจไปตามๆ กันที่เห็นชายหนุ่มสงบได้ จะมีก็เพียงคริสเท่านั้นที่รู้สึกแปลกๆ กับการไม่เห็นท่าทีกระด้างกระเดื่องของอีกฝ่าย หลังจากการทดลองตัวยาสิ้นสุดลงและทีมแพทย์ได้ปล่อยให้พวกเขาได้พักอยู่ในห้องสังเกตการณ์กันตามลำพัง บทสนทนาง่ายๆ จากปากของนักโทษหนุ่มจึงเริ่มต้นขึ้น

“หน้าไปโดนอะไรกระแทกมาล่ะ” ว่าพลางพยักเพยิดปลายคางไปยังซีกแก้มที่เป็นรอยช้ำม่วงอมเขียวเล็กน้อย

เจเรมีผินใบหน้าซีกนั้นซึ่งอยู่ทางฝั่งที่คริสสามารถมองเห็นได้พอดีมามองคนถามเล็กน้อยแล้วหันหนี ปากขยับว่าพึมพำ

“อย่ามายุ่ง”

คริสก็ไม่ได้อยากจะยุ่งอะไรนักหรอก แต่เห็นว่าวันนี้เจเรมีดูแปลก สังเกตดีๆ จะเห็นว่าเขามึนตึงกับผู้เป็นบิดามากเป็นพิเศษด้วยเลยคิดเอาเองว่ารอยที่เห็นบนหน้าคงจะหนีไม่พ้นฝีมือของเจอโรมแน่ ก่อนที่จะมายังโรงพยาบาลแห่งนี้ เขาก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าคนตรงหน้าไปซัดลูกนายพลซึ่งตอนนี้นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลที่เดียวกันเสียจนได้รับบาดเจ็บสาหัส มันคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มรุ่นน้องเกิดความขัดแย้งกับบิดาก็เป็นได้ นั่นทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าการกระทำของเจเรมีค่อนข้างจะโง่เง่าไปสักหน่อย นอกเหนือจากนั้น เขายังคิดอีกด้วยว่าเจอโรมกล้าบ้าบิ่นพอดูที่ให้เขากับเจเรมีมาทำการทดลองยาสำหรับโอเมก้าในโรงพยาบาลแห่งเดียวกันอย่างนี้ ถึงแม้ช่วงเวลาที่เขาถูกพาตัวมาจะเป็นกลางดึกและเป็นไปอย่างลับๆ ก็เถอะ

ทว่าสิ่งสำคัญคือเขาคิดว่าเจเรมีค่อนข้างจะโง่ ไม่โง่ไปสักหน่อยด้วย เรียกว่าโง่บรมเลยจะดีกว่า รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร บิดาออกหน้าปกป้องขนาดนี้ยังจะทำตัวให้เป็นปัญหาอีก นั่นมันหาเรื่องให้ตัวเองเดือดร้อนชัดๆ อย่างที่เขาเคยคิดไว้ไม่มีผิดว่าครอบครัวของเจเรมีจะหนักใจแค่ไหนที่มีลูกพฤติกรรมแบบนี้

ใจร้อน ดื้อด้าน หยิ่งผยอง โอหัง มั่นใจในตัวเองเกินเหตุ ขวานผ่าซาก...พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ดึงปัญหามาให้ทั้งนั้น

น่าหนักใจมากจริงๆ... ซึ่งมันทำให้คริสอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากเตือน ไม่ใช่ว่าเป็นห่วง แต่แค่อยากจะแนะนำว่าควรวางตัวอย่างไรถึงจะฉลาดเวลาอยู่ในสังคมอัลฟ่า

ไม่สิ...ไม่ใช่ฉลาด ต้องบอกว่าวางตัวอย่างไรถึงจะอยู่รอดในสังคมอัลฟ่าต่างหาก

“ฉันก็ไม่ได้อยากยุ่งอะไรหรอกนะ แค่อยากจะเตือนให้นายระวังการวางตัวของตัวเองเอาไว้”

เปล่งเสียงออกไปจนได้ ขณะที่เจเรมีได้ยินแล้วก็ย่นคิ้วยู่ หันมามองคนพูดตาขวาง

“ฉันบอกว่าอย่ามายุ่งไง”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้อยากยุ่ง แค่จะเตือน” คริสสวน “จะเตือนว่าที่นายอยู่รอดได้มาถึงทุกวันนี้ มันไม่ใช่เพราะพ่อนายหรอกเหรอที่คอยปกป้อง ถ้าไม่มีพ่อนายสักคน ไม่คิดเหรอว่านายจะเป็นยังไง สังคมอัลฟ่าไม่ได้สวยหรูอย่างภาพลักษณ์ที่เห็น รู้จักคิดให้ถ้วนถี่ แค่โดนยั่วยุนิดหน่อย ไม่จำเป็นต้องเก็บไปเป็นอารมณ์หรอกน่า”

