บทนำ
คุณเคยมีความลับที่ต่อให้ตายก็บอกให้ใครรู้ไม่ได้บ้างไหม
ฉันมีนะ ความลับสุดยอดที่บอกใครไม่ได้
เอียงหูมาใกล้ๆ สิ
ฉันจะบอกอะไรดีๆ ให้คุณได้รู้
“นี่คือบทสัมภาษณ์ครั้งแรกและครั้งเดียวของนายแบบหนุ่มลูกครึ่งอังกฤษชื่อดัง ที่กำลังตกเป็นที่สนใจของคนทั่วทั้งประเทศอยู่ ณ ขณะนี้ค่ะ สวัสดีค่ะแซนไทน์ คำถามแรกนะคะ คุณคิดยังไงกับข่าวโคมลอยที่ว่าครั้งหนึ่งคุณเคยมีความรัก เป็นคำถามที่ดิฉันคิดว่าผู้หญิงทั้งประเทศคงสงสัยว่าสาวปริศนาที่ว่าคนนั้นเป็นใคร พอจะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องให้ทุกคนได้ฟังกันหน่อยได้ไหมคะ” เสียงที่ดังขึ้น ส่งผลทำให้สายตาของร่างบางที่กำลังหมกหมุ่นอยู่กับหน้าที่การงานของตัวเองต้องหยุดชะงัก พร้อมๆกับเบือนใบหน้าอ่อนหวานไปที่ทีวีจอใหญ่ภายในร้านทันที
‘คุณคงจะหมายถึงรักครั้งแรกของผม…’
น้ำเสียงที่ดังขึ้นแผ่วเบานั้น แต่มันกลับเรียกเสียงกรี๊ดของผู้หญิงมากมายที่เฝ้าดูทีวีเครื่องใหญ่ในร้านกาแฟธรรมดาๆ ย่านชุมชนเล็กๆ ที่แออัดแห่งนี้ได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งหมดนี้บ่งบองถึงความฮอตของชายหนุ่มที่กำลังแสยะยิ้มอยู่ในนั้นได้เป็นอย่างดี
แซนไทน์อย่างงั้นเหรอ…ช่างเป็นชื่อที่คุ้นหูอะไรอย่างนี้นะ
‘ผมไม่เคยมีรักครั้งแรก…จะมีก็เพียงแต่รักสักครั้งสุดท้าย รักครั้งสุดท้ายที่ผมกำลังตามหาเธออยู่ และยังหาไม่เจอเท่านั้น!’
จบคำพูดที่แสนจะเต็มไปด้วยความเย็นชา ใบหน้าหล่อเหลาที่ถูกปกปิดเอาไว้ด้วยหมวกทรงสูงสีดำก็เดินเลี่ยงฝ่าผู้คนออกไปขึ้นรถหน้าบริษัทด้วยท่าทางเรียบเฉย
“ตามหาอยู่งั้นเหรอ หึ! แน่จริงก็หาให้เจอสิ” เสียงหวานดังขึ้นราวกับจะพูดกับตัวเองเสียมากกว่า ก่อนที่ร่างบางจะลุกขึ้นเดินแยกตัวออกไปอย่างเงียบๆ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองนาฬิกาข้อมือที่สวมอยู่ พลางแสยะยิ้มอย่างผู้ชนะเมื่อสำนึกได้ว่าบางสิ่งที่เฝ้ารอมานาน บัดนี้กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่ช้านี้
“หมดเวลาเล่นซ่อนแอบแล้วสิ”
[คอนโด L]
เสื้อคลุมตัวหนาถูกเหวี่ยงลงบนโซฟาด้วยฝีมือเจ้าของห้องหรู นัยน์ตาสีดำสนิทจับจ้องไปที่ตุ๊กตาหมีสีขาวบนเตียงด้วยความรู้สึกห่วงหาอย่างบอกไม่ถูก มือหนาคว้าบุหรี่ที่วางอยู่บนโซฟาขึ้นมาจุดสูบก่อนจะเดินหนีความทรงจำในอดีตที่ไม่มีวันลืมมายืนทอดสายตาไปบนท้องฟ้าสีส้มสว่างยามเย็นอย่างเหม่อลอย
ชั่ววูบหนึ่งในความคิด กลับกลายเป็นใบหน้าอ่อนหวานของใครบางคนที่ค่อยๆ แทรกเข้ามา ก่อนที่ความคิดต่างๆ หยุดลง ทันทีที่เสียงกดออดดังขึ้นขัดจังหวะ คิ้วหนาเริ่มขมวดเข้าหากันเป็นปมอย่างอดสงสัยไม่ได้ ก่อนร่างสูงโปร่งจะพาตัวเอง เดินไปที่ประตูห้องพร้อมความสงสัยทั้งหมดที่มี...
“สวัสดีครับ” เสียงเล็กๆ ฟังดูน่ารักดังทักขึ้นทันทีที่ประตูหนาถูกเปิดออก ก่อนที่ดวงตาคมกริบจะจ้องมองเด็กแปลกหน้าด้วยความสงสัย
“พอดีว่าผมหลงทาง กำลังรอคุณแม่มารับ ขอผมเข้าไปรอคุณแม่ในห้องได้ไหมครับ” น้ำเสียงช่างเจรจาที่ดังขึ้นมาอีกรอบนั้น ทำเอาร่างสูงถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ แต่ไม่ทันจะได้พูดอะไรออกไป สองเท้าเล็กๆ ก็ดันก้าวเข้ามาในห้องของเขาแล้ว
“ห้องกว้างแบบนี้อยู่คนเดียวไม่เหงาแย่เหรอครับ”
“…”
“ขอผมนั่งที่โซฟานะครับ และถ้าจะไม่เป็นการรบกวนจนเกินไปขอน้ำส้มคั้นเย็นๆ สักแก้วในระหว่างรอด้วยได้ไหมครับ”
สั่งงั้นเหรอ!?
นี่เขากำลังถูกเจ้าเด็กที่ยังไม่รู้แม้กระทั่งชื่อออกคำสั่งอย่างงั้นเหรอ ให้ตาย!
“ชื่ออะไรน่ะเรา” แต่กระนั่นอีกฝ่ายก็เป็นเพียงเด็ก เขาจึงเก็บกดความโมโหเอาไว้ ก่อนจะวางน้ำส้มคั้นให้เจ้าตัวเล็กที่กำลังจ้องมองกันอย่างไม่ละสายตา
“เนเวอร์ คือชื่อของผมครับ”
“เนเวอร์งั้นเหรอ…”
“แม่บอกว่าตั้งชื่อนี้ให้เพราะว่าผมไม่มีใครต้องการครับ”
“แล้วแม่ของหนูตอนนี้อยู่ที่ไหน” ผมตั้งคำถามต่อก่อนจะล้มตัวลงนั่งข้างๆ เด็กน้อยอย่างถือวิสาสะ ไม่สิ นี่มันห้องของผมนี่ เพราะงั้นผมจะทำอะไรมันก็เป็นสิทธิ์ของผม ไอ้เด็กนี่ต่างหากที่ควรจะต้องเกรงใจ ไม่ใช่ทำตัวราวกับเจ้าของห้องอีกคนไปอย่างนี้
“แม่กำลังเล่นซ่อนหาอยู่ครับ ถ้าอยากเจอก็ต้องหาให้เจอด้วยตัวเอง” หนนี้ผมได้ฟังไม่ตอบโต้ เพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เหมือนสิ่งหนึ่งที่เขารู้ได้อย่างแน่ชัดในเวลานี้ คือการที่เจ้าหนูช่างพูดนี่มาอยู่ที่นี่ในเวลานี้นั้นมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน!
“ผมอยากกินเค้กกล้วยหอมใส่ผลไม้เยอะๆ”
“ที่นี่ไม่มีเค้กที่ว่า!”
“แต่ว่าผมอยากกินนี่ครับ…”
และรู้อะไรไหม…สิ่งที่ผมเกลียดรองลงมาจากตัวของผมเอง…ก็คือดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์ของเด็กนี่แหละ!
“เอาชิ้นนั้น ชิ้นนี้ แล้วก็ถ้าจะให้ดีขอของแถมเป็นเบอร์พี่สาวสุดสวยคนนี้ด้วยได้รึเปล่าครับ” เสียงที่ดังขึ้นสบายอย่างอารมณ์ทำเอาคนที่กำลังอุ้มเจ้าเด็กจอมวุ่นวายเอาไว้แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เด็กอายุแค่นี้ไปจำคำพูดพวกนี้มาจากที่ไหนกัน
“ปากหวานจังเลยนะคะ สงสัยจะนิสัยเหมือนคุณพ่อ”พนักงานสาวร้านนี้จำไม่ได้ว่าผมคือใคร คงเป็นเพราะว่าผมสวมหมวกและสวมแว่นตาปิดบังใบหน้าเอาไว้ ไม่อย่างนั้นคาเฟ่เล็กๆ ที่อยู่เยื้องกับคอนโดแห่งนี้ มีหวังได้แตกเพราะบรรดาแฟนคลับที่เข้ามารุมผมแน่ๆ และถ้าเกิดมีข่าวว่าผมอุ้มเจ้าเด็กนี่เผยแพร่ออกไปล่ะก็ ความหวังที่ว่าถ้าผมกลายเป็นคนดังแล้วจะตามหาเธอคนนั้นได้ง่ายขึ้นก็คงจะมลายหายวับไปกับอากาศด้วยเช่นกัน
ว่าแต่ ‘พ่อ’ งั้นเหรอ
ใช้อะไรมอง ถึงได้คิดว่าผมกับไอ้เด็กขี้หลีนี่เป็นพ่อลูกกัน
