เหมียวตัวที่ 5 สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น
เหมียวตัวที่ 5
สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น
“โอเคเลยนะครับคุณชล แต่ผมอยากได้ฟอนต์ที่ดูวินเทจแต่ยังมีความเป็นไทยอยู่ฝากแก้ให้ด้วยนะครับ”
“ครับคุณดล”
วันนี้ก็เป็นวันแรกของสัปดาห์ที่ผมจะต้องเข้ามาตรวจงานที่โรงงานอยู่ภายใต้แบรนด์ เสือขาว ธุรกิจของที่บ้านเราทำเกี่ยวกับการผลิตเครื่องดื่มทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็น เหล้า เบียร์ น้ำดื่ม น้ำผลไม้ และอีกมากมาย แต่สินค้าที่ถูกส่งออกและทำรายได้ได้มากที่สุดก็ดูเหมือนจะเป็นเบียร์เสือขาวที่ทุกคนรู้จัก ผมทุ่มเทไปกับการเรียนไปแล้วทั้งห้าวัน วันหยุดผมก็ต้องเข้ามาตรวจงานที่โรงงานเป็นแบบนี้วนลูบมายาวนานหลายปี เมื่ออดีตธุรกิจนี้เป็นธุรกิจของคุณปู่เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมาก่อนที่จะส่งต่อให้ผมเป็นผู้ดูแลต่อเมื่อตอนอายุครบยี่สิบ ระหว่างนั้นผมก็คอยเรียนรู้งานที่นี่มาตั้งแต่ยังเล็กจนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมันทั้งหมด
“แล้วเรื่องวัตถุดิบล่ะครับ คุณดลจะส่งทีมไปตรวจสอบหรือเปล่า”
“ปิดเทอมนี้เดี๋ยวผมจะลงพื้นที่ไปตรวจด้วยตัวเองครับ”
“ครับ”
หลังจากที่ตรวจแพคเกจสินค้าตัวใหม่พร้อมสั่งแก้งานตามความต้องการแล้วผมก็มาตรวจยังฝ่ายการผลิตต่อ เหล่าพนักงานต่างพากันยกมือไหว้ยกใหญ่อย่างให้เกียรติ พนักงานส่วนมากก็จะเป็นคนที่มาจากบ้านเกิดของผม เป็นเหล่าชาวบ้านที่ขอมาทำงานเพื่อหาเงินไปจุนเจือครอบครัวที่ต่างจังหวัด คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นคนที่ผมนับถือเป็นญาติเป็นพี่เป็นน้องและปฏิบัติกับทุกคนแบบเป็นกันเอง
“สวัสดีค่ะคุณดล”
“สวัสดีครับพี่นาง กลางวันแล้วรีบไปพักทานข้าวได้แล้วครับ”
“ค่ะ” พี่นางคือหัวหน้าแม่บ้านที่กำลังถูพื้นทำความสะอาดเธอกล่าวทักทายผมเหมือนทุกครั้งที่เจอกัน พี่นางทำงานที่นี่มานานถึงยี่สิบสามปีซึ่งมากกว่าอายุผมเสียอีกถึงแม้ว่าพี่นางจะอายุเกือบหกสิบแล้วแต่ใบหน้าของเธอยังดูเด็กกว่าอายุผมจึงเรียกเธอมาพี่
“สวัสดีค่ะคุณดล”
“สวัสดีครับพี่ชัญญา สงกรานต์นี้มีแพลนเที่ยวหรือยังครับเนี่ย”
“ชัญกลับบ้านนอกไปหาลูกค่ะ คุณดลล่ะคะปีนี้จะกลับบ้านไหม”
“กลับเหมือนกันครับ ว่าจะเอามีใจกลับด้วยเหมือนกันสงสัยมันเริ่มคิดถึงคุณปู่แล้วล่ะช่วงนี้ถึงชอบออกจากบ้านบ่อย ๆ”
“ดีจังเลยค่ะ แล้วเจอกันที่บ้านเรานะคะ”
“ครับ”