“นายจะเอาไงวะ” เจเรมีชักหัวเสีย บอกว่าอย่ามายุ่งวุ่นวายเรื่องของเขาแล้วแท้ๆ แต่คริสก็ไม่ฟังเลยแม้แต่น้อย

ชายหนุ่มถอนหายใจ เห็นสีหน้าต่อต้านของอีกฝ่ายก็ไม่อยากจะพูดสักเท่าไหร่ แต่ด้วยเห็นใจเจอโรมในฐานะบิดาของจอมวายร้ายคนนี้เลยต้องพูด ความจริงแล้วก็ไม่ใช่เพราะเห็นใจเจอโรมเสียทีเดียวหรอก สถานการณ์ของเจเรมีมันทำให้เขาอดคิดถึงบิดาตัวเองบ้างไม่ได้ต่างหาก เขาคงไม่มีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ถ้าบิดาไม่ปกป้องเช่นกัน คริสพูดได้เลยว่าการถูกส่งมาเป็นตัวประกันระหว่างอาณาเขตไม่ได้เป็นไปเพราะข้อเสนอของมหานครเพิร์ล หากแต่เป็นไปด้วยความคิดเห็นของบิดาเขาเอง ในตอนแรกก็ไม่เข้าใจนักหรอกว่าทำไมบิดาถึงได้ใช้เขาเป็นเครื่องมือต่อรองอย่างนั้น ภายหลังถึงได้ตระหนักว่าเพราะบิดารู้ดีอยู่แล้วว่าไม่ว่าอย่างไร อาณาเขตปกครองพิเศษดีออนก็ไม่สามารถต่อกรกับคู่ต่อสู้ได้ การรั้งไว้เท่ากับเป็นการปล่อยให้เขาต้องประสบกับชะตากรรมเลวร้ายซึ่งมันได้เกิดขึ้นกับครอบครัวเขาไปแล้ว

...การฆ่าล้างตระกูล

เมื่อต่อกรไม่ได้ อย่างน้อยก็ขอให้มีทายาทสักคนรอดชีวิตก็ยังดี ไม่ใช่เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตระกูล ทั้งหมดนั่นก็เพื่อปกป้องคนที่รักสุดหัวใจเท่านั้น เรียกได้ว่าการตัดสินใจของบิดาเขาเป็นวิธีที่ฉลาด มันเป็นการลดความสูญเสียให้เหลือน้อยที่สุดเพราะในขณะนั้นเขายังอายุน้อยและอารมณ์ร้อนเกินกว่าจะคิดทำอะไรให้รอบคอบได้ ต่างจากพวกพี่ๆ ของเขาที่เข้าไปมีบทบาททางการเมืองแล้ว

การกระทำของบิดาเขาก็เป็นเช่นเดียวกับที่บิดาของเจเรมีทำมาตลอดชั่วชีวิตของชายหนุ่มตรงหน้าเขาคนนี้...

ฉะนั้นสิ่งที่ผู้ถูกปกป้องควรกระทำคือวางตัวให้ดี อย่าให้เป็นที่เพ่งเล็งของใคร อย่าสร้างศัตรู หากมีคนที่ไม่ชอบหน้าก็ให้สวมหน้ากากเข้าใส่ เมื่อสบโอกาสค่อยหาวิธีเอาคืนอย่างแยบยล ไม่ใช่เดินตามสัญชาตญาณตัวเองด้วยการทะลุกลางปล้องอย่างที่เจเรมีทำอย่างนี้

“ก็ไม่ได้จะเอายังไง แค่จะเตือนว่าโอเมก้าอย่างนายน่ะ ถ้าไม่มีคนคอยดูแล นายคงไปอยู่ในตลาดมืดแล้ว แต่อย่างนายดูท่าน่าจะถูกฆ่าตายมากกว่า ร้ายกาจขนาดนี้น่ะ” ว่าพลางอมยิ้มน้อยๆ

