บท
ตั้งค่า

Episode-07 คนแรก

หลังจากวันนั้นผมก็ห่างเมมาตลอด เจอกันที่โรงงานก็คุยบ้างแค่ทักทายทั่วไปไม่ได้คุยนานเหมือนเมื่อก่อนแล้ว กับเจนก็ยังคุยปกติครับเจอกันบ้างเสร็จแล้วก็แยกย้ายอย่างเช่นทุกครั้ง

“พรุ่งนี้ไปบ้านกูดิ” ไอ้แก้มเอ่ยชวนขึ้น “วันเกิดพ่อกู”

“มึงไม่ชวนพ่อก็ลากกูไปอยู่แล้วแหละ” แต่ไหนแต่ไรท่านเป็นเพื่อนรักกันมานานครับ พ่อเคยเล่าให้ฟังอยู่บ่อย ๆ

“เออ แล้วนี่มึงไปไหนต่อ”

“ไปรับเพียงฝันที่โรงเรียน” เหลือบมองนาฬิกาใกล้ได้เวลาแล้วครับ “งั้นกูไปก่อนนะ”

“เออ ขับรถดี ๆ”

วันนี้เอารถยนต์แม่มา ส่วนของตัวเองยังไม่มีหรอก ไว้ทำงานเก็บเงินได้สักก้อนค่อยออก ความจริงพ่อจะออกให้แล้วแต่ผมอยากทำด้วยตัวเองไง

มาถึงโรงเรียนปกติน้องจะออกมารอผมก่อนแล้วแต่วันนี้ไม่เห็นสงสัยจะมีเรียนเสริมมั้ง

ระหว่างรอก็หยิบมือถือมาเล่นเพื่อค่าเวลา ไถฟีดโซเชียลไปเรื่อยจนสะดุดเข้ากับโพสต์หนึ่งของเจน เรื่องที่ไอ้มิวไหว้วานให้ช่วยผมดันลืมไปสนิทเลย กดถูกใจแล้วแช็ตไปทันทีครับ อยากรู้ก็แค่ถามไม่เห็นยาก

“ถ่ายรูปคู่กับใครเหรอ”

(ทำไมอะ หึงเหรอ) ผมอ่านแต่ไม่ได้ตอบอะไร (พี่ชายเราเอง หน้าเหมือนกันขนาดนี้ยังดูไม่ออกอีก)

ได้คำตอบแบบนั้นก็แคปหน้าจอส่งให้ไอ้มิวทันที

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะกระจกดังขึ้นทำให้ผมละสายตาจากมือถือแล้วปลดล็อกประตูรถให้

“สวัสดีค่ะ” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยทักทายพร้อมยกมือไหว้อย่างเช่นทุกครั้ง แต่วันนี้ต่างออกไปตรงที่มีรอยเล็บบนใบหน้านี่แหละ “หนู...”

“ไว้คุยกันที่บ้าน”

“...”

ทุกครั้งที่มีบาดแผลเกิดขึ้นก็มักจะถูกพ่อบ่นอยู่เสมอ แค่บ่นจริง ๆ ครับน้องอ้อนหน่อยพ่อก็ใจอ่อนแล้ว เว้นแต่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ เขาก็จะมีวิธีจัดการในแบบของเขา

กลับถึงบ้านก็ถูกพ่อบ่นไปตามระเบียบ และแน่นอนว่าเรื่องนี้ผมจะไม่ยุ่ง ...

“เจ็บไหม” เอ่ยถามเมื่อเพียงฝันเดินออกมาจากห้องพ่อ

“ไม่เจ็บค่ะ”

“เจ้าของรอยเล็บนี่เป็นใครกันนะ”

“เฮ้อ... ช่างเถอะ” น้ำเสียงไร้อารมณ์เอ่ยก่อนจะเดินเลี่ยงเข้าห้องตัวเองไป

ทุกคนอาจจะมองว่าเพียงฝันน่ารักยิ้มเก่งช่างพูดช่างเจรจาซึ่งมันเป็นแบบนั้นจริงครับ แต่ยกเว้นเวลาโกรธ

เช้าวันใหม่

วันนี้เป็นวันหยุดและเย็นนี้ก็ต้องไปบ้านลุงกายด้วย ระหว่างวันผมไม่ได้ออกไปไหนเลยก็อยู่ช่วยพ่อนั่นแหละ ส่วนแม่ออกไปเจรจากับลูกความ

“วันนี้ไปด้วยกันหรือเปล่า”

