Chapter 1: ของขวัญวันเกิดในคืนพระจันทร์เต็มดวง [2/2]
เด็กหนุ่มยืนขบคิดอยู่ในมุมมืดของพุ่มไม้ข้างคฤหาสน์พักใหญ่ สายตาสอดส่องไปทั่วว่ามีทางไหนที่สามารถลักลอบเข้าไปได้บ้าง ก่อนจะสังเกตเห็นว่าที่กำแพงใกล้กับจุดที่เขาซ่อนตัวอยู่มีช่องลม ไม่รู้ว่าโชคช่วยหรืออย่างไร กิ่งก้านต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้นก็โน้มใกล้ราวกับว่าเป็นใจอีกด้วย
ทวิชตัดสินใจปีนขึ้นไปบนต้นไม้นั้น ลอดมองไปในช่องลมที่มีตะแกรงกั้น พลันพบว่ามันคือช่องระบายอากาศของห้องน้ำ
ทางสะดวก!
เด็กหนุ่มคิดในใจอย่างลิงโลด ก่อนจะลงมือใช้ไขควงที่พกมาด้วยลงมือไขน็อตเพื่อทำการเปิดทันที ในใจก็ชื่นชมความรอบคอบของตัวเองไปด้วยที่พกไขควงมา มันมีประโยชน์ในสถานการณ์อย่างนี้แหละ!
ด้วยความที่มีร่างกายผอมบาง ทวิชจึงสอดตัวลอดเข้าไปในช่องนั้นได้อย่างไม่ยากเย็น แต่เมื่อทิ้งตัวลงมายืนบนพื้นได้ เขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อสายตาปราดไปเห็นร่างของใครบางคนอยู่ในห้องน้ำนั้นด้วย
“เธอเป็นใคร”
น้ำเสียงเรียบนิ่ง ทว่าดุดันเล็ดลอดออกจากริมฝีปากของผู้ชายในชุดสูท ท่าทางน่าเกรงขามนั้นทำเอาทวิชใจสั่นระรัวขึ้นมาทันที
ผู้ชายคนนี้... นายของเขานี่นา!
ถึงกับเข่าอ่อนจนแทบทรุด ใครจะไปคิดกันล่ะว่าคนที่เขาอยากพบหน้าอย่าง ‘เวหา จันทรานิรันดร์’ ทายาทคนเดียวและเป็นนายใหญ่ของสังกัดจันทรานิรันดร์จะมาปรากฏตัวตรงหน้าโดยไม่ได้เตรียมใจมาก่อน
หมายถึง... จริงๆ ก็เตรียมใจนั่นล่ะ แต่นี่มันได้เจอเร็วเกินไป
ทวิชพูดไม่ออก เซไปเกาะอ่างล้างมือ ขณะที่เวหาทอดสายตามองก็รับรู้ได้ทันทีว่าคนตรงหน้าคือทาสของตัวเองจากจี้บนปลอกคอที่เด็กหนุ่มสวมใส่
ใช่...ปลอกคอ พวกทาสที่มีนายมักจะมีปลอกคอสวม พร้อมกับจี้ที่เป็นสัญลักษณ์ของสังกัดผู้เป็นนาย สำหรับจันทรานิรันดร์แล้ว สัญลักษณ์ของจี้จะเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ทาสกว่าครึ่งหนึ่งของอาณาเขตนี้ล้วนแล้วเป็นทาสในสังกัดจันทรานิรันดร์ทั้งนั้น แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้จะมีทาสคนหนึ่งก่อกบฏเสียแล้ว
“ฉันถามว่าเธอเป็นใคร”
น้ำเสียงของเวหานอกจากจะน่าเกรงขามแล้ว ยังเย็นยะเยือกเสียจนคนฟังเสียวสันหลังวาบ ริมฝีปากของทวิชสั่นระริกจนรู้สึกได้ เขาพูดไม่ออกสักคำ ทำให้เวหาพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงด้วยความหงุดหงิด
เขาไม่ได้หงุดหงิดที่ถูกคนมาขัดจังหวะการปล่อยเบาหรือปล่อยหนัก แต่หงุดหงิดเพราะเขาต้องการหลีกความวุ่นวายจากผู้คนด้านนอกมาใช้เวลาอยู่กับตัวเองครู่หนึ่ง แล้วดันมาเจอทาสโง่เง่าโผล่ทะเล่อทะล่าเข้ามาทางช่องระบายอากาศต่างหาก
น่าหงุดหงิดชะมัด!
และก็ดี! ในเมื่อไม่พูด เขาเองก็ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดเหมือนกัน
เวหาไม่แสดงสีหน้าใดก็จริง แต่เขาหงุดหงิดเต็มทีแล้ว พลันก็ถลาเข้ามาคว้าแขนของเด็กหนุ่มไว้มั่น ทวิชยังไม่ทันจะได้ทักท้วงอะไร ประตูห้องน้ำก็ถูกกระชากออก ก่อนที่ร่างของเขาจะถูกโยนออกไปให้กับไทที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู
“จัดการด้วย”
พวกไทที่ยืนรอการกลับมาของผู้เป็นนายตกใจกันไม่น้อยที่เห็นทาสเข้ามาในคฤหาสน์โดยไม่ได้รับอนุญาต แน่ล่ะว่ามันต้องเป็นความบกพร่องในหน้าที่ของพวกเขาที่ปล่อยให้การรักษาความปลอดภัยหละหลวม แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือทาสคนนี้คุ้นหน้าคุ้นตาธามเป็นอย่างดี
ธามที่เป็นหัวหน้าในการรักษาความปลอดภัยในครั้งนี้มองหน้าเด็กหนุ่มด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะถามเสียงเขียว
“นายมาทำอะไรที่นี่”
“คะ...คือผม...”
ทวิชไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดอย่างไรดี ตอนนี้เขาเริ่มประหม่าแล้ว เพราะนอกจากจะอยู่ท่ามกลางพวกไทที่เป็นบอดี้การ์ด เขายังอยู่ท่ามกลางสายตาของเหล่านายที่มองมายังเขาราวกับว่าเป็นตัวประหลาดอีกด้วย
เวหาไม่คิดจะฟังหรอก เห็นอีกฝ่ายอึกๆ อักๆ ก็โบกมือเป็นสัญญาณให้บอดี้การ์ดของตนพาตัวทาสคนนี้ออกไป ทวิชถูกรวบตัวทันที ก่อนที่เขาจะตะโกนเสียงดังลั่นด้วยความตกใจ
“ปล่อยผม! ปล่อยนะ!”
“อย่าโวยวายให้เรื่องมันวุ่นวายไปมากกว่านี้อีก แค่นี้โทษของนายก็หนักหนาพอแล้ว”
ธามที่เดินตามคุมเอ่ยบอก หากแต่ก็ไม่ได้ทำให้ทวิชเงียบเสียงลงได้เลย
เรื่องอะไรที่เขาต้องเงียบล่ะ เขาอุตส่าห์เข้ามาที่นี่ได้แล้ว เขาจะต้องทำสิ่งที่เขาตั้งใจให้สำเร็จให้ได้!
“แต่ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณท่าน! คุณท่านครับ! ผมมีเรื่องจะขอร้อง วันนี้เป็นวันเกิดผม! คุณท่าน!”
“เงียบน่า”
ธามว่าเสียงดุ เขาไม่อยากให้บรรยากาศแย่ไปมากกว่านี้ เป็นคนสนิทของนายใหญ่ แค่เห็นหัวคิ้วขมวดมุ่นของเวหาก็รู้แล้วว่ากำลังหงุดหงิดใจเพียงใด เขาไม่ยอมปล่อยให้ทาสเด็กนี่มาสร้างเรื่องกวนใจให้มากไปกว่านี้หรอก
แต่ดูเหมือนจะไม่ทันการณ์ เพราะทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกนของเด็กหนุ่ม เวหาที่หันหลังจะเดินไปอีกทางก็ชะงัก หันมามองเจ้าของเสียงที่กำลังถูกลากออกไปนอกคฤหาสน์ทั้งที่ปากยังร้องบอกไม่เลิก
“วันนี้เป็นวันเกิดผมครับ! ผมมาขอของขวัญวันเกิด!”
เวหานิ่งงันทันที ส่วนธามก็ตีหน้าโกรธขึ้ง
“ของขวัญวันเกิดอะไร ฉันก็ให้หัวหน้าทาสเอาไปให้แล้วนี่”
ก็ใช่ แต่มันไม่ใช่ของที่เขาร้องขอนี่นา!
“รีบเอาตัวออกไป เร็ว!”
ธามไม่สนใจแล้ว ร้องบอกให้บอดี้การ์ดรีบพาตัวไปให้พ้นก่อนที่เจ้านายของเขาจะเสียหน้าไปมากกว่านี้ ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อเวหาก้าวเข้ามาใกล้พร้อมกับโบกมือขึ้นอีกครั้ง
บรรดาชายฉกรรจ์หยุดฉุดลากเด็กหนุ่ม แต่ก็ยังไม่ปล่อยมือ รอให้ผู้เป็นนายได้ไต่ถามในสิ่งที่อยากรู้
“เธอว่าที่บุกเข้ามาในคฤหาสน์เป็นเพราะอยากจะขอของขวัญจากฉันงั้นเหรอ”
ทวิชพยักหน้าให้อีกฝ่ายได้ถามต่อ
“ของขวัญเดิมที่ถูกส่งไปให้ไม่ใช่สิ่งที่นายอยากได้หรือไง”
ทวิชพยักหน้าไปอีก เวหาพอจะเดาได้ทันทีว่าคำขอของเด็กหนุ่มคงจะเป็นที่น่ารำคาญใจมากเป็นแน่ ลูกน้องคนสนิทของเขาจึงไม่ยอมแจ้งให้เขารู้ เปลี่ยนคำขอด้วยตัวเองจนทาสตรงหน้าต้องมาเรียกร้องสิ่งที่ตัวเองขอไป
“แล้วเธออยากได้อะไร”
ตอนนี้เวหาโบกมืออีกครั้งเป็นเชิงให้ปล่อยตัวทวิช แล้วสั่งให้บอดี้การ์ดถอยออกไปยืนห่างๆ เพราะเขาจะจัดการเอง ธามเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย แต่ก็จำใจถอยออกมาโดยดี ปล่อยให้นายใหญ่ได้สะสางปัญหา ส่วนเขาก็คอยเก็บกวาดในภายหลัง ขณะที่ทวิชซึ่งไม่เคยเห็นหน้านายของตัวเองใกล้ๆ สักครั้ง เมื่อต้องมาประจันหน้าอย่างนี้ เด็กหนุ่มก็สั่นเทาไปทั้งร่าง ความตั้งใจที่มีอยู่ตอนแรกมลายหายไปสิ้น
เวหา...เป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบปลายๆ รูปร่างหน้าตาเรียกได้ว่าเป็นที่ปรารถนาของผู้หญิงทุกชนชั้น แต่ขณะเดียวกันก็มีอะไรบางอย่างที่แผ่ออกมาให้เขาเป็นคนไม่น่าเข้าใกล้ อย่างเช่นในเวลานี้ที่เวหาทอดสายตามองทวิชอยู่ ทำเอาเด็กหนุ่มอดคิดไม่ได้เลยว่าเขาไม่ควรหลุดปากโพล่งออกไปอย่างนั้น สายตาของเวหาชวนให้หวาดหวั่นจริงๆ
“จะบอกได้หรือยังว่าเธออยากได้อะไรเป็นของขวัญวันเกิด”
เวหาถามออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบอีกครั้ง ทวิชสะดุ้งไปเล็กน้อย ตามมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“ผะ...ผม...”
ไม่...
ไม่กล้าพูด...
ถึงจะรู้ว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นนายที่ใจดี แต่ในเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นนายแล้ว ทาสที่กล้าละเมิดกฎระเบียบที่สังกัดวางไว้ย่อมต้องถูกทำโทษอย่างสาสม เขากล้ามาบุกงานเลี้ยงของสังกัดท่ามกลางแขกเหรื่อที่มาร่วมสังสรรค์ในเขตจันทรานิรันดร์อย่างนี้ มีหวัง...ไม่ซี่โครงหักสักสองสามซี่ ก็คงต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มอีกหลายเดือนแน่
“ผม...”
เสียงหายลงคอไปแล้ว เค้นเท่าไรก็เค้นไปออกเสียด้วย ทวิชใจฝ่อไปหมด ยิ่งยืนนิ่งก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวยิ่งเล็กลง ประหม่าเสียจนทำอะไรไม่ถูก เผลอยกมือขึ้นไปจับจี้รูปดวงจันทร์เสี้ยวบนปลอกคอของตนเองเพื่อลดความประหม่าอย่างไม่รู้ตัว
เวลามองมือเล็กๆ ที่หยาบกร้านและเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นจากการทำงานหนักนั้นด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะเรียกสายตาของอีกฝ่ายให้เหลือบขึ้นมองด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว
“ถ้าไม่บอก เธอรู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับทาสที่เสนอหน้ามาขัดจังหวะงานเลี้ยงของนาย”
“...”
“แถมยังกล้าบุกอุกอาจเข้ามา ดูท่าคงจะไม่รักชีวิตตัวเองสักเท่าไรแล้วมั้ง”
ทวิชหวาดหวั่นไปทั้งร่าง สังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่าร่างกายผ่ายผอมของเขาสั่นเทา คำพูดของเวหาช่างเป็นคำขู่ที่ศักดิ์สิทธิ์เสียเหลือเกิน เพราะพอสิ้นเสียง ทวิชก็รีบบอกความตั้งใจของตนออกมาทันที
“ผะ...ผมอยากปลดแอกตัวเองเป็นไทครับ”
สิ้นเสียง ทวิชก็แทบหยุดหายใจ ขณะที่เสียงอื้ออึงของคนรอบข้างดังขึ้น ก่อนตามมาด้วยเสียงหัวเราะในความโง่งมของเขา
เป็นแค่ทาส กล้าดีอย่างไรมาขอปลดแอกตัวเองกับนายซึ่งๆ หน้า มิหนำซ้ำยังมาบอกต่อหน้าพวกชนชั้นนายคนอื่นๆ อีก
ทวิชบีบจี้ที่ปลอกคอของตนเองเสียจนนิ้วซีดขาว เวหามองแล้วยกมือปรามพวกไทที่หมายจะเข้ามาบลากคนตรงหน้าออกไป เป็นเชิงว่าเขาจัดการได้ ก่อนจะระบายลมหายใจออกมาเล็กน้อย
“เธออยากถอดปลอกคอนี้ออก เลยมาขัดขวางงานเลี้ยงของฉันอย่างนั้นเหรอ”
“ผม...ไม่ได้ตั้งใจ”
พูดเสียเสียงเบาเชียว ความกล้าที่มี ในตอนนี้ไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยว
เวหารู้ว่าอีกฝ่ายโกหกเพื่อเอาตัวรอด การโกหกเพื่อให้ถูกลงโทษน้อยนั้นเป็นนิสัยของพวกทาส เพราะอีกฝ่ายต้องตั้งใจแน่ ไม่อย่างนั้นจะบุกเข้ามาหาเขาถึงที่นี่ทำไม แต่เขาก็ไม่ได้สนใจสักเท่าไรนัก นอกจากจะพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
“มองหน้าฉัน”
ทวิชเงยหน้าขึ้นมองทันใด แต่สบตาคมกริบของอีกฝ่ายได้เพียงเสี้ยววินาที สายตาก็หลุกหลิกทันใด
“ปีนี้เธออายุเท่าไร”
อีกประโยคที่หลุดออกจากปากของเวหาทำเอาทวิชเลิ่กลั่กไปชั่วครู่ ก่อนตอบอุบอิบ
“สะ...สิบเก้าครับ”
“ยังไม่ถึงเกณฑ์นี่”
เป็นคำพูดที่ไม่ต้องการคำตอบโต้ใด ทวิชก้มหน้าลงไปอีกครั้ง เขารู้ว่าตัวเองยังไม่ถึงเกณฑ์ แต่ที่จะมาบอกก็เพราะอยากให้คุณท่านรับปากเท่านั้นว่าเมื่อเขาอายุครบกำหนดเมื่อไร อยากให้อีกฝ่ายอนุญาตให้เขาปลดแอกตัวเองได้ แต่ไม่ทันจะได้พูดอะไร ฝ่ามือของอีกฝ่ายก็ยื่นมาจับจี้พระจันทร์เสี้ยวที่ปลอกคอของเขาแล้ว
ทวิชเหลือบมองมือนั้นสลับกับใบหน้าคร้ามครัน ขณะที่อีกฝ่ายสบตาเขานิ่ง
“อยากถอดปลอกคอนี่ออกมากอย่างนั้นเหรอ”
ทวิชพยักหน้า... แน่ล่ะ ใครกันที่อยากจะมีปลอกคอสวมตลอดเวลา เขาไม่อยากมีนาย เขาอยากมีชีวิตของเขาเอง
“แต่เธอยังอายุไม่ถึง จะมาขอปลดแอกไม่ได้ มันผิดกฏ”
“ผมแค่อยากให้คุณท่านรับปากว่าผมอายุถึงเกณฑ์เมื่อไร คุณท่านจะอนุญาตให้ผมได้รับโอกาสในการปลดแอกตัวเองน่ะครับ”
เวหาหรี่ตาลงเล็กน้อย “คิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงได้กล้าต่อรองกับฉันอย่างนี้”
แค่นี้ทวิชก็ไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านี้แล้ว มีแต่เวหาเท่านั้นที่เอ่ยปากต่อ
“เธอชื่ออะไร”
“ทวิชครับ”
คิ้วเข้มเลิกสูงเล็กน้อย “แปลว่านกสินะ”
คำตอบจากเด็กหนุ่มคือการเม้มริมฝีปาก ขณะที่เวหาส่งเสียงดังฮึในลำคอเล็กน้อย
“สงสัยท้องฟ้าในสังกัดจันทรานิรันดร์คงจะแคบเกินไปที่จะให้นกอย่างเธอได้บินล่ะมั้ง ถึงได้อยากออกไปบินที่โลกด้านนอกอย่างนี้”
มันเป็นคำเสียดสีใช่หรือเปล่า?
ทวิชไม่แน่ใจนัก รู้แต่ว่าพอสิ้นเสียงก็มีเสียงหัวเราะจากรอบข้างดังขึ้นขรม ก่อนจะตามมาด้วยคำดูถูกต่างๆ นานาว่าเป็นทาสที่ไม่เจียมกะลาหัว
การถูกดูเหล่านี้เป็นเรื่องที่ทาสทั้งหลายคุ้นชิน แต่สำหรับทวิชในตอนนี้ ถึงเขาจะหวาดกลัวคนตรงหน้าเพียงใด ทว่าเขาก็ไม่มีอะไรที่จะต้องเสียแล้ว เด็กหนุ่มรวบรวมความกล้าเฮือกสุดท้าย พลันว่าออกไป
“ครับ ผม...อยากออกไปบินที่ท้องฟ้าด้านนอก”
เวหาชะงัก หรี่ตาลงเมื่อเด็กหนุ่มว่าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบายิ่งกว่าเดิม
“บทท้องฟ้าที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่บนท้องฟ้าของคุณท่าน”
ใจกล้า...
เจอทาสใจกล้าอย่างนี้ก็น่าสนุกดีเหมือนกัน
ชั่วแวบหนึ่ง งานเลี้ยงทุกคืนพระจันทร์เต็มดวงที่เวหาเบื่อหน่ายหนักหนาก็พลันดูสนุกขึ้นมา เขาไม่เคยเจอทาสที่ใจกล้าอย่างนี้มาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับทาสที่ดูท่าทางไม่ได้กระด้างกระเดื่องสักนิด
คงต้องมีความปรารถนาอย่างแรงกล้ามากแน่ๆ ถึงได้เสี่ยงชีวิตมาอย่างนี้ และนั่นก็ทำให้เวหาสนใจในตัวเด็กหนุ่มตรงหน้าขึ้นมา
สนใจเพราะทวิชมีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกับทาสทั่วๆ ไปอย่างนั้นหรือ? ...นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนที่น่าสนใจกว่าก็คือการแน่วแน่ของเด็กหนุ่มต่างหาก
“ก็ได้ ในเมื่อเธออยากจะโบยบินไปที่ท้องฟ้าอื่นนัก ฉันก็จะอนุญาต”
“จริงเหรอครับ!”
ทวิชร้องถามด้วยน้ำเสียงที่ดัง ดวงตาเป็นประกาย มีความดีใจฉาบพรายอยู่เต็มเปี่ยมเสียจนหุบยิ้มไม่อยู่ เวหาไม่ตอบรับ เพียงแค่ตอบกลับเสียงเรียบ
“แต่มีเงื่อนไข”
และมันก็ทำให้รอยยิ้มของทวิชเลือนหายไปกับตา
เขาก็ลืมไปว่าอิสระไม่ได้รับกันง่ายๆ ยิ่งจากคนเป็นนายแล้ว เรื่องอะไรที่จะต้องยอมสูญเสียแขนขาที่เป็นเครื่องหมายแสดงอำนาจของตนไปด้วย
“เงื่อนไขอะไรเหรอครับ”
แต่ทวิชก็หันหลังกลับไม่ได้แล้ว เขาถามเสียงแผ่ว แต่เวหากลับไม่ตอบ
“ไว้ธามจะบอกกับเธอเอง”
พูดจบก็หันหลังเดินจากไป ทิ้งงานให้ธามได้เก็บกวาด
“ไปได้แล้ว”
แขนของเด็กหนุ่มถูกรั้งอีกครั้ง พร้อมกับน้ำเสียงดุๆ ของธาม ทวิชอยากจะถามนักว่าเงื่อนไขที่คุณท่านว่าคืออะไร แต่ไม่ทันจะได้ออกปาก ธามก็เอ่ยขึ้นมาก่อนราวกับรู้ทันว่าจะถูกถามอะไร
“คุณท่านสั่งมาเมื่อไร ฉันจะมาบอกนายเอง ตอนนี้รีบไสหัวไปจากที่นี่...เดี๋ยวนี้”
วันนี้คงต้องยอมรามือก่อน ทวิชไม่ปฏิเสธหรือขัดขืนใดๆ ทั้งนั้นเมื่อถูกลากตัวออกมา ถึงจะทั้งโดนดุด่า ทั้งโดนเตะต่อยเล็กๆ น้อยๆ เป็นการทำโทษที่ทำให้วุ่นวายบ้าง แต่ก็นับว่าคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รับ
อย่างน้อยเขาก็ได้รับของขวัญวันเกิดที่อยากได้แล้วล่ะ...