พี่ชัญญาหัวหน้าฝ่ายบัญชีคือบุคคลที่มีอายุงานนานเช่นกัน แต่พี่ชัญญาจะพิเศษหน่อยก็คือพี่เขาเป็นคนที่คุณปู่ของผมส่งเสียให้เรียนหนังสือเพราะตอนที่พี่เขายังเป็นเด็ก บ้านพี่ชัญญาไฟไหม้เป็นเหตุให้พ่อและแม่ของเธอถูกไฟคอกทั้งคู่ คุณปู่เลยรับพี่ชัญญามาดูแล
“เราแยกกันตรงนี้เลยละกันครับคุณชล เดี๋ยวผมจะกลับบ้านแล้ว”
“ครับ ขับรถดี ๆ นะครับ”
ขณะนี้ผมมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านเค้กเจ๊จอยโดยไม่มีเหตุผลใด ๆ ทั้งที่วันนี้ผมก็ทำงานมาเหนื่อยทั้งวันไหนจะต้องกลับบ้านไปเคลียร์เอกสารต่ออีก ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้มาที่นี่เหมือนกัน
“ร้านปิดแล้วนะคะลูกค้า อ้าวคุณ”
“สวัสดีครับเจ๊จอย”
“สวัสดีค่ะ ทำไมวันนี้มาช่วงนี้ล่ะคะพี่เก็บของปิดร้านแล้วค่ะ”
ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มตรงซึ่งพอดิบพอดี เจ๊เขาก็คงจะแอบด่าผมในใจว่าจะเสนอหน้ามาทำไมตอนร้านปิด ถึงแม้ภายนอกจะยิ้มแย้มรับแขกตลอดเวลาก็ตาม
“ไม่เป็นไรครับ ผมขอแค่นั่งเล่นตรงนี้ก็พอ”
“เครียดเรื่องงานเหรอคะ งานหนักมากเลยล่ะสิ” เจ๊จอยเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงความเหนื่อยล้าออกมาจากใบหน้าอย่างชัดเจน ตลอดระยะเวลาเกือบสิบปีที่ผมอยู่กรุงเทพก็คงจะมีเจ๊จอยนี่แหละที่รู้ใจผมที่สุดเนื่องจากบ้านเราอยู่ระแวกเดียวกันก็เลยได้พูดคุยกันบ้าง
“เปล่าหรอกครับผมแค่อยากมาหาเพื่อนคุยด้วยเฉย ๆ ช่วงนี้เหงาไปหน่อย”
ขณะที่พูดผมก็ชะเง้อมองหาใครบางคนที่ทำให้ใจว้าวุ่นทั้งวัน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงเอาแต่คิดถึงหน้าเด็กคนนั้น จะว่าเป็นเพราะโกรธก็ไม่ใช่ จะอยากได้ค่ารักษาก็ไม่เชิง ผมแค่รู้สึกว่าเด็กคนนี้ไม่เหมือนคนอื่นที่ผมรู้จัก ไม่ว่าเขาจะทำเรื่องไว้แย่กับมีใจแค่ไหนผมก็โกรธไม่ลง มิหนำซ้ำยังคิดสงสารไปอีก
“หาอะไรคะ”
“เอ่อ...แค่สงสัยน่ะครับทำไมพี่จอยปิดร้านคนเดียว” ผมรีบแก้ต่างไปกลัวว่าจะน่าสงสัยที่ผมมาหาเด็กในร้านไม่ใช่เจ้าของร้าน
“อ๋อ พี่ให้ลันเขากลับไปก่อนน่ะ เพราะเลิกงานจากพี่ไปลันเขาต้องไปทำงานที่ร้านอาหารต่อ พรุ่งนี้ลันเขาก็ไม่ได้มาเพราะต้องไปทำงานร้านกาแฟ”
“โห ทำหลายที่จังเลยนะครับ”
“ใช่ค่ะ เพราะลันเขาอยากเข้ามหาลัยไหนจะต้องเก็บเงินไปรักษาป้าที่ป่วยเป็นมะเร็งอีก แล้วนี่ก็ไปทำแมวใครป่วยก็ไม่รู้ต้องหาเงินไปจ่ายค่ารักษาตั้งสองหมื่นห้า พี่จะให้ยืมก็ไม่ยอมเอา เจ๊ล่ะสงสารมันจริง ๆ นี่ก็ได้ยินว่าลันจะไปหางานเพิ่มเป็นงานที่สี่อีกไม่รู้จะขยันไปไหน เจ้าของแมวนี่ก็ประไรให้ผ่อนหน่อยก็ไม่ได้ใจดำชะมัด”
ใจดำงั้นเหรอ ผมก็ไม่ได้ตั้งใจหรอกนะแค่ไม่คิดว่าเด็กนั่นจะชีวิตรนทดขนาดนี้
