บทที่ 9 ‘เหตุผลที่ต้องดูแล’
[ Timethai part ]
“ไอ้ทามมึงดูที่เขาลงรูปมึงในเพจหรือยัง”
“เพจอะไรแล้วรูปอะไร”
หลังจากที่ผมกลับมาที่คณะแล้ว ผมก็มานั่งรวมกลุ่มกับพวกเพื่อนๆที่นั่งอยู่ในห้องสโมสรซึ่งเป็นที่ประชุมของพวกผม
ถามว่าแล้วพวกผมไม่มีเรียนเช้าเหรอ...ภาคเช้าไม่มีเรียนครับ ว่าง แต่ที่มาก็เพราะต้องมาคุยมาวางแผนเรื่องเข้าพบน้องปีหนึ่งตอนเย็น เพราะเดี๋ยวบ่ายโมงพวกผมมีเรียนหนึ่งตัวเดี๋ยวจะไม่ทันได้คุยกัน
แต่เมื่อกี้ไอ้แปลนมันพูดถึงเรื่องอะไรนะ เพจกับรูปใช่ไหมวะ คราวนี้เพจอะไรของมันอีก ผมแม่งโคตรจะเบื่อเวลาที่มันเอาเรื่องข่าวในเพจมาเล่าให้ผมฟัง เพราะมันโคตรจะไร้สาระเลย
ใช่ครับ ผมได้ยินเรื่องเพจพวกนี้จนชินหูไปแล้วเพราะแม่งชอบเอาเรื่องผมไปเขียน
“ก็เพจรวมคนหล่อไง เขาเอารูปมึงที่ไปกินหมูกระทะกับพวกกูเมื่อคืนแล้วก็รูปมึงที่ไปส่งเมียมึงที่คณะเมื่อกี้มาลง เพจนี้แม่งน่ากลัวฉิบหายเร็วยิ่งกว่าเครื่องบินตกสะอีก...”
“...แต่ประเด็นอะ มึงรู้ไหมว่าลูกเพจที่เข้ามาดูอะเขาโฟกัสกันที่ตรงไหน”
“...” ผมเงียบไม่ตอบอะไรนอกจากฟังอย่างเดียว เพราะรอบนี้มันไม่เหมือนทุกครั้งที่ผมได้ยินมาไง ไอ้แปลนมันบอกว่าเพจเอารูปที่ผมพาน้ำพิ้งค์ไปกินหมูกระทะเมื่อคืนกับไปส่งเธอที่คณะเมื่อกี้มาลง
แม่ง...นี่มันยิ่งกว่าชีวิตของดาราสักอีก
“เขาโฟกัสกันที่รูปเมียมึงเว้ย... อันดับแรกเลยเดี๋ยวกูอ่านหัวข้อข่าวให้ฟังก่อน...”
ทันทีที่ผมได้ยินว่ามันบอกว่าคนโฟกัสกันที่น้ำพิ้งค์ ผมก็ค่อยๆเอนหลังพิงเก้าอี้ตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ตอนนี้ทันที ซึ่งในโต๊ะตอนนี้ก็มีไอ้ตฤณ ไอ้เธียรแล้วก็ไอ้โยธาที่รอฟังร่วมกับผมด้วย จากที่กำลังขีดเขียนอยู่ในกระดาษเมื่อกี้ตอนนี้ทุกคนวางปากกาลงหมดแล้วยกเว้นผมคนเดียวที่ยกเอาขึ้นมาหมุนเล่นในมือระหว่างรอไอ้แปลนอ่าน
“อะฮึ่ม!” ไอ้นี่แม่งก็ลีลาเยอะจังวะ
“จะอ่านแล้วนะ” มันหันมาบอกผมพร้อมกับรอยยิ้มน่ารำคาญของมัน
ตุบ! “เอ่อ! อ่านสักทีเถอะไอ้สัส” ผมเลยจัดการถีบเก้าอี้ที่มันนั่งอยู่อย่างรำคาญทันทีที่แม่งลีลาฉิบหาย
“เออๆ จะอ่านแล้วเนี่ย...หนุ่มหล่อฮอตประรอทแตกดีกรีเฮดว้ากแห่งคณะวิศวะผู้ที่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับสีกานางใดมาก่อนตั้งแต่ที่เจ้ตามมา...”
