2 Glittering in the Dark
...ประกายราวอัญมณีที่ทำให้ความมืดสว่างไสว...
ทันทีกับที่พ่อมดขาวลั่นวาจาโลกก็เปลี่ยนไป ในซอกมุมและเงาของดินแดนที่ไม่มีใครใส่ใจ ไร้ความหวังและหัวใจสลายพ่อมดขาวได้ยื่นมือออกไป
ในดินแดนหนึ่งหิมะตกหนักราวกับนางฟ้าร้องไห้ ข้างทางเด็กหญิงตัวน้อยร้องขายไม้ขีดไฟ “ซื้อไม้ขีดไฟไหมคะ ช่วยซื้อด้วยค่ะ”
หากแต่ไม่มีใครสนใจเด็กน้อยกำพร้า ทุกคนเร่งรีบกลับบ้านแข่งกับกลางคืนที่กำลังเดินทางมา หลังจากขายไม้ขีดไม่ได้แม้แต่กล่องเดียวขาที่อ่อนแรงทรุดนั่งในตรอกมืดของถนน หิวแทบขาดใจ หนาวจนมือและเท้าหมดความรู้สึก
แล้วมือเล็กสั่นเทาเริ่มจุดไม้ขีดคลายหนาว ทว่าทันใดกลับต้องเบิกตากว้าง ประหลาดใจเมื่อทุกก้านที่จุดปรากฏภาพอาหารหรือความหลังงดงามที่คงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะหายวับไป
ไม้ขีดไฟถูกจุดเกือบหมดแล้ว ก้านสุดท้ายที่จะคลายหนาวได้ถูกจุดขึ้น ปรากฏใบหน้าของคุณยายที่รักทว่านานแล้วที่ตายจากไป ทันใดนั้นมือของผู้ตายยื่นมาหาเธอราวกับบอกให้ตามมาอยู่ด้วยกัน แล้วเด็กน้อยยื่นมือออกไป
ทว่าทันใดนั้นแสงสว่างปรากฏขวางหน้าเด็กน้อย ดูราวอะเมทิสงดงามที่เปล่งประกาย แสงนั้นวางซุบอุ่นน่ากินถ้วยใหญ่พร้อมขนมปังอบหอมกรุ่นลงในมือเล็กที่สั่นเทา เด็กน้อยรีบกินด้วยความหิว ความฝันใช่ไหม...? หรือว่าเธอตายไปแล้ว...? ทว่าแทนคำตอบกระดาษแผ่นจิ๋วร่วงลงมาจากแสงอบอุ่นเป็นประกาย
“ท่านได้รับเชิญให้เข้าเป็นพลเมืองแห่ง...” เด็กขายไม้ขีดไฟพึมพำอ่านบัตรเชิญเรืองแสง ตัวหนังสืองดงามลึกลับราวภาษาโบราณที่ไม่น่าจะอ่านออกนั้นเธอกลับอ่านได้ราวตกอยู่ในเวทมนตร์ “บาลเธีย...!?”
เสียงเด็กหญิงแผ่วหาย แม้แต่เด็กที่ตัวเล็กที่สุดก็รู้ว่าบาลเธียคืออาณาจักรแห่งความตาย
หากทว่าไม่มีสิ่งใดที่นี่สำหรับเธออีกแล้ว ขืนอยู่ต่อก็มีแต่จะตาย
แล้วเด็กน้อยขายไม้ขีดไฟยื่นมือออกไป
ไกลออกไปอีกดินแดนหนึ่งเด็กสาวที่สวมรองเท้าแดงเต้นรำนับร้อยวันร้อยคืนโดยหยุดไม่ได้ คำสาปยังดังก้องหลอกหลอนในหู
“อาบิเกล เพราะเจ้าไม่เชื่อฟังและสวมรองเท้าแดงทั้งที่ผู้ใหญ่ห้ามไว้ เจ้าจะต้องเต้นรำไปในรองเท้าแดงจนกว่าจะตาย และถึงร่างเน่าเปื่อยเป็นกระดูกแล้วก็ยังจะต้องเต้นรำตลอดไป”
รองเท้าแดงพาเด็กสาวเต้นรำผ่านป่าเขาและฤดูกาล ในที่สุดอาบิเกลผ่านบ้านของเพชฌฆาตและวิงวอนให้เขาตัดขาของเธอทิ้ง รองเท้าแดงที่ยังมีเท้าของเธอติดอยู่จึงเต้นระบำหายไป
เดือนปีผ่านไปเด็กสาวไร้ขาอยากกลับเข้าวิหารเพื่อสวดภาวนา ทว่ารองเท้าสีแดงกลับมาปรากฏและเต้นระบำขวางหน้าทางเข้าวิหารไว้
“ใครก็ได้ช่วยข้าที ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว…!” เธอร้องไห้
ทันใดนั้นหมอกสีม่วงปรากฏขึ้นปกคลุมร่าง ทำให้รองเท้าแดงล้มแน่นิ่งและแห้งเหี่ยวไป แล้วเท้าซึ่งนานมาแล้วเคยถูกตัดออกก็ลอยกลับเข้าเชื่อมกับขาจนเธอจนลุกเดินได้อีกครั้ง
“อะ...อะไรนี่!? ใครกันที่ช่วยข้าไว้...!?”
แล้วท่ามกลางหมอกสว่างรองเท้าคู่ใหม่ที่น่ารักและแข็งแรงลอยลงมาสวมเข้ากับเท้าของเธอ เด็กสาวร้องถามเมื่อเหมือนได้ยินคำเชิญจากภายในหัวใจของตัวเอง “รองเท้าใหม่สำหรับการเดินทางไกลอย่างนั้นหรือคะ!? ท่านเป็นใคร...!?”
บัตรเชิญล่องลอยจากหมอกลงบนมือของเธอ
“บาลเธีย....!?” อาบิเกลอ่านบัตรเชิญลายมืองดงามนั้นต่อด้วยความสงสัย “มาสิ แล้วข้าจะปกป้องเจ้าตลอดไป”
แล้วเด็กสาวยื่นมือออก ก่อนที่หมอกสีม่วงงดงามจะปกคลุมและพาเธอหายวับไป
ในอีกดินแดนห่างไกลออกไปเด็กน้อยแฮนเซลและเกรเทลที่ถูกจับขังในบ้านขนมเพิ่งผลักแม่มดเข้าสู่เตาไฟ สองพี่น้องเป็นอิสระและได้ครอบครองสมบัติอันประเมินราคาไม่ได้
“แต่เราจะไปไหนดี” เกรเทลถามพี่ชาย
“พี่ไม่อยากกลับไปหาพ่อ พ่อทิ้งเราไว้ในป่าสองครั้งแล้ว คนใจร้าย!” แฮนเซลเคียดแค้น
“ถ้าอย่างนั้นเราควรไปไหน”
แสงสว่างสีม่วงปรากฏขึ้น ก่อนบัตรเชิญงดงามจะร่อนลงในมือของผู้ถูกเลือกให้เป็นพลเมืองแห่งบาลเธียคู่ต่อไป
“ท่านได้รับเชิญให้เข้าเป็นพลเมืองของบาลเธีย” แฮนเซลอ่านภาษาลึกลับบรรทัดบน ขณะที่น้องสาวอ่านบรรทัดล่าง
“ไปสู่อาณาจักรที่สวยงามและสงบสุขตลอดไป”
แฮนเซลขนลุกซู่ “แต่บาลเธียเป็นอาณาจักรต้องสาปนี่ ใครก็รู้ว่าทุกคนที่นั่นถูกฆ่าตาย...!”
“แต่ข้าสัมผัสถึงความอบอุ่นบางอย่าง” เกรเทลหลับตาลง ยิ้มกับแสงสว่าง “บางทีคนที่นั่นอาจใจดีและรักเรามากกว่าพ่อแท้ๆ ก็ได้”
“เขาใส่ขนมในมือพี่ด้วย! น่าอร่อยที่สุดเลย!” แฮนเซลกระโดดตื่นเต้นเมื่ออยู่ๆ ในมือปรากฏขนมที่น่ากินกว่าของแม่มดร้อยเท่า
“ไปบาลเธียกันนะ!”
แล้วเด็กทั้งสองยื่นมือออกไป ปล่อยให้หมอกหนาราวกับผ้าห่มผืนอุ่นกลืนกิน
