CHAPTER 5
หนูจะทำยังไงดีค่ะแม่... ขิมจะทำยังไงดี
น้ำตาที่หยุดไหลเอ่อล้นออกมาจากดวงตาอีกครั้งพร้อมกับอาการสะอึกสะอื้น ฉันกอดเข่าแน่นคิดเสียว่ามันเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจจากนั้นก็โน้มตัวก้มลงไปจนหน้าผากกระทบกับหัวเข่า
ขิมเจอเขา ขิมเจอเกมส์อีกครั้งแล้วค่ะ
เสียงพึมพำของตัวเองดังขึ้นเงียบๆ ออกมาเรื่อยๆ ความอ่อนล้าทางร่างกายไม่เท่าความอ่อนล้าภายในจิตใจ มันกัดเซาะเกาะกินจิตใจของฉันไปทีละนิดๆ และคืนนี้บรรยากาศก็ยิ่งแปรปรวนมากขึ้นมีสายฝนปรอยๆ ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าทีดำ แสงสว่างเกิดขึ้นขีดเป็นเส้นแล้วเส้นเล่าน่ากลัวจากนั้นก็มีเสียงร้องคำครามตามมา
ลมพัดมาทีหนึ่งความหนาวเย็นก็เข้ามาปะทะร่างกาย
หนาว... สั่นสะท้านไปหมด เหมือนจะไม่สบาย
ซวยซ้ำมันเข้าไป
เกือบสองชั่วโมงที่ฉันนั่งงอตัวเหมือนกุ้งอยู่ในจุดเดิมไม่คิดออกไปไหน นานๆ ครั้งมีรถแล่นผ่านก็ต้องทำตัวให้ลีบเล็กเหมือนกับจะแทรกตัวเข้าไปในเสาเพื่อที่ไม่อยากให้ใครเห็นแต่ทว่าขณะนี้ร่างกายของฉันเหมือนจะไม่ไหวแล้ว
จะพยายามฝืนแค่ไหนก็ไม่ดีขึ้น
ทั้งส่ายศีรษะไปมา พยายามนวดเค้นขมับ พยายามตบใบหน้าก็เท่านั้น จะประท้วงให้ร่างกายตื่นตัวตลอดฉันรู้ดีว่ามันเป็นไปได้ยากเหลือเกินเพราะทุกอย่างกำลังจะมืดดับลง
ไม่ได้...
จะเป็นอะไรไปตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด
ฝืนไว้ขิม แกต้องฝืนไว้
สายตาพล่ามัวไปทีละนิดๆ อาการปวดหัวตุบๆ บริเวณขมับทั้งซ้ายและขวาเกิดขึ้นอย่างไม่มีคำความปรานีทั้งนี้ยังปวดเมื่อยไปหมด
ตึก ตึก
เสียงของฝีเท้ากระทบพื้นดังขึ้นเรียกสติของฉันถึงจะมีเพียงน้อยนิด ไม่คบถ้วนนักทั้งที่พยายามมากเท่าไหร่ก็ได้แค่นี้กระทั่งมันหยุดลงพร้อมกับปลายรองเท้าหนึ่งปรากฏตรงหน้า
พอฉันเงยขึ้นไปแสงไฟจากเครื่องมือสื่อสารก็ส่องจ้ากระทบสายตาตัวเองแทบมองไม่เห็นบุคคลนั้นเลย
จน...หมับ!
ฝ่ามือใหญ่เย็นเฉียบรับศีรษะของฉันที่กำลังจะกระทบพื้นได้อย่างทันถ่วงทีเพียงข้างเดียว ฉันจึงเห็นเสี้ยวใบหน้าของเขาที่เล็ดลอดออกจากความมืดแบบชัดเจน
“เกมส์...”
เช้าวันต่อมา
ปวดหัว...
ปวดจนไม่อยากตื่นนอนหรือแม้กระทั่งลืมตาขึ้น
การนอนนิ่งของตัวของเพื่อขอตั้งสติสักนิดกับไม่เป็นผลมากเท่าไหร่เนื่องจากอาการปวดหัวยังโจมตีแทบไม่หยุดยั้งทั้งนี้ยังมีอาการปวดเมื่อยร่างกาย เจ็บคอและปวดหน่วยๆ ตรงช่วงหน้าท้องร่วมอยู่ด้วย แต่การปวดหัวนี่คงหนักสุด มือเล็กของตัวเองที่อยู่ข้างลำตัวถูกส่งออกมานวดขมับเบาๆ ทั้งซ้ายและขวาสลับกัน
ในเมื่อลืมตาไม่ขึ้นฉันก็หลับตานวดแบบนั้น
เพื่อหวังว่าอาการจะทุเลาเบาบางลงบ้าง
จริงสิ!