“...บัดนี้ฮีได้แอบมีหวานใจแล้วนะคะทุกคน เพราะมีคนตาดีไปเห็นฮีพาแฟนเข้าร้านหมูกระทะมาจ้า แต่ๆ ไม่พอแค่นั้นหวานใจที่ว่าก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนั้นก็คือสาวน้อยหน้าหวานดีกรีเด็กแพทย์ปีหนึ่งนั้นเองคร้า เพราะเมื่อเช้าฮีไปส่งแฟนที่คณะมาและจากการที่เราได้เปรียบเทียบรูปร่างทรวดทรงของฝ่ายหญิงแล้วนั้น...ก็คือคนเดียวกันเป๊ะจ้า~ เป็นไงละคะโสดหล่อมาตลอดอยู่ดี ๆก็เปิดเผยให้ชาวเราอกหักดังเป๊าะพร้อมกับซับน้ำตาวนไปเลยจร้า มา! เรามาสรรเสริญเพลงยินดีกับเขากันหน่อยค่ะ!”
“...”
“...จบแล้วเหรอว่ะไอ้แปลนกูก็นึกว่ามึงจะร้องเพลงให้ฟังด้วยแล้วหัวข้อข่าวอะไรของมึงวะยาวฉิบหาย”
ไอ้ตฤณเป็นคนพูดออกมาหลังจากที่ไอ้แปลนมันอ่านจบทุกคนก็นั่งเงียบเพราะคิดว่ามันจะร้องเพลงด้วย แต่เปล่ามันไม่ร้อง
“ไม่ร้องเว้ยร้องไม่เป็น... แต่เออกูก็งงเหมือนกันหัวข้อข่าวหรือเนื้อข่าวกันวะยาวฉิบหายแต่ช่างแม่งเถอะ...” ไอ้แปลนพูดกับไอ้ตฤณจบมันก็พยักหน้ามาทางผมที่นั่งอยู่หัวโต๊ะแทน
“...ไงมึงไอ้ทามเป็นข่าวทำสาวๆที่ชอบมึงอกหักไปเลยนะสัส แล้วมึงดูคอมเมนท์กับสติ๊กเกอร์ที่ส่งมาแต่ละอัน โดดให้รถชนได้กูว่าแม่งโดดวะ”
“เออจริงของมึงไอ้แปลน ป่านนี้กูว่าร้องไห้อยู่ในห้องเรียนแล้วมั้ง”
ไอ้ตฤณตอบโต้กันไปมากับไอ้แปลนพร้อมกับเลื่อนดูข่าวในโทรศัพท์ไปด้วย ผมก็เลยหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมาดูตามพวกมัน
และผมก็ต้องบอกเลยว่า ผมไม่โกรธที่เพจรายนี้มันทำข่าวของผมกับน้ำพิ้งค์ออกมา เพราะผมคิดว่ามันเป็นดาบสองคมที่มีทั้งดีและร้ายในเวลาเดียวกัน
เรื่องดี ๆ ก็คือ...
“ให้คนเข้าใจว่ายัยนั้นเป็นแฟนกูนั่นแหละดีแล้วจะได้ไม่มีใครเข้ามายุ่ง”
ใช่ครับ นี่คือเรื่องดีที่ผมไม่โกรธโมโหหรืออะไรทั้งสิ้นเพราะผมก็จะได้ไม่ต้องไปกันท่าน้ำพิ้งค์ที่ทำท่าจะพุ่งไปหาผู้ชายอื่นทุกคน
ครับ ผมไม่ห่วงคนอื่นจะมาจีบยัยนั้นหรอกผมห่วงยัยนั้นจะไปสร้างเรื่องจีบคนอื่นก่อนสะมากกว่าอย่างเช่นที่เธอบอกว่าปลื้มไอ้ภีมไง
ปลื้มบ้าอะไรดูก็รู้ว่ายัยนั้นคิดจะเต๊าะไอ้ภีม
“ยังไงวะ?” ไอ้แปลนถามผมด้วยความสงสัยส่วนคนอื่น ๆจากที่นั่งพิงเฉยๆตอนนี้พวกแม่งก็เริ่มขยับตัวขึ้นมาจากเก้าอี้แล้วจับจ้องมาที่ผมด้วยความอยากรู้เหมือนกันรวมถึงไอ้เธียรด้วย
เพราะ...