“ความจริงแล้วแมวตัวนั้นเป็นแมวผมเองล่ะครับ”
“อ้าว เหรอคะ...” เจ๊จอยหน้าเจื่อนไปเลยเมื่อรู้ว่าคนใจดำคนนั้นคือผมเอง ทว่าผมก็ไม่ได้โกรธอะไรแถมยังเห็นด้วยด้วยซ้ำที่เจ๊จอยเขาจะคิดแบบนั้น
“พี่จอยพอจะรู้จักร้านที่ลันเขาไปทำงานไหมครับ”
ทันทีที่ได้ข้อมูลแหล่งทำงานของลลันผมก็มุ่งหน้าไปยังที่แห่งนั้นโดยเร็ว และโลกมันก็ช่างกลมเหลือเกินที่ร้านอาหารดังกล่าวมันใกล้บ้านผมเพียงสองร้อยเมตรแถมเจ้าของร้านยังเช่าที่ผมตั้งร้านนี้อีกด้วย
“สภาพดูไม่ได้เลยแฮะ”
สายตาของผมจับจ้องไปที่คนที่ตกเป็นเป้าสายตาที่กำลังตั้งอกตั้งใจเสริฟอาหารด้วยสภาพที่ดูไม่ดี พอเลิกงานจากร้านเค้กแล้วยังต้องมาทำงานร้านอาหารอีก ขอบตาล่างนี่ดำเขมือบริมฝีปากแห้งซีดเหมือนคนใกล้าตายยังไงก็ไม่รู้ สิบปากว่าก็ไม่เท่าตาเห็น ถ้าเจ๊จอยไม่บอกที่อยู่ให้ผม ผมคงไม่ได้เห็นภาพนี้
“อาหารได้แล้วครับคุณลูกค้า”
“นี่ลาบอะไร” ชายร่างกำยำรอยสักเต็มตัวเอ่ยถามห้วน ๆ
“ลาบเนื้อ ตามออเดอร์ที่สั่งเลยครับ”
“แต่พี่ไม่กินเนื้อและพี่ก็ไม่ได้สั่งเนื้อ พี่สั่งลาบหมูไอ้น้อง”
“แต่ว่าลูกค้าเป็นคนขีดสั่งมานะครับ ทางครัวเขาก็ทำมาตามที่ลูกค้าสั่งแบบเป๊ะ ๆ”
“แต่กูจะกินลาบหมู มึงก็ไปเปลี่ยนให้กูสิวะ”
“ครับ”
“จะเอาไปไหน”
“ก็จะเอาไปเปลี่ยนให้ไงครับ”
“ไม่ต้อง ทิ้งไว้นี่แหละทำผิดแล้วก็เอาไว้นี่ มึงก็ไปทำมาให้กูใหม่”
“ลูกค้าจะจ่ายสองจานเหรอครับ”
“บ๊ะ ไอ้เวรนี่มึงทำผิดมึงก็ต้องรับผิดชอบสิวะ กูจะกินสองจาน!” ลูกค้าคนดังกล่าวขึ้นเสียงตะหวาดใส่หน้าจนลลันสดุ้งโหยง
“อ้าวไอ้เวรนี่ ทำไมคุณเวรลูกค้าถึงพูดจาสุนัขไร้เจ้าของแบบนี้ล่ะครับ”
“กูเป็นลูกค้านะเว้ย มึงพูดแบบกับกูได้ไงวะ”
“ก็มึงบอกว่าไม่แดกเนื้อ แล้วมึงจะแดกสองจานได้ยัง!”
“โอ๊ะ คุณใหญ่สวัสดีครับ มีอะไรกันหรือเปล่าครับ” คนที่เพิ่งมาใหม่คงจะเป็นเจ้าของร้าน ผมเปิดประตูรถเพื่อที่จะลงไปดูสถานการณ์เมื่อเห็นลลันกำลังโดนรุม
“ก็ลูกน้องมึงน่ะสิวะพูดไม่รู้เรื่อง แถมยังพูดจาหมา ๆ กับกู”
“ขอโทษแทนไอ้ลันมันด้วยนะครับ เอาแบบนี้เดี๋ยวมื้อนี้ผมเลี้ยงคุณใหญ่เอง”
“ไม่ต้อง มึงไล่มันออกไปเลย”
“ไล่ออก จะบ้าเหรอวะ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะเว้ย”
“ไอ้ลัน มึงเงียบปากถ้าไม่อยากโดนไล่ออก”
“พี่ตาม!”
“หึ แต่ถ้าไม่อยากออกจะลองมาเป็นเมียพี่สักครั้งสองครั้งก็ได้นะ ถ้าทำดีจะให้อยู่ต่อ”
“กูทนไม่ไหวแล้วเว้ย”
ผั๊วะ!
ลลันเหวี่ยงหมัดไปซัดหน้ามันหนึ่งทีจนไอ้หมอนั่นมันเสียการทรงตัวไป แต่ทันทีที่มันหันหน้ามาผมก็เอาปืนจ่อไปที่กลางกบาลมันเสียแล้ว
“มึง!”
แกร่ก!
“อยากตายก็เอาสิ”
“คะ...คุณดล!”
