บทที่ 3
ตอนที่ 1
“อุ๊ย!” กำแพงมนุษย์ที่ทั้งสูงทั้งใหญ่ดูจะไม่สะทกสะท้าน ต่างกับสาวร่างบางอย่างแวววิวาห์ที่ถูกชนจนเกือบจะล้มลงไปกองกับพื้น โชคดีที่เขาตวัดแขนมาโอบรอบเอวไว้ซะก่อน ให้ตายสิ! ภาพนี้อย่างกับฉากรักในละคร ตอนที่พระนางเจอกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงทุ้มๆ ของเขาที่ฟังยังไงก็พระเอกชัดๆ
“เป็นไรไหม” น้ำเสียงชวนฝันของเขาทำเอาแวววิวาห์สะเทิ้นสะท้านบิดไปบิดมาด้วยความเขินอาย ในขณะที่ศิศิราได้ยืนกลอกตามองบนกับอาการเขินเกินเบอร์ของเพื่อน ใช่! แวววิวาห์หนึ่งในเพื่อนรักของเธอ และก็ใช่อีกที่รายนี้ออกอาการเพ้อพกถึงขั้นคลั่งไคล้ในตัวท่านรองประธานของเธอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เจอแบบนี้เข้าไปคงเพ้อไปอีกหลายวัน
“เป็นคนที่แอบมองเธออยู่ไกลๆ เอ้อ…! คือดิฉันหมายถึง ดิฉันไม่เป็นไรค่ะ” แวววิวาห์เผลอตอบในสิ่งที่ใจคิด ก่อนจะตั้งสติได้ในเวลาต่อมา
“นั่นปะไร ไม่ทันไรก็เพ้อซะละ เฮ้อ!” ศิศิราพึมพำกับตัวเองพลางส่ายหน้าน้อยๆ กับอาการของเพื่อน
“อืม! งั้นไปกันเถอะ” เขาหันไปบอกศิศิรา ก่อนจะเดินนำออกไป แต่แล้วจู่ๆ เขาก็หยุดเดินดื้อๆ ทำเอาคนที่เดินตามหลังมาติดๆ ชนเข้ากับแผ่นหลังเขาเต็มๆ
“พังหมดแล้วมั้งเนี่ยจมูกฉัน ดีนะที่ของแท้แม่ให้มา ไม่งั้นมีเบิกค่าจมูกใหม่แน่” เธอบ่นอุบขณะยืนลูบจมูกตัวเองป้อยๆ แต่เขาก็หาได้สนใจ กลับมองเลยไปที่เพื่อนของเธอที่ยังยืนเพ้ออยู่ด้านหลัง มิหนำซำยังเรียกชื่ออีกฝ่ายให้รายนั้นยิ่งเพ้อหนักยิ่งกว่าเดิม
“แวววิวาห์”
“หมดกันเพื่อนฉัน ใจเหลวหมดแล้วมั้งนั่น” เห็นอาการเดินบิดไปบิดมาของเพื่อน ศิศิราก็พึมพำอีก
“คะ? ท่านรอง” แวววิวาห์เดินมาหยุดยืนมองผู้ชายในฝันด้วยนันยน์ตาหยาดเยิ้ม ราวกับว่าหลงใหลผู้ชายตรงหน้าเสียเต็มประดา
“แกควรสงวนท่าทีมากกว่านี้วา” ศิศิราทนดูไม่ได้จึงขยับเข้าไปกระซิบใกล้ๆ จังหวะนั้นเองจู่ๆ ถุงแซลม่อนกับสปาร์เก็ตตี้ก็ถูกฉกชิงไปต่อหน้าต่อตา
“นี่ให้คุณ” ภากรยื่นถุงที่เพิ่งดึงมาจากศิศิราไปให้แวววิวาห์หน้าตาเฉย ทำเอาคนรับแทบละลายกลายเป็นขี้ผึ้งลนไฟอยู่ตรงนั้น ต่างกับเจ้าของตัวจริงที่กำลังจะอ้าปากประท้วง แต่ก็ถูกดึงแขนให้รีบเดินออกจากตรงนั้น
“นั่นมันของฉันนะคะ บอสไม่มีสิทธิ์เอาของของฉันไปให้คนอื่นแบบนั้น” เธอหันไปมองถุงในมือเพื่อนรักที่ยืนอยู่ไกลๆ ด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะหันมาเกรี้ยวกราดใส่คนที่จับจูงเธอออกมา
“แต่นั่นไม่ใช่คนอื่น นั่นเพื่อนคุณ” เขาหันมาตอบหน้าตาเฉย
“ฉันก็ไม่ได้หมายความแบบนั้น วาไม่ใช่คนอื่น แต่คุณก็…ฮึ่ย! ช่างเถอะ พูดไปฉันก็ไม่ได้กินอยู่ดี” ศิศิราเม้มปากด้วยความหงุดหงิดขุ่นเคือง ขุ่นเคืองที่ว่าอะไรอีกฝ่ายมากไม่ได้ เพราะเขาเป็นเจ้านาย
“อีกนานไหมคะ” ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังเดินไปที่รถด้วยกัน จู่ๆ เธอก็ถามขึ้น ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วและหันมามอง