“ก็ที่กูแต่งงานกับยัยนั้นอะก็เพราะโดนแม่กูบังคับให้ช่วยดูแลยัยนั้นระหว่างที่เรียนที่นี่ แต่ดูแลอย่างเดียวไม่ได้ไง แม่กูอยากให้แต่งงานไปเลยกูเลยต้องแต่ง”
“เดี๋ยวนะปกติไม่มีใครบังคับมึงได้นะไอ้ทามเพราะมึงมันจอมดื้อและจอมขวางโลก ยิ่งเรื่องนี้แล้วกูว่ายิ่งเป็นไปไม่ได้นอกจากมึงจะสมยอมเอง หรือว่าก่อนจะโดนจับแต่งงานมึงคิดอะไรกับเมียมึงมาแล้ว มึงชอบเมียมึงอยู่ก่อนแล้วใช่ไหม มึงตอบกูมาไอ้ทาม”
ผลัวะ!
“คิดห่าอะไรของมึงละกูไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นแหละ”
ไอ้สัสแปลน ไอ้ห่านี้นี่แม่งชอบทำเป็นรู้ดีตลอด ผมจะชอบยัยนั้นได้ไง ในเมื่อเราไม่ค่อยได้เจอกันเลยตั้งแต่โตมา ความรู้สึกรักอะไรผมก็ไม่เห็นจะรู้สึกเลย เฉยๆ ชาๆ สะมากกว่า
ขนาดจูบเมื่อคืนยังรู้สึกเฉยๆเลย
“เอ๋ยจริงปะเนี่ย มึงไม่ได้คิดอะไรกับเมียมึงจริงเหรอวะ”
“ก็เออสิวะ”
“มึงแม่งมีพิรุธตั้งแต่กระแทกเสียงบอกว่าน้ำพิ้งค์เป็นเมียมึงเมื่อคืนแล้วนะไอ้ทาม มึงอย่ามากลบเกลื่อนผู้ชายด้วยกันอะแม่งดูกันออก ชอบก็บอกอย่าทำเป็นปากแข็งไอ้สัสมันไม่เท่”
ผมจะปากแข็งทำไมวะใจผมผมรู้ดี ถึงตอนเด็ก ๆจะชอบดูแลยัยนั้นทะนุถนอมยัยนั้นแต่นั้นมันก็ตอนวัยเด็กไม่ใช่ตอนนี้
อีกอย่างคุณดูตอนนี้ก่อนยัยนั้นแสบซ่ากับผมขนาดไหน ขนาดรู้ว่าผมดุยังกล้ากัดคอผมขนาดนี้เลย
เอาละกลับมาที่ข้อที่สองข้อเสียของเรื่องนี้กันต่อดีกว่าไร้สาระกับไอ้แปลนมาเยอะละ
ก็คือ...