แต่แล้วอีกความคิดหนึ่งก็แล่นแทรกเข้ามาในหัวสมองอย่างรวดเร็วราวกับจรวด เรื่องที่ก่อนหน้าฉันอยู่ตรงป้ายรถเมล์แต่ตอนนี้ไม่ใช่ เพราะขณะนี้ด้านหลังแผ่นหลังเป็นฟูกนุ่มๆ รองรับร่างกายของตัวเอง
ที่นี่ไม่ใช่ป้ายรถเมล์แน่ๆ
ก่อนหน้าเมื่อคืนรู้สึกว่าตัวเองไม่สบาย หนาวมาก ปวดหัวมาก
ก่อนหน้าที่จะหมดสติลงเหมือนกับว่าเจอเกมส์เป็นคนสุดท้าย
เกมส์เหรอ...
พอคิดได้แค่นั้นร่างกายของฉันก็ดีดเด้งลุกขึ้นนั่งอย่างอัตโนมัติเป็นเหตุให้สายตาพล่ามัวไปชั่วขณะเนื่องจากการลุกเร็วเกินเหตุและดูท่าว่าตอนนี้ฉันต้องทิ้งตัวหงายหลังนอนลงโดยไม่สนว่ามันจะกระทบกับฟูกเตียงแรงแค่ไหน ร่างกายของตัวเองคงอยู่ในช่วงขาลงเสียแล้ว
หมับ!
คงอีกนิดเดียวมั้งที่แผ่นหลังจะกระทบกับฟูกหรือไม่ศีรษะอาจจะฟาดกับหัวเตียงกับมีอะไรบางอย่างเข้ามารองรับตัวฉัน มันแข็งแกร่งโดยมีความนุ่มผสมไปในตัว มีกลิ่นหอมโชยมาแบบอ่อนๆ ไม่ฉุน ฉันจึงนั่งอยู่แบบนั้นสักพักหนึ่งพยายามตั้งสติที่ดูเหมือนมีแค่เล็กน้อยเท่านั้น
“อย่าฝืน”
น้ำเสียงเยือกเย็นดังขึ้นริมใบหูข้างซ้าย ไม่หนักแน่นและก็ไม่แผ่วเบาจนเกินไปแต่กับมีอนุภาพมากพอที่จะปลุกความเลอะเลือนของตัวฉัน
น้ำเสียงนี้...
เสี้ยวใบหน้าฉันก็รับรู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร
เขาก็คือคนที่ฉันเจอเป็นคนสุดท้ายเมื่อคืนก่อนจะหมดสติลงไป ในเมื่อเกมส์อยู่ตรงนี้ก็ไม่ต้องเสียเวลาคาดเดาว่าฉันอยู่บนเตียงของใคร อยู่ในห้องของใครถ้าไม่ใช่เขา
“ฉันไม่เป็นอะไร”
เห็นท่าไม่ดีฉันจึงรีบขยับตัวผละออกจากการพิงแผงอกของเกมส์ทว่ากับไม่เป็นดั่งที่ตัวเองคิดไว้เมื่อมีอุปสรรคใหญ่เข้ามาขวาง นั่นก็คือสองมือใหญ่สอดใต้แขนฉันเข้ามาประสานมือกันวางบริเวณหน้าท้องของตัวเอง
“ควรรู้ตัวเอง เลิกอวดเก่ง”
“ฉันไม่ได้...” พอจะเถียงอาการปวดหัวก็แทรกเข้ามาทำให้ฉันต้องหยุดพูด หยุดดิ้นทันทีพยายามกลืนอาการพวกนี้เท่าไหร่สงสัยร่างกายของฉันก็ต้องแพ้ นาทีนั้นร่างกายของฉันก็ลอยขึ้นจากการถูกยกให้ขยับตัวขึ้นไปนั่งบนตักของเกมส์ “นายจะทำอะไร”
“กลัวก็อย่ากร่างให้มันมาก”
“ฉันไม่ได้เป็นแบบนั้น”
พึ่งเจอกันไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงใครเขานั่งตักกันบ้างแถมยังเป็นบนเตียงอีก