เจเรมีไม่เถียงหรอกว่าเขาร้ายกาจขนาดไหนแม้ว่ามันจะขัดหูไปสักหน่อยก็ตาม แต่ทั้งหมดที่ทำไปมันเป็นเพราะธีโอต่างหากที่ทำให้เขาต้องระเบิดอารมณ์ขั้นสุดอย่างนั้น ถ้าฝ่ายนั้นไม่ยั่วยุ มีหรือที่เขาจะตอบโต้ แต่มันไม่ใช่เหตุผลที่ฟังขึ้นเลยไม่ว่ากับใครหน้าไหนก็ตาม ไม่เว้นแม้แต่คริสที่รู้อยู่แล้ว และเจเรมีเองก็ไม่ต้องการเสียเวลาอธิบายให้คนนอกอย่างอีกฝ่ายฟังด้วย จึงได้แต่หงุดหงิดใส่ไป

“ถ้านายยังไม่หุบปาก ฉันจะเลาะฟันนายออกมากระทืบให้แหลกทุกซี่”

“หยาบคายจังนะ” คริสว่า “ฉันมั่นใจว่าพ่อแม่นายคงไม่ได้สั่งสอนให้เป็นคนแบบนี้ สองคนนั้นคงจะผิดหวังในตัวนายน่าดู”

ไม่ใช่คำก่นด่า แต่ทว่าแทงใจดำคนฟังเหลือเกิน มันถูกอย่างที่คริสพูด เจอโรมและมาเรียไม่เคยสั่งสอนให้เจเรมีเป็นคนแบบนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะอิสรเสรีที่เขาได้รับจากครอบครัวในการคิดและการทำ ซึ่งนั่นทำให้เขาเตลิดไปหน่อยถึงขั้นเลยเถิดในบางครั้ง ไม่ใช่ว่าไม่รู้ตัว รู้ดีเลยทีเดียวล่ะ ยิ่งครั้งนี้ด้วยแล้ว เขายิ่งตระหนักได้ว่าทำไมตัวเองถึงได้ถูกเรียกว่าจอมวายร้าย

ทำบิดาต้องกลัดกลุ้ม...ทำมารดาร้องไห้ไม่เว้นวัน ความภาคภูมิใจในวีรกรรมอันร้ายกาจของตัวเองพังทลายหมดสิ้นเมื่อเห็นน้ำตาของมารดาหลั่งรินและความกังวลใจระคนผิดหวังของบิดาผ่านทางแววตา

เขาเป็นลูกที่ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ...

เจเรมีเงียบนิ่งไป เป็นครั้งแรกที่เขาไม่แสดงสีหน้ากรุ่นโกรธใดๆ ออกมา มีเพียงความเรียบเฉย หากแต่ความเรียบเฉยกลับมีความโศกเศร้าแฝงอยู่ในแววตาคู่นั้น ในใจลึกๆ เขาอยากจะย้อนกลับไปในวันที่ถูกธีโอยั่วยุ ถ้าหากทำได้ เขาจะควบคุมสติให้ดีกว่านี้ ไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามอย่างที่เผลอทำไปหรอก

การนิ่งเงียบของเจเรมีทำให้คริสที่เหลือบไปมองเอ่ยขึ้นลอยๆ

“ขอโทษสิ” เจเรมีหันขวับมาขมวดคิ้วใส่ให้คริสได้พูดอีก “ถ้ารู้สึกผิดก็ไปขอโทษ จองหองไปมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก ตอนที่ทะเลาะกันคงยังไม่ได้พูดขอโทษล่ะสิ”

“นายนี่ปากดีจริงนะ พูดมาก อวดรู้ น่ารำคาญ”

คริสยิ้มออกมาเมื่อเห็นเจเรมีมุ่ยหน้า

จริงอย่างที่ชายหนุ่มว่า ตั้งแต่เกิดเรื่อง เขาก็ยังไม่ได้พูดอะไรกับบิดาสักคำ เอาแต่รับคำสั่ง เรื่องขอโทษอะไรนั่นไม่ต้องพูดถึงเลย ไม่หลุดออกจากปากเขาเลยสักนิด และมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาอารมณ์ไม่แจ่มใสอยู่อย่างนี้

รู้สึกผิดจนอารมณ์ขุ่นมัว ถ้าขอโทษมันพูดกันง่ายๆ สำหรับคนอย่างเขา เขาคงพูดไปนานแล้ว

“ไปขอโทษซะ อยากพูดอะไรก็พูดไป ทำก่อนที่ทุกอย่างจะสาย...เหมือนฉัน” คริสว่าออกมาอีก

พอจะรู้ประวัติของคริสมาบ้างว่าเขาถูกพรากจากครอบครัวด้วยเหตุผลอะไร นับจากตอนนั้นก็ไม่ได้เจอหน้ากันเลยแม้แต่วาระสุดท้ายของชีวิต เจเรมีจึงไม่เถียงอะไร ยอมรับคำแนะนำแต่โดยดี

“อืม”

ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะลืมตัวหรืออะไร ครางตอบรับแล้วก็นั่งพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน

คริสเห็นท่าทางนั้นแล้วก็คิดไปว่าเจเรมีไม่ต่างอะไรจากเด็กคนหนึ่งแม้แต่น้อย เพียงแต่เจ้าเด็กคนนี้ออกจะดื้อด้านและหัวรุนแรงมากไปหน่อยจนทำพ่อแม่ลำบากใจ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็อดเอ็นดูขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางจ๋อยสนิทของอีกฝ่ายจึงยื่นมือขวาออกไปข้างๆ เรียกให้เจเรมีหันมามอง

“อะไร” น้ำเสียงขุ่นหลุดออกจากริมฝีปากเจเรมีเมื่อถูกขัดจังหวะ

คริสยกยิ้มเล็กน้อย ว่าเนิบๆ “ต้องให้ปลอบใจไหม จับสิ จะช่วยปลอบใจให้”

“หุบปากไปไอ้สวะ” ปัดมือใหญ่ของคริสออกเต็มแรง หากแต่ไม่ได้ตะคอก เป็นการพูดเสียงเรียบ

คริสหลุดขำ จะจ๋อยหรือหมดท่าอย่างไร เจเรมีก็ไม่ทิ้งลายของจอมวายร้ายเลยแม้แต่น้อย บอกตรงๆ ว่ามันทำให้เขาอยากแกล้งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

เหมือนกับน้องชายตัวแสบที่ก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นอะไรอย่างนั้น...น่าหยอกให้โมโหนัก

เพราะเอ็นดู ซ้ำยังอยากแกล้ง มือใหญ่เลยเลื่อนไปยีเส้นผมสีบลอนด์ของคนข้างกายเบาๆ เจเรมีผงะ ถอยห่างอย่างรวดเร็ว สีหน้าเกรี้ยวกราดปรากฏให้เห็นชัดเจนพร้อมกับคำพูดร้ายๆ

“ทำเวรอะไรของนายวะ!”

ที่ตกใจจนผงะไปอย่างนี้ไม่ใช่เพราะว่าไม่คุ้นชินกับการกระทำอย่างนั้น หากแต่กลัวว่ากลิ่นของคริสจะทำให้เขามีอาการฮีทต่างหาก ก็พวกทีมแพทย์บอกไว้นี่นะว่าตราบใดที่ยายังพัฒนาได้ไม่สมบูรณ์ เขาก็จะยังมีอาการฮีทกับคู่แห่งโชคชะตาเรื่อยๆ โดยไม่ต้องรอให้ถึงช่วงเวลาเป็นฮีทแม้ว่าจะได้รับยาระงับอาการแล้วก็ตาม ยิ่งการทดลองประสิทธิภาพยาในวันนี้ไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่นักและเขายังอยู่ในสภาพรอให้ยาระงับอาการฮีทออกฤทธิ์ตามลำพังกับคริสสองคนอย่างนี้ มันเสี่ยงมากที่เขาจะทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ตัวถ้าหากร่างกายมีปฏิกิริยาต่อกลิ่นฟีโรโมนของคริสขึ้นมาแบบฉับพลัน

คริสเห็นอีกฝ่ายโวยวายก็ดึงมือออก ส่งยิ้มให้ เป็นยิ้มที่ดูดีมากแต่เจเรมีไม่ชอบเอาเสียเลย

“ดื้อด้านสุดๆ ไปเลยนะนายน่ะ ขู่ฟ่อเป็นแมวเชียวเจ้าเหมียวน้อย”

เจ้าเหมียวน้อยงั้นเหรอ สงสัยคงจะยังไม่เคยถูกแมวข่วนหน้าแหกล่ะสินะ!

“อย่ามายั่วโมโหฉัน”

เจเรมีแทบอดใจลุกขึ้นไปต่อยหน้าอีกฝ่ายที่ทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาไม่ไหว แต่ก็ควบคุมตัวเองเอาไว้ได้ คริสยิ้มให้ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้พูด

“รู้จักควบคุมอารมณ์แล้ว เก่งนี่”

เมื่อกี้ที่พูดอย่างนั้นคือจงใจจะให้เจเรมียับยั้งอารมณ์ใช่ไหม!