ผมกลัวว่ายัยนั้นจะเป็นอันตรายเพราะพวกผู้หญิงที่ชอบบอกว่าตัวเองเป็นแฟนคลับผม กลัวพวกเธอเหล่านั้นจะมารังแกยัยนั้นเอา ผมก็ไม่ได้อยากจะเป็นจุดศูนย์รวมของใครหรอกนะ แต่แม่งห้ามกันไม่ได้ไง ผมเลยค่อนข้างจะกังวลใจกับเรื่องนี้อยู่เล็กน้อย
“แล้วมึงรู้จักกับเมียมึงตั้งแต่เด็กเลยเหรอวะไอ้ทาม” ไอ้โยที่นั่งเงียบมานานเอ่ยถามผม
“ก็ตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ยัยนั้นอยู่ในท้องเพราะแม่กูกับแม่ยัยนั้นเป็นเพื่อนกัน กูที่เกิดก่อนก็เลยติดสอยห้อยตามไปด้วยตลอด” ใช่ ก็ตอนนั้นถ้าผมจำไม่ผิดก็เดินเตาะแตะตามแม่ไปโรงพยาบาลเพื่อพาแม่ของน้ำพิ้งค์ไปหาหมอตลอด
และแม่ผมก็ยังกรอกหูผมตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้อีกด้วยว่าผมต้องเป็นคนดูแลน้ำพิ้งค์ ก็ไม่คิดว่าผมจะต้องดูแลยัยนี้จริง ๆ แถมยังมาในรูปแบบเมียอีก
ผมก็ไม่ได้เชื่อว่ามันเป็นพรหมลิขิตหรอกนะ...แต่ผมเชื่อว่าเป็นกรรมมากกว่า คู่เวรคู่กรรมอะ ดูจากเมื่อคืนได้เลยกัดแขนผมจนเลือดซิบออกมา
“เรื่องมึงแม่งมีสตอรี่วะ ฟังๆแล้วก็โรแมนติกเหมือนกันนะเว้ย รู้จักกันตั้งแต่เด็กแล้วอยู่ดี ๆ แม่งก็เสือกได้มาเป็นผัวเมียกัน ที่สำคัญเมียมึงโคตรน่ารักสัส ๆ อะไอ้ทาม”
ผลัวะ!
“โอ๊ย! มึงตบหัวกูอีกทำไมเนี่ยไอ้ทาม” ไอ้แปลนที่กำลังยิ้มตอนชมน้ำพิ้งค์น่ารักถึงกับหุบยิ้มทำหน้างึกใส่ผมทันทีที่ผมตบหัวมันเป็นรอบที่สอง ก็แม่งมาอยู่ใกล้มือใกล้ตีนผมเอง
...ช่วยไม่ได้...
“หึ ก็มึงไปชมเมียมันน่ารักทำไมละไอ้แปลน” ไอ้โยยิ้มมุมปากเบาๆก่อนจะว่าไอ้แปลน
“เอ้าก็น้องมันน่ารักจริงนี่หว่า นี่ถ้าเมื่อคืนไอ้ทามไม่เปิดตัวว่าเป็นผัวน้องนะกูจีบไปแล้วเว้ย”
ตุบ!
“อั๊ก! ซี้ด เตะหน้าแข้งกูทำไมไอ้เหี้ยแม่งเจ็บ”
“ถ้ามึงไม่อยากโดนมันเอาเก้าอี้ฟาดหน้ามึงก็ควรหุบปากแล้วทำงานของมึงไปไอ้แปลน” อันนี้เสียงไอ้ตฤณที่เอ่ยออกมาเมื่อเห็นไอ้แปลนมันโดนผมเตะหน้าแข้งใต้โต๊ะแล้วร้องซี้ดซาดด้วยใบหน้าเหยเกของมัน
แล้วถามว่าผมสนใจความเจ็บปวดของมันไหม...ไม่เว้ย! แล้วก็อย่าตามหาเหตุผลที่มันสมควรโดนด้วยเพราะผมไม่มีเหตุผล ผมแค่หมั่นไส้ปากมันเฉยๆ พูดอยู่ได้น่ารำคาญ
#12.00น.