“ไปครับ”

“ตอบเร็วดีนะ ไม่ลังเลแล้วเหรอ”

“ลังเลอะไรพ่อคิดไปเอง”

“งั้นเหรอ แบบนี้ก็ดี” ไม่รู้ว่าที่พ่อพูดหมายถึงอะไร ถ้าเป็นเรื่องเอิงเอยผมเฉย ๆ นานแล้ว

ช่วงเย็นผมออกมากับพ่อแค่สองคน ส่วนเพียงฝันไม่มาสงสัยยังจัดการอารมณ์ตัวเองไม่ได้แม่เลยต้องอยู่เป็นเพื่อนแม้ว่าเจ้าตัวจะยืนกรานหนักแน่นว่าอยู่คนเดียวได้ก็ตาม

“ผมไปหาเพื่อนนะ”

“อืม”

พ่อแยกไปนั่งกับเพื่อนเขา ผมก็แยกมานั่งกับเพื่อนตัวเองเช่นกัน

“อ้าวแล้วน้องเพียงล่ะ” จุ้นห่าวเอ่ย

“อยู่บ้านกับแม่ อ่อ! น้องกูชื่อเพียงฝันครับน้องเพียงที่มึงเรียกนั่นแม่กู” เป็นชื่อที่พ่อใช้เรียกบ่อย ๆ อาจเป็นเพราะมีคำว่าเพียงเหมือนกันล่ะมั้ง

“ฮ่า ๆ โทษทีก็มันติดปาก”

แค่เพียงไม่นานไอ้มิวกับเสียงเพลงก็มา รวมไปถึงครอบครัวของเอิงเอยก็ด้วย แน่นอนว่าเธอเองก็ต้องมานั่งรวมกับพวกเราอยู่แล้วเพราะว่ามันเป็นงานภายในครับ มีแค่โต๊ะผู้ใหญ่แล้วก็พวกเราเท่านั้นเอง

“บรรยากาศตึงเครียดแฮะ” ไอ้เคมีพูดขึ้นลอย ๆ

“พี่ ๆ สวัสดีครับ” เอ้ น้องชายของเธอเอ่ยทักทายพวกเราก่อนจะนั่งลงตรงที่ว่างข้างผม “เพียงฝันเป็นยังไงบ้างพี่ ไม่ใช่สิ! คู่กรณีมันต่างหากบ้านพี่ไปเยี่ยมเขาหรือยัง” ได้ยินแบบนั้นถึงกับต้องวางแก้วแล้วหันไปถามด้วยน้ำเสียงจริงจังแทน

“พี่ยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้นสายปลายเหตุมันยังไงนะ แต่ปกติฝันมันไม่ค่อยวุ่นวายกับใครหรอกแต่ทีนี้เสือกฟิวส์ขาดใส่ไม่ยั้งเลยแถมเปิดก่อนด้วย ที่สำคัญหน้าเสาธงตอนเข้าแถวเลยครับ”

“สุดยอด!”

“ไอ้จุ้น!”

“อะไรของมึงเกิดเป็นคนมันก็ต้องสู้ดิวะ เล่าต่อไอ้น้อง”

“ตัวเล็กแค่นั้นแต่เหวี่ยงกระเด็นเลยแรงโคตรเยอะ คนนั้นน่ะหัวแตกเลยนะพี่ ไอ้ฝันแม่งตามซ้ำไม่ยอมจบเลยจนเขายกมือไหว้อะ” ผมบอกแล้วว่าเพียงฝันไม่ยอมใครง่าย ๆ หรอก ถ้าตัวเองเจ็บคนที่ทำก็ต้องเจ็บกว่า “แล้วนี่ถูกเชิญผู้ปกครองด้วยนะ ไม่รู้ว่าจะถูกพักการเรียนหรือเปล่า”

“พักก็พักดิ อยู่บ้านชิว ๆ สบายจะตาย”

“ไอ้จุ้น!” ผมว่าผมเจอแล้วล่ะกำลังสนับสนุนของน้องผมเนี่ย

“มึงก็ไม่ต่างหรอกครับคุณกำปั้น วิ่งไล่กันตรงป้ายรถเมล์กูยังจำได้อยู่เลย”

“พอ! ไม่ต้องพูด”

“ฮ่า ๆ”

จากเรื่องซีเรียสกลายเป็นเรื่องฮา ๆ ไปซะงั้น แต่เรื่องของน้องช่างมันก่อนครับ ตอนนี้วนมาที่เรื่องของผมดีกว่า