“เนี่ย? อีกนานไหมคะ” เธอย้ำอีกครั้ง พร้อมกับเหลือบไปมองมือเขาที่ยังจับอยู่ที่แขนของเธอ ทำให้คนจับจำต้องรีบปล่อย ซึ่งเป็นตอนที่ถึงที่รถแล้วพอดี คนรถที่เห็นเจ้านายเดินมา ก็รีบเดินมาเปิดประตูรถให้อย่างรู้หน้าที่
“เอ้า! นี่บอสจะขับเองเหรอคะ” เธอร้องถาม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับแทนที่จะเป็นเบาะหลังอย่างที่ควรจะเป็น
“อืม! ขึ้นรถสิ เดี๋ยวไม่ทัน” คำตอบของเขาทำให้เธอต้องรีบเดินอ้อมไปเปิดประตูข้างคนขับ ก่อนที่ทั้งคู่จะนั่งเคียงข้างกันออกไป กระทั่งรถสปอร์ตคันหรูเคลื่อนมาหยุดอยู่ที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง
“ฉันจำได้ว่าเรานัดลูกค้าไว้ที่โรงแรมไม่ใช่เหรอคะ แต่นี่มัน…” เธอลงมาหยุดยืนอยู่หน้าภัตตาคารด้วยสีหน้างุนงง
“รีบไปเถอะ เดี๋ยวไม่ทัน” แทนที่จะตอบคำถาม เขากลับพูดคำเดิม
“นัดกันบ่ายสอง นี่เพิ่งเที่ยง มันจะไม่ทันได้ไงวะ” เธอเดินตามแต่ก็อดบ่นงึมงำไม่ได้ ก่อนจะกลายเป็นโอดครวญหลังได้กลิ่นหอมๆ ยั่วน้ำลายจากอาหารมากมายที่พนักงานเสิร์ฟยกผ่านหน้า
“ฮือ! เอาเวลากินข้าวฉันไปไม่พอ ยังจะพาฉันมาดมกลิ่นอาหารให้ทรมานเล่นอีก จิตใจคุณทำด้วยอะไรเนี่ยคุณภากร นี่ถ้าดมแล้วอิ่มได้ ฉันจะไม่บ่นเลยสักคำ” เธอยังคงบ่นพึมพำขณะเดินตามเขาห่างๆ กระทั่งพนักงานของร้านพาคนทั้งคู่เข้ามาในห้องห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องส่วนตัว ไม่มีผู้คนพลุกพล่านเหมือนอย่างโซนด้านนอกที่เธอเพิ่งเดินผ่านมา
“บอสนัดลูกค้ามาทานข้าวที่นี่เหรอคะ ก็ดีนะคะ” หลังจากพนักงานร้านออกไป เธอก็อดถามไม่ได้ ในขณะที่ใจกลับคิดอีกอย่าง
‘จะทรมานกันไปถึงไหน’ ตอนแรกแค่ดมกลิ่น เธอก็แทบจะแดดิ้นอยู่กับพื้นแล้ว แต่นี่อาหารมากมายที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ จะให้เธอขาดใจตายไปเลยรึไง
“เปล่า” เขาตอบพลางลงนั่งด้วยท่าทีสบายๆ
“เอ้า! แล้วอาหารพวกนี้ล่ะคะ”
“สำหรับเรา” เขาบอกขณะกำลังตักบางอย่างเข้าปากด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย
“มะหมายถึงฉันด้วย?” เธอชี้มาที่ตัวเอง แต่สายตากลับจับจ้องอยู่ที่อาหารตาเป็นมัน
“ก็ถ้าคุณยังช้า มันอาจจะหมายถึงของผมคนเดียว” เธอรีบนั่งลงฝั่งตรงข้ามเขาโดยไม่ต้องรอให้พูดซ้ำ
“ไม่เกรงใจแล้วนะคะ” สิ้นเสียงเธอก็ตักอาหารจานโน้นจานนี้เข้าปากด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย เห็นเธอทำท่าราวกับว่ามีความสุขนักหนา เขาก็อดยิ้มไม่ได้
“นี่หิวจริงๆ หรือกินประชด” เขาแสร้งว่า
“ก็ต้องหิวสิคะบอส หิวจนตาลายเลยล่ะค่ะ”
ก็บอกแล้วว่าเมียจ๋าของท่านประธานก็มาโผล่ในเรื่องนี้ ใครอยากรู้ว่าเมียจ๋ากับท่านประธานจะลงเอยกันยังไง ไปตามกันที่ ท่านประธานขา พาหนูลงจากเตียง เอ๊ย! คานที นะคะ (ขายของสุดฤทธิ์)