“วันนี้แดกอะไรดีวะ กูแม่งเบื่อกับข้าวแล้ววะ” ไอ้แปลนถามไอ้ตฤณทันทีที่มาถึงโต๊ะในโรงอาหาร
“กูกินก๋วยเตี๋ยวไก่”
“งั้นกูเอาเย็นตาโฟดีกว่า สีชมพูน่ารักๆ”
“มึงแม่งไม่เหมาะกับคำว่าน่ารักสักนิดไอ้แปลน...แล้วมึงอะไอ้เธียรนั่งเงียบนึกออกยังว่าจะแดกไร”
“กูแดกข้าวมันไก่ละกัน”
“มึงอะไอ้โย”
“กูเอาข้าวผัดวะ เบื่อกับข้าวเหมือนกัน”
“เค...แล้วมึงอะไอ้ทามกูเห็นนั่งกดโทรศัพท์ตั้งนานแล้วนะตั้งแต่เดินออกมาจากห้องสโมจนมานั่งที่โรงอาหารแล้วเนี่ยมึงยังไม่หยุดกดเลย คุยกับใครนักหนาวะ”
“แป๊บหนึ่งกูฝากสั่งข้าวให้น้ำพิ้งค์ด้วย”
“บ้ะ! ไอ้นี่นี่กูก็นึกว่าคุยกับใคร แล้วเอาข้าวไรอะ”
“ข้าวผัดอเมริกันสองจานกับข้าวผัดหมูสองจาน”
“เค สั่งสามจานแบบนี้แสดงว่ามีเพื่อนมาด้วย งั้นมึงไอ้โยเคลียร์พื้นที่ให้สาวๆด้วย”
ไอ้ตฤณรับออเดอร์เสร็จมันก็พยักหน้าสั่งไอ้โยธาให้จัดที่ให้น้ำพิ้งค์กับเพื่อนๆด้วย ส่วนมันก็เดินไปสั่งข้าวให้พวกผม วันนี้ถึงคิวมันเป็นคนรับออเดอร์มันก็เลยต้องเป็นคนเดินไปสั่ง เสือกอยากทานข้าวตามสั่งเอง
น้ำพิ้งค์: (ไลน์)
ทามไท: สั่งข้าวให้แล้วนะ รีบเดินมาละกันเดี๋ยวข้าวจะเย็นเอา
น้ำพิ้งค์: ค่ะ แล้วสั่งให้เพื่อนพิ้งค์ด้วยแล้วใช่ไหม
ทามไท: อืม
น้ำพิ้งค์: โอเค
[ Timethai end part ]
“ไอ้ทาม นู้นเมียมึงเดินมานู้นแล้ว” ทามไทที่กำลังก้มหน้าเล่นเกมในโทรศัพท์เงยหน้าขึ้นมาทันทีเมื่อแปลนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเรียกให้ดู ซึ่งพอดีกับสาวๆทั้งสามคนเดินมาถึงโต๊ะพอดี ทามไทที่มองตลอดสายตาก็เลยพยักหน้านิ่งๆให้น้ำพิ้งค์นั่งลงโต๊ะเดียวกับตน
“นั่งลงสิ”
“ทานข้าวร่วมโต๊ะกับพี่เหรอ?”
“อืม วันนี้คนเยอะโต๊ะเต็ม” ทันทีที่ได้ยินว่าโต๊ะเต็มน้ำพิ้งค์ก็ปรายตามองไปรอบ ๆโรงอาหารทันที ซึ่งภาพที่เห็นก็คือโต๊ะเต็มอย่างที่ทามไทว่าจริง ๆ เธอก็เลยนั่งลงตรงข้ามกับทามไทไปโดยปริยาย
ตามด้วยสวยที่นั่งตรงข้ามกับเธียรแล้วก็พริกไทยที่ยิ้มมีความสุขเมื่อได้นั่งตรงข้ามกับโยธาและไม่นานอาหารที่สั่งไปก่อนหน้านี้ก็ถูกมาเสิร์ฟพร้อมกับร่างสูงโปร่งของตฤณที่เดินกลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง
“อะ ใครสั่งอะไรพวกมึงก็จัดส่งเองละกัน” ทุกคนดูอาหารที่ตัวเองสั่งเมื่อพนักงานเสิร์ฟลงบนโต๊ะให้เลือก ซึ่งทามไทที่เป็นคนนั่งข้างหน้าสุดก็เลยเป็นคนแจกจ่ายให้แทน
“ข้าวผัดอเมริกันของเธอ” ทามไทดันจานข้าวผัดที่น้ำพิ้งค์สั่งให้แล้วนั่งมองคนตรงหน้าสักพักก่อนจะหันมาตักข้าวจานตัวเองเข้าปาก แต่ อยู่ ๆ เขาก็หยุดทานแล้วมองที่จานข้าวของน้ำพิ้งค์...
“ทำไมไม่ทานผัก”
“ไม่เอาอะพิ้งค์ไม่ชอบผัก”
“วันหลังถ้าไม่ทานก็บอกดิจะได้สั่งแบบไม่ใส่ผักให้”
“พิ้งค์ลืมอะ” น้ำพิ้งค์ตอบขณะที่เขี่ยผักไปไว้ที่ขอบจานเสร็จพอดี แต่สิ่งที่เธอไม่คาดคิดว่าคนตรงหน้าจะทำอย่างการตักเอาผักในจานเธอไปกินแทนก็เกิดขึ้น ทำเอาน้ำพิ้งค์ชะงักเลิ่กลั่กเล็กน้อยที่คนตรงหน้าทำแบบนั้นก่อนจะเอ่ยถามเบาๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคนออกไป...
“พี่ทำบ้าอะไรเนี้ย”
“ก็เธอไม่กินฉันกินเอง”
“แต่นั้นมันผักในจานพิ้งค์นะ”
“จะอะไรนักหนาแค่ผักเมื่อคืนยัง...”
“จึ๊ หยุดเลยนะถ้าไม่อยากโดนอีกแผล” น้ำพิ้งค์กัดฟันพูดออกไปเบาๆพร้อมชี้หน้าห้ามคนตรงหน้าทันทีที่รู้ว่ากำลังจะพูดถึงเรื่องเมื่อคืนให้คนอื่น ๆได้ยิน ก่อนจะหันไปทานข้าวในจานตัวเองต่อ...
“...” ซึ่งในขณะเดียวกันสวยที่เป็นคนไม่ชอบทานผักเช่นเดียวกันก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเมื่อเห็นผักที่อยู่ในจานข้าวตัวเองมากกว่าเนื้อหมูสะอีก ทำเอาเธอไม่รู้จะจัดการกับจานข้าวตัวเองยังไงดี
แต่จู่ ๆช้อนส้อมของคนตรงหน้าก็ยื่นเข้ามาในจานของเธอแล้วเก็บพวกผักต่าง ๆ ไปไว้ในจานของตัวเองแทน
ใช่ เธียรที่นั่งเงียบและคอยสังเกตพฤติกรรมของสวยเขาดูออกว่าเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าไม่ชอบผัก แต่ก็ไม่จัดการอะไรนอกจากนั่งอึกอักเหมือนคนทำอะไรไม่ถูกอย่างเดียว
ด้วยความรำคาญลูกตาเขาก็เลยอาสาเก็บผักในจานเธอมาไว้ในจานของตัวเองแทน
“ถ้าไม่กินผักเธอก็ควรจะบอกตั้งแต่แรก”
ฟึบ!