“มึงดู” ไอ้มิวกระซิบบอกก่อนจะยื่นมือถือมาตรงหน้าผม “มันกลับมาง้อน้องกู ไอ้เหี้ยนี่ต้องมีแผนแน่เลย”

“แล้วน้องมึงว่าไงล่ะ” เอ่ยถามพลางเหลือบสายตาไปทางเสียงเพลงที่กำลังตั้งใจกินขนมอยู่ “ก็ดูสดใสขึ้นเยอะแล้วนี่”

“กูหวังว่าจะไม่พาตัวเองกลับไปเจ็บอีกครั้งนะ”

“กระซิบอะไรกันวะ” ไอ้แก้มแทรกขึ้นเมื่อเห็นผมกับไอ้มิวคุยกันแค่สองคน

“ไม่บอกอย่าหลอกถาม”

“อย่างมึงสองคนคงไม่พ้นเรื่องผู้หญิงหรอก”

“รู้แล้วจะถามอีกนะ”

“เบาได้เบาเพื่อน ไม่ได้เป็นห่วงแต่เป็นเหี้ยไรหลอกกินเขาไปเรื่อยเลย”

“โสดจะทำอะไรก็ได้”

“จ้า... พ่อคนหล่อ!”

ระหว่างนี้เราก็ดื่มกินกันตามปกติจนกระทั่งไอ้มิวลุกออกไปคุยโทรศัพท์ด้านนอกแล้วฝากให้ผมดูแลเสียงเพลงที่ตอนนี้เอาแต่เงียบ ไม่ใช่สิ เงียบตั้งแต่มาแล้วต่างหาก

“เป็นอะไร” ว่าจะไม่ถามแล้วเชียวแต่ปากเสือกไวอีก

“ไม่รู้สิคะ หนูไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไง”

“...”

เมื่อเห็นผมเงียบเธอจึงยื่นมือถือของตัวเองมาให้ผมดูครับ ก็เป็นแช็ตอันเดียวกันกับที่ไอ้มิวเปิดให้ดูนั่นแหละ

“ถ้ายังรู้สึกก็แค่กลับไป”

“รู้สึกค่ะ แต่ไม่อยากกลับ”

“รู้สึกมากน้อยแค่ไหน”

“ก็ประมาณหนึ่ง หนู...” คำพูดขาดหายไปพร้อมกับการสั่นไหวของมือถือที่มีสายเรียกเข้าอยู่ในตอนนี้ เธอจ้องมองอยู่แบบนั้นแล้วปล่อยให้สายมันตัดไปเอง

“ไม่รับ ?”

“ไม่ดีกว่าค่ะ หนูกลัวตัวเองจะใจอ่อนอีก” ใช้คำว่าใจอ่อนอีกแปลว่ายอมกลับไปหลายครั้งแล้วสินะ

“ไม่หรอก นี่ก็เก่งขึ้นเยอะแล้ว อย่างน้อยวันนี้ก็เลือกที่จะไม่รับสายเหมือนที่ผ่านมาได้แล้วไม่ใช่เหรอ”

“จริงด้วย ครั้งแรกเลยนะที่หนูปฏิเสธการโทรของเขา” แววตาเปล่งประกายขึ้นมาเชียวครับ “แถมยังไม่รู้สึกดีใจที่เขาโทรมาอีกต่างหาก”

“เก่ง” ผมว่ายิ้ม ๆ ก่อนจะมองดูคนตรงหน้าที่ตอนนี้กำลังกดบล็อกเบอร์นั้นรวมไปถึงกดบล็อกช่องทางในโซเชียลก็ด้วย “ไม่มีประโยชน์หรอกเดี๋ยวเขาก็หาทางจนได้”

“ไม่หรอกค่ะ เขาไม่มีความพยายามขนาดนั้น แต่ถ้าโทรมาอีกก็บล็อกอีกเราต่างคนต่างห่างหายเดี๋ยวเขาคงเลิกสนใจไปเอง” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยอย่างไม่คิดอะไรก่อนจะหยิบของกินใส่ปาก “อันนี้อร่อยพี่กินไหมคะ ?”

“...”

ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ กวาดสายตาไปรอบบริเวณทุกคนเอาแต่จดจ้องมาทางผมจนรู้สึกทำตัวไม่ถูก

“อะไรของพวกมึง”

“เปล๊า! อันนี้อร่อยใช่ไหมไอ้เค” ไอ้แก้มครับ ยังมีหน้ามาอมยิ้มอีก

“เออ อันนี้ก็อร่อย ใช่ไหมไอ้จุ้น”

“เออ” ถึงกับส่ายหน้าให้ครับ เรื่องกวนประสาทต้องยกให้เขาล่ะ

“หนูรู้ว่าเพียงฝันมีเรื่องกับใคร” เสียงกระซิบแผ่วเบาเอ่ยพร้อมกับโน้มใบหน้ามาใกล้ผม “คือว่า...”

“ฝึกงานเป็นยังไงบ้าง โอเคไหม” เอิงเอยพูดแทรกขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน “เห็นลุงเก้าบอกว่านายกลับสองทุ่มแทบทุกวันเลย” ทุกประโยคถูกเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มแล้วมันก็ทำให้ผมตกเป็นจุดสนใจอีกครั้ง จะมีก็แต่เสียงเพลงที่ไม่สนใจอะไรเอาแต่กินนั่นกินนี่อย่างเอร็ดอร่อย

“ก็ดี”

“อ่อ... แล้วตอนนี้คบกับใครอยู่เหรอ มีแฟนใหม่หรือยัง”

“ถามทำไม”

“ขอคุย...”

“พี่คะอันนี้ก็อร่อยค่ะ” คนที่เอาแต่สนใจของกินพูดแทรกขึ้นพร้อมกับตักเค้กน่าตาน่ารักวางลงในจานผมกับไอ้มิว “พี่มิวชอบกินช็อกโกแลต แล้วพี่ล่ะคะ”

“ปั้นไม่ค่อยกินของพวกนี้หรอกแต่ถ้าเป็นเพียงฝันนะชอบมาก” คำตอบถูกเอ่ยออกมาจากปากของเอิงเอยแต่ถึงอย่างนั้นเด็กห่วงของกินก็ไม่สนใจอยู่ดี

“ทำไมล่ะคะ อร่อยนะหนูชอบมาก” ปากพูดกับผมแต่ก็ยังคงวุ่นวายอยู่กับของกินครับ “แล้วพี่ไม่ชอบอะไรอีกคะ พี่มิวไม่ชอบผักค่ะ”

“...”

“ว่ายังไงคะ พี่ไม่ชอบอะไร ส่วนหนูไม่ชอบขิง” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วยังคงถามไปตามประสา และคำถามนี้ก็ไม่มีใครตอบได้ครับนอกจากตัวผมเอง เพราะไม่เคยมีใครถามว่าผมไม่ชอบอะไรเสียงเพลงคือคนแรก

“ขนม ลูกอม ของหวานครับ”

“ทำไมล่ะคะ”

“ตอนเด็กพี่กินจนเบื่อแล้วเพราะเพียงฝันยัดเยียดให้แทบทุกเวลา”

“ฮ่า ๆ ทำไมวะ” ไอ้จุ้นห่าวถามขึ้นมาบ้าง “ขนมนี่ของชอบตั้งแต่เด็กเลยนะเว้ย”

“จะทำไมล่ะ ซื้อมาเยอะไม่พอแกะทุกห่ออีกต่างหากแล้วพ่อยื่นคำขาดไว้ถ้ากินไม่หมดจะตี กูก็เสือกเป็นพี่ที่รักน้องอีกกลัวน้องโดนตีจะแอบเอาไปซ่อนก็ไม่ได้ เอาไปทิ้งยิ่งหนักเลย ก็นั่นแหละตามนั้น” ตอนเด็ก ๆ เพียงฝันเอาแต่ใจครับ อยากได้อะไรก็ต้องได้ พ่อก็ไม่ขัดนะแต่มีข้อแม้ว่าต้องกินให้หมด ขู่ไปแบบนั้นแหละเคยตีซะที่ไหน

... : ฮ่า ๆ

“เป็นอย่างนี้นี่เองถึงว่าสิเวลาเราทำขนมทำไมปั้นถึงไม่ค่อยกิน ตอนแรกก็คิดว่าไม่อร่อย ที่ไหนได้ไม่ชอบนี่เอง”

“อ้าว... พี่เพิ่งรู้เหรอคะ”

“...” ถึงกับไปไม่เป็นครับเมื่อถูกตั้งคำถามแบบนั้น

ก็บอกแล้วว่าไม่มีใครรู้เพราะไม่เคยมีใครถาม เสียงเพลงคือคนแรก

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel