ตอนที่ 3
ฉันมองหน้าตัวเองในกระจกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตัดสินใจเดินออกมาจากห้องน้ำ จริงๆ แล้วฉันไม่ได้อยากอยู่ที่นี่นานนักหรอก แต่เพราะเป็นงานสำคัญของเพื่อนสนิทอย่างโพซีฉันจึงไม่ได้บ่นอะไรให้ยัยนั่นได้ยิน เรื่องที่ฉันลางานที่คลับสนุกเกอร์เพื่อมาร่วมแสดงความยินดีในงานเลี้ยงหมั้นของเธอ
ขาดงานวันเดียวคงไม่ถูกหักเงินเดือนเยอะหรอกมั้ง
พลั่ก!
“...???” ระหว่างที่ฉันกำลังครุ่นคิดเรื่องเงินอยู่นั่นเอง ผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องน้ำข้างๆ ก็ซวนเซไปติดผนังอย่างอ่อนแรง
เมาหรือเปล่าน่ะ
ฉันค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้ เพราะหมอนั่นฟุบหน้าเข้ากับผนังทำให้ฉันมองไม่ค่อยถนัดนัก นอกจากท่อนแขน ลำคอ และศีรษะด้านข้างฉันก็สังเกตอย่างอื่นไม่ได้เลย แต่ไม่เห็นได้กลิ่นแอลกอฮอล์เลยหนิ ท่าทางคงไม่ได้เมาอย่างที่คิด แล้วเขาเป็นอะไรล่ะ
“นายไหวหรือเปล่า” ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำให้ฉันกล้าที่จะยื่นมือเข้าไปประคองไหล่ของคนที่ไม่เคยรู้จักหน้าคร่าตากันมาก่อน
“ผมไม่เป็นไร” เขาพึมพำบอกเสียงเหนื่อยอ่อน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา ฉันรีบถอยออกห่างทันควัน
“...”
พริบตาแรกที่ประสานสายตากับดวงตาคมเข้มสีดำ ฉันรู้สึกได้ถึงแรงกระตุกเบาๆ ที่หัวใจ อารมณ์หวั่นไหวแบบประหลาดแผ่ซ่านเข้ามาในห้วงคำนึง ฉัน... ฉันเหมือนจะเคยเห็นหน้าเขาที่ไหนมาก่อน
“...”
เจ้าของใบหน้าเรียวยาวได้รูป เลิกคิ้วขึ้นสูง ดวงตาคมเข้มสีดำทอประกายไหวระริก ...เขามองสบสายตากับฉันแบบไม่กะพริบตานานเกือบนาที ก่อนที่เจ้าของใบหน้าหล่อเหลานั่นจะรู้สึกตัวแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นคลึงขมับตัวเองอย่างเหมื่อยล้า
“เพิ่งบินมาจากออสเตรเลีย สงสัยยังไม่หายเพลียเครื่องน่ะ เอ่อ... ว่าแต่หน้าเธอเหมือนคนที่ฉันรู้จักเลยนะ”
“...” ฉันเองก็รู้สึกคุ้นหน้าเขาเหมือนกัน
“...” เขาส่งยิ้มให้ฉัน ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก
ฉันรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบจากเครื่องปรับอากาศที่ปะทะลงบนพวงแก้ม คำพูดของผู้ชายคนนั้นสะกิดให้ฉันนึกถึงใครบางคน
“...”
ออสเตรเลีย... มินมิน พี่สาวฉันก็กำลังเรียนอยู่ที่นั่น
ว่าแต่หมอนั่นหน้าคุ้นชะมัด... เขาเป็นใครกันนะ ฉันเดินกลับเข้ามาในงานอย่างไม่หายข้องใจกับผู้ชายหน้าตาดีที่เจอหน้าห้องน้ำนั่น ความค้างคาใจทำให้ฉันสอดส่ายสายตาไปทั่วงานเพื่อมองหาเขา
“ฮั่นแน่ มองหาใครอยู่เหรอ” น้ำเสียงตื่นเต้นของโพซีดังขึ้นข้างหู เล่นเอาฉันสะดุ้งวาบด้วยความตกใจ ก่อนจะตวัดสายตาเขียวปัดไปมอง
“เปล่าไม่มีอะไร แล้วเธอลุกขึ้นมาจากโต๊ะทำไม”
“อ๋อ พอดีเพื่อนๆ พี่ท็อฟฟี่มากันเต็มโต๊ะเลย ฉันก็เลยสละที่นั่งตัวเองไป พวกหนุ่มๆ คงมีเรื่องคุยกันน่ะ”
“โห คนดี เข้าอกเข้าใจแฟน” ฉันล้อเลียนออกไปด้วยน้ำเสียงประชด พลางชำเลืองมองไปทางโต๊ะที่โพซีเพิ่งผละออกมา แล้วสายตาของฉันก็เหลือบไปเห็นผู้ชายคนที่เจอหน้าห้องน้ำเข้าพอดี หมอนั่นนั่งเก้าอี้ตัวติดกับท็อฟฟี่ ท่าทางสนิทกันน่าดู ตึกๆ ตึกๆ หัวใจฉันเต้นเป็นจังหวะแรงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำไมฉันต้องรู้สึกตื่นเต้นขนาดนี้กันนะ ความรู้สึกลิงโลดแบบนี้มันคืออะไรกัน ไม่เข้าใจ
“ว้ายนั่นเจ๊หนิ ไปหาเจ๊กัน”
“อะไรของเธอเนี่ยโพซี” ฉันร้องโวยวายเมื่อจู่ๆ โพซีก็ลากแขนพามาหาพี่เพริลที่กำลังนั่งคุยหัวร่อต่อกระซิกกันกับเพื่อนสาว คนเดียวกับที่โพซีบอกว่าน้องชายหล่อ
“เจ๊คุยไรกันอยู่เหรอ ขอซีกับเพื่อนแจมด้วยสิ”
“อะ โพซี นั่งสิ” เจ๊เพริลหันมาส่งยิ้มอย่างเป็นมิตร ก่อนจะชักชวนให้นั่งอย่างไม่ลังเล
“น้องซีจำพี่ได้ไหมคะ” เสียงหวานใสของเพื่อนพี่เพริลดังขึ้น
“อืม... ซีเคยเจอที่ร้านของเจ๊สองสามครั้ง แต่ไม่มีเวลาได้ทักทาย ต้องขอโทษด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“อ้อ นี่แคลเพื่อนพี่ ชุดที่ซีใส่วันนี้ก็ได้แคลนี่แหละช่วยเลือกเนื้อผ้า”
“จริงเหรอคะ” ยัยโพซีตาลุกวาวทันที
เอ่อ... แล้วฉันมานั่งทำอะไรตรงนี้เนี่ย รู้สึกเหมือนครอบครัวเขาจะคุยกัน แล้วตัวเองเป็นส่วนเกินยังไงบอกไม่ถูก แต่ดูเหมือนยัยโพซีจะจับพิรุธของฉันได้ ยัยนั่นจึงรีบเสนอหน้าพูดประโยคที่ไม่มีใครขอร้องออกมา
“น้องพี่แคลที่หล่อๆ ชื่ออะไรเหรอคะ”
“หืม” ทุกคนต่างจ้องหน้ายัยนั่นด้วยความประหลาดใจ แต่ว่าฉันรู้สึกอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้ว ให้ตายสิ
“อะไรกันซี มีคู่หมั้นอยู่แล้วทั้งคนยังจะมีใจไปคิดถึงผู้ชายที่ไหนอีก” พี่เพริลแขวะเบาๆ
“ฮ่าๆ น้องชายพี่คนไหนล่ะจ๊ะ พี่มีตั้งหลายคน”
“เอ่อ... ก็คนที่กำลังจะเปิดร้านอาหารที่หน้ามหาวิทยาลัยคลาเรียไงคะ”
“อ้อ คาเร็น”
“ว้าวชื่อเพราะจัง ว่าไหมอินอิน”
“ว่าไงนะคะ เมื่อกี้บอกว่ากำลังจะเปิดร้านหน้ามหาวิทยาลัยคลาเรียเหรอ” ฉันหูตาตั้งขึ้นมาทันควัน บางที... ถ้าฉันทำดีกับพี่แคลหน่อย อาจจะได้ที่ทำงานพิเศษใกล้มหาวิทยาลัยก็ได้ แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว
“อื้มใช่ค่ะ มีอะไรหรือเปล่า” พี่แคลหันมาสนใจฉันแทน
“เดี๋ยว ฉันไม่ได้ให้เธอคุยเรื่องงานกับพี่แคลสักหน่อย” ยัยโพซีเอ่ยขึ้นมาอย่างรู้ทัน ฉันจึงชักสีหน้าบึ้งตึงใส่ยัยนั่นไปทีหนึ่งก่อนจะสะบัดหน้าไปทางอื่น
“งาน? หมายความว่ายังไงเหรอ” พี่แคลเลิกคิ้วเรียวสวยขึ้นอย่างสงสัย ฉันจึงรีบส่งยิ้มแห้งๆ ให้พี่แคลพลางกระทุ้งศอกใส่ท้องโพซีไปหนึ่งที
“แฮร่ๆ มะไม่มีอะไรค่ะ แล้ววันนี้น้องชายพี่แคลไม่มาเหรอคะ ชื่ออะไรนะ”
“คาเร็นค่ะ ช่วงนี้ยุ่งๆ เรื่องเตรียมเปิดร้านก็เลยไม่ได้มา”
“อ๋อ...” ฉันพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ร้านใหม่งั้นเหรอ หุหุ หน้ามหาวิทยาลัยคลาเรียด้วย คงหาร้านที่มีเจ้าของชื่อคาเร็นได้ไม่ยากหรอก ว่างๆ จะลองแวะไปของานทำดู ถ้าบอกว่ารู้จักกับพี่แคลน่าจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ อิอิ
“นี่เธอคิดจะทำอะไรกันห๊ะ” โพซีดึงฉันเข้าไปกระซิบ
ฉันกระตุกยิ้ม “ก็เผื่อฉันได้งานทำใกล้ๆ มหาวิทยาลัยมันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ”
“ในสมองของเธอไม่เคยคิดอย่างอื่นเลยใช่ไหม นอกจากงาน”
แต่ก่อนที่ฉันกับโพซีจะเปิดฉากทะเลาะกันเสียงพี่เพริลก็ดังแทรกขึ้นมาซะก่อน “ซี ท็อฟฟี่เรียกแหนะ”
“อ้อ”
“ถ้างั้นซีขอตัวก่อนนะคะ ไปกันเถอะอินอิน”
ทำไมหล่อนต้องลากฉันไปไหนมาไหนด้วยทุกทีเลย เขาเรียกเธอ ไม่ใช่ฉันสักหน่อย ฉันเดินตามหลังโพซีมาอย่างหน้ามุ่ยๆ เพราะยังอยากอยู่ซอกแซกเรื่องร้านอาหารของคาเร็นน้องชายพี่แคลต่อ เพราะฉันชักจะสนใจแล้ว ฮิๆ คิดดูสิ เรียนเสร็จก็มาทำงานที่ร้านนั่น พอตกเย็นก็แวบไปทำงานต่อที่คลับสนุกเกอร์ เงินๆๆๆๆ $O$
“พี่ท็อฟฟี่ กำลังตามหาซีอยู่หรือเปล่าคะ” ยัยโพซีดึงฉันมาที่โต๊ะ ซึ่งตอนนี้พวกเพื่อนๆ ของท็อฟฟี่ต่างทยอยกันลุกขึ้นแล้วเดินไปรวมกลุ่มกันทางด้านหลัง ฉันมองอย่างไม่ใส่ใจก่อนที่สายตาจะปะทะเข้ากับสายตาลอยๆ ของใครบางคนที่มองผ่านมาพอดี ทันทีที่สบตากับเขาก็รู้สึกเหมือนว่าท้องไส้กำลังปั่นป่วน ราวกับมีกระแสไฟฟ้าแรงสูงไหลผ่านร่าง รีบหลบสายตาหมอนั่น เบือนไปมองทางอื่นอย่างรวดเร็ว
“ใช่ จะเรียกให้มาถ่ายรูป”
“อ้อ” โพซีพยักหน้าเข้าใจ
“^^” ท็อฟฟี่ยิ้มหวาน
“นี่อินอินเธอมองไปทางไหนกัน มานี่พวกเราจะถ่ายรูปกัน” ยัยโพซีดึงฉันเข้าไปกระซิบ
“ฉันด้วยเหรอ” ฉันชี้ใส่ตัวเองพลางทำหน้าเหลอหลา
“ใช่สิ ก็เธอเป็นเพื่อนสนิทฉันหนิ” โพซียืนยันเสียงหนักแน่น
ฉันลอบกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ กวาดสายตาสำรวจพวกผู้ชายนับสิบคนที่ยืนล้อมหน้าล้อมหลังอย่างรู้สึกลายตา พวกนี้เป็นเพื่อนของท็อฟฟี่หมดงั้นเหรอ โฮกกกกก คัดเฉพาะหน้าตากันมาเลยใช่ไหม ประกายความหล่อแต่ละคนช่างวิบวับแยงตาจนฉันตาพร่าไปหมด
โพซีดึงฉันไปยืนข้างๆ อย่างไม่ถามความสมัครใจสักคำ ฉันกำลังจะสะบัดมือและคิดไปยืนหลังยัยนั่นจะได้ไม่ต้องเด่นมาก แต่จังหวะที่สะบัดมือและหันหน้ามาอีกฝั่งเพื่อกลับหลังหัน ฉันก็ชะงักกึกเมื่อปลายจมูกชนเข้ากับแผ่นอกของใครบางคนที่หันมาพอดี
“โอ๊ย” ฉันลูบจมูกตัวเองป้อยๆ มันไม่ได้เจ็บมากหรอก แต่ร้องออกมาเพราะตกใจต่างหาก
“เอ่อ โทษที เป็นอะไรหรือเปล่า?” เขาจับมือที่กำลังแตะๆ คลำๆ ปลายจมูกตัวเองออกอย่างเบามือ นั่นทำให้ฉันได้มองหน้าของเขาชัดขึ้น
ผะผู้ชายคนนั้น...
“มะไม่เป็นไรค่ะ” ฉันรีบชักมือกลับ รู้สึกงุ่นง่านยิ่งกว่าเดิมอีก
“ฉันไม่อยากจะเชื่อ ยิ่งมองเธอก็ยิ่งเหมือน...”
“คิดจะไปไหนน่ะ เธอต้องยืนข้างฉัน”
ฉันกำลังตั้งตารอฟังคำพูดจากปากของหมอนั่น อยากรู้ว่าเขาจะบอกว่าฉันเหมือนใคร แต่เสียงของโพซีก็ดังแทรกขึ้นมาซะก่อน แถมยัยนั่นยังฉุดต้นแขนฉันให้หันกลับไปด้วย ปิดฉากการสนทนาระหว่างฉันกับหมอนั่นไปอย่างน่าเสียดาย
ชิ! ทำไมฉันต้องหงุดหงิดแบบนี้ด้วยนะ ไม่ชอบใจเอาซะเลย
“อ้าวทุกคนพร้อมนะครับ ยิ้มครับ... หนึ่ง สอง สาม...”
แชะๆๆๆๆๆๆ