ใช่อย่างแน่นอน พูดประโยคนั้นจบก็ร่ายยาวออกมา

“นายต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าทุกการกระทำของนายมันมีแสงสะท้อนกลับ ตัวนายเปรียบเสมือนกระจก ส่วนการกระทำของนายคือแสงตกกระทบ ถ้าการกระทำของนายไม่ร้ายแรงมันก็เหมือนกับแสงตกกระทบอ่อนๆ ถ้ามันร้ายแรงก็ตกกระทบมากจนทำคนรอบข้างแสบตา จำไว้ว่าไม่ใช่นายคนเดียวที่เดือดร้อน ครอบครัว คนรอบข้างนายก็จะเดือดร้อนไปด้วย ถ้าอยากก่อเรื่องก็ดูจังหวะจะโคนให้ดีหน่อย ไม่ใช่ตอนที่นายมีสิทธิ์ถูกขุดคุ้ยอย่างนี้”

“สวะอย่างนายอย่าเสนอหน้ามาสั่งสอนฉัน”

“ถูกขุดคุ้ยว่าเป็นโอเมก้ามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยนะ” แทนที่จะหยุด คริสกลับย้อนคืนด้วยน้ำเสียงเริงรื่น

เจเรมีพูดได้เต็มปากเลยว่าเขาเกลียดขี้หน้าคริสพอๆ กับที่เกลียดขี้หน้าธีโอ ทว่าพอได้ยินประโยคถัดไปหลุดออกจากปากอีกฝ่าย ความเกลียดชังก็ลดน้อยลงไปครู่หนึ่ง

“สิ่งที่ฉันพูด นายจะฟังหรือไม่ฟังมันก็เรื่องของนาย ที่ฉันเตือน นอกจากจะเป็นเพราะสงสารครอบครัวของนายแล้ว มันเป็นเพราะนายเป็นคู่แห่งโชคชะตาของฉัน ดูแลกันสักหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง”

“ใครจะไปนอนอ้าขาให้นายวะ หยุดอ้างเรื่องนี้ไปเลย ทุเรศ นายมันก็แค่แส่เรื่องของฉัน”

เจเรมีสบถทำเอาคริสหัวเราะ

“ถ้าไม่นอนอ้าขา จะยืนหรือยังไงก็ตามใจ ฉันไม่ถือ ได้หมด”

แทนที่จะเลิกยั่วยุ ดันเป็นการทำให้เจเรมีหงุดหงิดเสียได้ จากที่เมื่อครู่ลดความเหม็นขี้หน้าไปได้แล้วเล็กน้อย ตอนนี้กลายเป็นว่าชิงชังผู้ชายที่มีรูปหน้าหล่อเหลาเสียจับใจ

จะนอน จะยืนหรือจะท่าไหนๆ ก็ไม่อ้าขาให้ทั้งนั้นแหละเว้ย! พูดอย่างนี้มันจงใจหาเรื่องกันนี่หว่า!

เจเรมีเกือบจะลุกมาเอาเก้าอี้ฟาดคริส ส่งให้ไปนอนพะงาบๆ เหมือนกับธีโอแล้ว แต่โชคดีของชายหนุ่มที่ผู้คุมเข้ามาพาตัวกลับไปยังทัณฑสถานเสียก่อนจึงรอดตายหวุดหวิด ภายในห้องสังเกตการณ์จึงเหลือแต่เจเรมีเท่านั้นที่หัวฟัดหัวเหวี่ยงตามลำพัง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงสงบสติอารมณ์ลงได้ พลันนึกถึงคำพูดของคริสก่อนหน้า

‘ตัวนายเปรียบเสมือนกระจก ส่วนการกระทำของนายคือแสงตกกระทบ ถ้าการกระทำของนายไม่ร้ายแรงมันก็เหมือนกับแสงตกกระทบอ่อนๆ ถ้ามันร้ายแรงก็ตกกระทบมากจนทำคนรอบข้างแสบตา จำไว้ว่าไม่ใช่นายคนเดียวที่เดือดร้อน ครอบครัว คนรอบข้างนายก็จะเดือดร้อนไปด้วย…’

พูดถูกจนเถียงไม่ได้ ก่อนเจเรมีจะยกมือขึ้นปิดใบหน้า หัวเราะขื่นๆ ในลำคอ

“ทำเป็นมาสั่งสอน เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะไอ้ขี้คุก”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel