5 ขอโอกาส
5
ขอโอกาส
“ฉันเก็บห้องเสร็จแล้วนะ”
เพราะมันเกินห้านาทีไปแล้วและฉันยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้เดินไปเคาะประตูห้องเขาเหมือนอย่างที่ควรเป็น คิดว่าวินคงจะผิดสังเกตจึงเดินกลับมาตามที่ระเบียงอีกครั้ง
“อ่า...โอเค”
เพราะไม่กล้าบอกและไม่กล้าปฏิเสธ จึงทำให้ฉันตอบรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ และหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องเพื่อออกไปประตูหน้า โดยไม่ลืมที่จะเข็นรถรูมเซอร์วิสมาด้วย
พอเดินออกจากห้องจึงเห็นว่าวินเปิดประตูห้องตัวเองรออยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าเขาดูยิ้มแย้มสดใสอย่างต้อนรับ ผิดกับฉันซึ่งกำลังพะว้าพะวังห่วงสิ่งที่อยู่ภายใต้ชุดคลุมอาบน้ำ
มันคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง? ยังมีชุดคลุมคลุมอยู่นี่นา
ปลอบใจตัวเองเสร็จฉันจึงเข็นรถเดินผ่านหน้าวินเข้าไปด้านใน การตกแต่งภายในห้องเขาเหมือนกับห้องพักของฉันไม่มีผิดเพี้ยน จะแตกต่างกันหน่อยก็ตรงการวางข้าวของ ซึ่งดูไม่เป็นที่เป็นทางเท่าไหร่นัก
ฉันหยุดยืนอยู่บริเวณกลางห้องโถง ขณะที่เจ้าของห้องเดินตามเข้ามาและทรุดกายนั่งลงบนโซฟาตัวยาวใกล้ๆ
แม้รู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่ที่อยู่ในสภาพนี้ แต่จะให้แสดงอาการออกไปก็กลัวถูกจับได้ ฉันจึงสลัดความรู้สึกพวกนั้นออก และคว้าขวดไวน์กับจานอาหารไปวางลงบนโต๊ะกระจก ก่อนเลือกทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นพรมแทนที่จะขึ้นไปนั่งบนโซฟากับวิน
“ทำไมลงไปนั่งข้างล่างล่ะ?”
วินคงสงสัยในสิ่งที่ฉันทำ เพราะน้ำเสียงเขาดูแปลกใจไม่น้อยขณะเอ่ยถาม
“ฉันสะดวกแบบนี้น่ะ”
ถึงจะเป็นเพื่อนกันและค่อนข้างไว้ใจเขาพอสมควร แต่รักษาระยะห่างไว้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เผื่ออะไรต่อมิอะไรมันเผลอออกมาหายใจ เดี๋ยวมันจะเข้าหน้ากันไม่ติด
และแทนที่เขาจะนั่งอยู่บนโซฟาเหมือนทีแรก จู่ๆ วินกลับขยับลงมานั่งด้านล่างกับฉันเสียอย่างนั้น แถมระยะความใกล้ยังชิดจนผิวเนื้อสัมผัสกันไปมาอีก
นี่กะจะไม่ให้มีระยะให้ได้หายใจเลยหรือไงนะ เผลอคิดลามกจนหัวใจเต้นแรงขึ้นมาได้ความแตกกันพอดีสิ
คนหนึ่งไม่ใส่ชุดชั้นใน อีกคนเปลือยแผ่นอกสุดเซ็กซี่ บรรยากาศก็ดีแถมมีไวน์ให้จิบเคล้าเสียงคลื่นลมทะเล อะไรมันจะเป็นใจขนาดนั้น นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนกันและฉันพึ่งจะผ่านการโดนเทมานะ วินมีสิทธิ์โดนฉันจับกินไปแล้ว
เพราะกำลังเกิดอาการประหม่าและจังหวะหัวใจก็เริ่มเต้นแรงขึ้น ฉันจึงเอื้อมมือไปคว้าขวดไวน์ขึ้นมากระดกใส่ปากหลายอึก จนคนที่นั่งข้างๆ ร้องเสียงหลง
“ใจเย็น ไวน์นะไม่ใช่น้ำเปล่า”
เมื่อถูกยั้งเอาไว้ฉันจึงหยุดดื่มและยื่นมันให้เขาแทน วินรับมันไปอย่างว่าง่ายและยกขึ้นดื่มเพียงเล็กน้อย ก่อนส่งมันกลับมาให้ฉันอีกครั้ง
เราทั้งคู่ผลัดกันดื่มไปมาจนของเหลวด้านในขวดพร่องลงไปมาก แต่ส่วนใหญ่น่าจะเข้ามาอยู่ในร่างกายฉันมากกว่า วินน่าจะได้รับไปเพียงแค่สามสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น สังเกตจากการดื่มที่ฉันสามอึกเขาอึกเดียว
ระหว่างการดื่มเรากลับไม่พูดคุยอะไรกันเลยสักคำ ไม่รู้เพราะอะไรทั้งๆ ที่ฉันเองก็มีหลายเรื่องที่อยากจะถามเขา ส่วนเขา...ก็คงไม่ได้อยากรู้เรื่องราวอะไรของฉันหรอกมั้ง ไม่งั้นจะเอาแต่เงียบอยู่ทำไม?
ในเมื่อเขาไม่คิดจะถามหรือพูดอะไร ฉันก็จะเป็นฝ่ายถามเขาแทน ให้มานั่งอมพะนำกันอยู่อย่างนี้อึดอัดจะตายชัก เริ่มที่เรื่องเบาๆ ซอร์ฟๆ ก่อนละกัน
“ไปเรียนที่นู่นเป็นไงบ้างล่ะ?”
ใบหน้าหล่อเหลาซึ่งเรียบนิ่งมาตลอด หันมามองกันด้วยสีหน้าเปลี่ยนไป คล้ายแปลกใจที่อยู่ๆ ฉันก็พูดทำลายความเงียบสงบ
“ก็ดี เธอล่ะ?”
คำตอบส่งๆ ที่ดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก ทำให้ฉันเกิดความหงุดหงิดขึ้นอย่างห้ามตัวเองไม่ได้
“ก็ดีแหละมั้ง ไม่รู้สิ”
ในเมื่อเขาไม่คิดจะใส่ใจในการตอบคำถาม ฉันก็จะไม่ใส่ใจที่จะตอบคำถามเขาเหมือนกัน
ฉันยกขวดไวน์ที่เหลืออยู่ไม่มากนักขึ้นดื่มอีกครั้งจนหมด ก่อนวางลงบนโต๊ะกระจกอย่างกระแทกกระทั้นจนเกิดเสียงดัง เพื่อให้คนข้างๆ ได้รับรู้ว่ากำลังอารมณ์ไม่ดี
“โกรธอะไรฉันหรือเปล่า?”
และเหมือนสิ่งที่ทำเมื่อครู่จะประสบผลสำเร็จ เพราะวินดูจะร้อนตัวขึ้นมา ฉันจึงหันไปจ้องหน้าเขาด้วยสายตาไม่พอใจ
“ฉันมันน่าเบื่อมากไหม?”
อาจเป็นเพราะว่าตอนนี้กำลังเมาอยู่ก็ได้ จึงเผลอหลุดถามคำถามเชิงตัดพ้อออกไป ไม่งั้นจู่ๆ ความรู้สึกน้อยใจแบบไร้เหตุผลจะโผล่ขึ้นมาได้ไง ทั้งๆ ที่ปกติฉันไม่ใช่คนขี้น้อยใจเท่าไหร่นัก
“ไม่นะ เธอไม่ได้ดูน่าเบื่อเลย”
“งั้นฉันก็คงน่ารำคาญสินะ?”
“ไม่ใช่ เธอไม่ได้น่ารำคาญสักนิด”
วินเริ่มมีอาการอยู่ไม่สุข เมื่อเห็นท่าทีของฉันเปลี่ยนไป เขาขยับตัวนั่งหันหน้ามาทางฉันและทำสีหน้าจริงจังขณะตอบ
“แล้วทำไมวันนั้น...นายถึงไม่มาตามนัด”
“...!”
“ส่งไมลล์มาแทนทำไม?”
เพราะถูกย้อนพูดถึงเรื่องในอดีต ตอนที่ฉันนัดเขามาเพื่อขอคำตอบเรื่องความสัมพันธ์ และวินเองก็น่าจะเข้าใจว่าฉันหมายถึงนัดครั้งไหน ทำให้เขาชะงักนิ่งและสีหน้าดูเจื่อนลงอย่างชัดเจน
ดวงตาสีดำสนิทหลุบมองต่ำไม่กล้าสบสายตากันเหมือนทีแรก แถมริมฝีปากหยักสวยก็เม้มเข้าหากันเล็กน้อย คล้ายจะพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่กล้า และสุดท้ายวินก็รวบรวมความกล้าและยอมพูดออกมาจนได้
“ไมลล์มันบอกกับฉันว่ามันชอบเธอ”
“นายจะสื่อว่าเห็นไมลล์ชอบฉัน ก็เลยหวังดีอยากให้เราคบกันสินะ?”
“ถ้าฉันรู้ว่ามันจะทำกับเธอแบบนี้ วันนั้นฉันคงไม่ปล่อยให้มันไปหาเธอหรอก”
“หึ!”
ฉันสะบัดหน้าหนีอย่างหงุดหงิด ฟังแค่นี้ก็รู้แล้วว่าความรู้สึกตอนนั้น มีแค่ฉันที่คิดไปเองฝ่ายเดียวจริงๆ เขาไม่เคยชอบฉันเลย
“ฉันขอโทษ”
นิ้วชี้เรียวสวยถูกยื่นมาจิ้มต้นแขนฉันเบาๆ อย่างอนง้อ ทว่าฉันกลับสะบัดออกอย่างเคืองโกรธ หยดน้ำตาที่เริ่มคลอหน่วยและทำท่าจะไหลริน ทำให้ต้องเบือนหน้าหนีเพื่อไม่ให้เขาได้เห็น
“นายก็รู้ว่าฉันชอบนาย แต่นายกลับส่งผู้ชายคนอื่นมาแทน”
“…”
“แล้วเป็นไงล่ะ ไอ้ผู้ชายที่นายใส่พานถวายมาให้ ดูสิว่ามันทำอะไรไว้กับฉันบ้าง?”
“...”
“สมใจนายไหม?”
ฉันหันกลับไปจ้องหน้าวินอีกครั้งทั้งน้ำตา จากตอนแรกตั้งใจว่าจะซ่อนความอ่อนแอเอาไว้ แต่ตอนนี้กลับอยากให้เขารู้สึกผิดที่ทำฉันต้องร้องไห้
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ทุกอย่างมันเป็นความผิดของฉันเองทั้งหมด ขอโทษนะนับเก้า”
นิ้วแกร่งยื่นมาเกลี่ยหยดน้ำตาออกจากพวงแก้มให้ สีหน้าวินเองก็ดูรู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้กัน และมันทำให้ฉันใจอ่อนยวบ จนต้องหันหน้าหนีแววตาคู่นั้น
“ทำไมนะ ความรักของฉันถึงได้อาภัพทุกครั้งเลย?”
“…”
“ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกหรือว่าครั้งปัจจุบัน ก็ไม่เคยสมหวังสักครั้ง”
“…”
“…”
หลังจากที่ฉันระบายความรู้สึกในใจออกมาจนจบ เราทั้งคู่ก็พากันเงียบโดยไร้วี่แววว่าจะมีใครพูดอะไรต่อ
จนกระทั่ง...
“แล้วทำไม...ไม่ให้รักครั้งแรกของเธอได้แก้ตัวสักหน่อยล่ะ?”
ประโยคที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินหลุดออกมาจากปากวิน ฉันจึงค่อยๆ หันกลับไปมองเขาด้วยหัวใจที่กำลังเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ
แววตาคู่นั้นที่กำลังทอดมองมาสื่อความหมายอย่างชัดเจน ว่าเขาไม่ได้เอ่ยเล่นๆ แต่จริงจังในประโยคที่กล่าวออกมา ขณะฉันกำลังรู้สึกวูบไหวและสับสน กับการแสดงออกของเขาซึ่งดูยากจะคาดเดาอะไรได้
ไม่เจอกันนานร่วมสิบปี แถมระหว่างนั้นก็ไม่เคยติดต่อกลับมาเลยสักครั้ง ตอนจากไปก็ไปโดยไม่ล่ำลา ทำไมอยู่ๆ ถึงได้มาพูดอะไรชวนให้ใจสั่นแบบนี้นะ
ทั้งๆ ที่ผ่านมาแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นว่าไม่ได้สนใจกัน แล้วกลับมาทำเหมือนอยากจะสานสัมพันธ์ในวันนี้ทำไม?
“ขอโอกาสให้รักแรกของเธอ ได้แก้ตัวสักครั้งจะได้ไหม?”