“คะ?” สวยเงยหน้าขึ้นพร้อมเครื่องหมายตั้งคำถามบนหัว เธอไม่กล้าสบตาผู้ชายตรงหน้าตั้งแต่ที่ได้นั่งหันหน้าเข้าหากันแล้ว เพราะบุคลิกที่เงียบขรึมของชายหนุ่มทำเธอกลัว แต่พอเขาช่วยตักผักออกไปจากจานเธอ เธอก็ยิ่งไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปสบตามากกว่าเดิมเพราะอะไรหลายๆอย่าง แต่มาตอนนี้เธอดันเผลอเงยหน้าขึ้นไปสบตากับสายตาคมดุตรงหน้าสะงั้น
“จะเป็นหมอแต่ไม่กินผักแล้วแบบนี้จะไปแนะนำคนไข้ได้ไง”
นับเป็นประโยคที่ยาวที่สุดตั้งแต่คนบุคลิกเงียบขรึมอย่างเธียรพูดแล้วละมั้ง เพราะนอกจากสวยจะไม่เข้าใจแล้วก็ยังทำให้คนอื่น ๆ ที่ทานข้าวอยู่อึ้งไปด้วยที่เขาพูดออกมา
“เธอควรบอกตั้งแต่เนิ่น ๆถ้าไม่กินผักแม่ค้าจะได้ไม่ใส่”
“ไอ้ตฤณ”
“เออกูรู้แล้วมึงไม่ต้องพูดดูเฉยๆ” ตฤณกับแปลนที่นั่งใกล้กันหันไปกระซิบกระซาบกันสองคนเมื่อเห็นความผิดปกติของเพื่อนที่ไม่ค่อยได้พูดเป็นประโยคยาวๆออกมาถ้าไม่จำเป็น แต่ตอนนี้เพื่อนดันพูดกับสาวสวยตรงหน้าสะงั้น
“กูว่าได้กลิ่นวะ” ใบหน้าของแปลนที่อยู่ใกล้กับใบหน้าของตฤณทำเอาตฤณหวั่นใจกลัวจะผิดผีกันก็เลยพูดออกมา แต่แปลนกับไม่รู้ตัวและคิดว่าเพื่อนพูดเรื่องที่คุยกันไว้
“กลิ่นอะไรวะ” แปลนถามตฤณขณะที่สายตายังมองไปที่คู่ของเพื่อน
“กลิ่นปากมึงนั่นแหละไอ้แปลน ขยับไปกินเย็นตาโฟมึงให้เสร็จไป แม่งขยับชิดกูเกือบจะสิงร่างกูอยู่แล้วไอ้สัส”
“โธ่ไอ้เวรกูก็นึกว่าอะไร นั่งตักมึงกูก็เคยนั่งมาแล้วขยับหน้าเข้าใกล้แค่นี้ไม่ได้?”
“ไม่ได้เว้ย” ตฤณพูดเสียงดังใส่แปลนก่อนจะกลับมาทานก๋วยเตี๋ยวไก่ในถ้วยตัวเองต่อ แปลนก็เลยเบะปากอย่างมีจริตกลับไปก่อนจะหันไปตักเส้นเย็นตาโฟในถ้วยตัวเองเข้าปากบ้าง
...หลายนาทีผ่านไป...
“อยากทานอะไรอีกไหม”
“พิ้งค์ขอผลไม้ พวกแกเอาอะไร” น้ำพิ้งค์ตอบทามไทเสร็จก็หันไปถามเพื่อนทั้งสองคนด้วยเพราะตอนนี้ทุกคนได้ทานอาหารคาวเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์ของใครของมันอยู่
“ขอลูกอมละกัน” พริกไทยตอบ
“ไม่เอาอะ” สวยตอบเสียงเบาจากนั้นก็ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ต่อ
“ตามนั้นแหละพี่ทาม”
“อืม” ทามไทพยักหน้าเสร็จก็เดินไปที่ร้านขายผลไม้และกลับมาพร้อมกับของกินเล่นอีกมากมายรวมถึงผลไม้ที่คนตัวเล็กสั่งเมื่อกี้ด้วย
“พี่ทามภาคบ่ายพิ้งค์ไม่มีเรียนอะ พิ้งค์ขอกลับกับเพื่อนก่อนละกันนะ”
“อืม ถ้าไม่อยากอยู่ห้องคนเดียวจะไปนั่งเล่นห้องเพื่อนก่อนก็ได้เดี๋ยวตอนเย็นไปรับ” ทามไทเอ่ยตอบขณะที่ตาก็สนใจแต่เกมในโทรศัพท์ไปด้วย
“ได้เหรอ”
“ก็บอกอยู่”
“โอเคงั้นพิ้งค์ไปนั่งเล่นที่ห้องเพื่อนละกัน”
“อืม”
