บทที่ 4 ตอน กำลังอ่อย?
@ บนรถ
หลังจากที่ทั้งสองสยบศึกอันเร่าร้อนทั้งคู่ก็ต่างพากันเงียบ หญิงสาวรวบรวมความกล้าตัดสินใจเอ่ยถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัย เขาเป็นถึงหมอหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาและแสนจะแพรวพราวขนาดนี้น่าจะมีแฟนอยู่แล้วไม่น่าจะโสดที่เขาเที่ยวสถานที่แบบนี้ น่าจะมาเที่ยวเพื่อหาที่ระบายความใคร่หาความสุขชั่วคราวตามประสาผู้ชาย
“หมอมีแฟนรึยังคะ?”
“ยังไม่มีและยังไม่คิดเรื่องนี้ ฉันยังไม่อยากมีภาระหรือความผูกพันกับใคร ส่วนเรื่องระหว่างเราจะเป็นแค่คู่นอนเวลาฉันเหงา ฉันต้องการฉันก็จะเอามาเอาเธอจนฉันเบื่อแล้วฉันจะปล่อยเธอไป ส่วนเงินที่เธอเป็นหนี้ฉันจะใช้ให้และครอบครัวเธอจะได้สิทธิการดูแลการรักษาพยาบาลฟรีในระหว่างที่เธออยู่กับฉัน อีกอย่างที่เธอควรท่องให้ขึ้นใจและจดจำมันไว้คืออย่ายุ่งเรื่องส่วนตัวของฉันถ้าฉันไม่สั่ง ผู้หญิงที่ยุ่งเรื่องส่วนตัวฉันมักจบไม่สวยจำไว้”
“รู้แล้วน่า!! ว่าแต่หมอชื่อจริงว่าอะไรอายุเท่าไหร่ฉันขอถามอีกข้อแล้วจะไม่ถามอะไรอีกค่ะ”
“ออสติน อัครเรศ มงคลธรัตน์ อายุจะสามสิบแล้วทำงานโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งซึ่งเธอไม่จำเป็นต้องรู้ในส่วนนี้”
“พระเจ้าสะ…สามสิบเลยเหรอ หมอพูดเล่นรึเปล่า” เธออุทานออกมาด้วยความตกใจในสิ่งที่หมอหนุ่มเอ่ย
“จะสามสิบแล้วจริงๆ ทำไมหน้าฉันเด็กขนาดนั้น?” ใบหน้าของเขายังอ่อนกว่าวัยที่เขาเอ่ยไปมาก เธอเดาว่าเขาคงเป็นหมอหนุ่มจบใหม่อายุน่าจะไม่เกินยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดแต่เกินคาดจริงๆ
“ขอเคล็ดลับการโกงอายุหน่อยหมอ ฉันอยากหน้าเด็กแบบนี้ตลอด” คำพูดของเธอทำเอาหมอหนุ่มหลุดขำ ทั้งสีหน้าแววตาน้ำเสียงของเธอ
“น้ำที่ฉันให้เธอช่วยให้เธอหน้าอ่อนเยาว์” เธอเบิกตากว้างพลางลูบที่ใบหน้าของตัวเอง มันจริงๆเหรอ
“จริงเหรอหมอ ช่วยจริงๆเหรอ?”
“เดี๋ยวก็รู้เอง ไปลงไปซื้อยากินซะ พลาดท้องขึ้นมาคนที่จะซวยคือเธอ” ธนบัตรแบงก์พันยื่นให้เธอก่อนที่เธอจะหอบสังขารลงไปซื้อยาตามคำสั่ง
“ถือว่าสมราคาที่จ่ายไป!” หมอหนุ่มกดยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจ มองคนเล็กเดินลงไปซื้อยา พลางกดส่งข้อความลางานไปยังผู้เป็นพ่อ ดึกดื่นป่านนี้แล้วผู้เป็นพ่อก็ยังไม่นอนยังเปิดอ่านข้อความของลูกชายก่อนจะโทรกลับหาลูกชาย
“เฮลโลพ่อว่าไง”
“หมอตินแกเป็นบ้าอะไรร้อยวันพันปีไม่เห็นลางาน ไม่สบายหรือเปล่า?” ตั้งแต่ลูกชายทำงานมาออก้าไม่เคยเห็นลูกชายลางานเลยสักครั้ง นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่คนบ้างานอย่างออสตินลางานได้
“ผมติดเคสที่ต่างจังหวัดเลยไม่สะดวก”
“ไหนเคยบอกพ่อว่าไม่รับเคสต่างจังหวัด เกิดอะไรขึ้นกับหมอ? หมอล้มหัวฟาดพื้นสมองเละเลือนหยิบยากินผิดขวดหรือใครบังคับ?”
“ผมโตแล้วนะพ่อ ผมตัดสินใจได้ พ่อก็พูดเว่อร์เกินไป ผมรับเคสเดียวพอ แค่นี้นะพ่อผมกำลังเดินทาง” หมอหนุ่มถึงกลับถอนหายใจลากยาวด้วยความเบื่อหน่ายจากคำถามที่สุดแสนจะเซ้าซี้ของผู้เป็นพ่อ
“เดี๋ยวหมอออสติน งานที่พ่อสั่งถึงไหนแล้วช่วยรายงานพ่อด้วย ไอ้หมอไอ้ลูกเวร!”
ตู๊ด~~ พอฉันเดินขึ้นมานั่งบนรถก็เจอสายตาพิฆาตกดดันของหมอบ้าคนนี้มองมาที่ซองยาในมือฉัน ฉันกินแน่ไม่ปล่อยท้องและใช้วิธีโง่ๆนี้จับเขาหรอกน่า ฉันไม่เอาอนาคตของตัวเองมาทิ้งเพราะความสัมพันธ์ชั่วคราวแบบนี้หรอก
“น้ำไม่มีเหรอ แล้วฉันจะกินยายังไงล่ะ?” ฉันถามพลางส่งสายตาสอดส่องค้นหาขวดน้ำในรถ นี่เขาไม่พกน้ำติดรถเลยเหรอ ไม่หิวระหว่างทางเลยรึไง
“ไม่มี มีแต่ขวดที่เปิดแล้ว ฉันพึ่งดื่มไปอึกเดียวเอาไปสิ” ฉันกลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่ นี่ฉันต้องกินน้ำขวดเดียวกันกับเขางั้นเหรอ หัดพกน้ำบ้างนะบางที ฉันรับขวดน้ำมาสำรวจ น้ำที่เอาไว้ดื่มจริงๆใช่ไหม ไม่ใช่น้ำบ้วนปากเขาแน่นะ
“รังเกียจ?” เขาเลิ่กคิ้วถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความกดดันทางสายตาเพื่อจ้องเอาคำตอบ
“ก็นิดหน่อย” ฉันตอบแบบตรงไปตรงมาตามที่ฉันรู้สึก และฉันก็อยากยกมือขึ้นตบปากตัวเองหลายๆที เพราะคำพูดของฉันทำเขาหัวเสียอย่างมาก ฉันสัมผัสได้ผ่านสายตาอำมหิตของเขาที่จ้องเขม้งมาที่ฉัน ถ้าเขาสามารถจับฉันชำแหละได้เขาคงทำไปแล้ว
“กินได้ฉันแค่ล้อเล่นน่า หมอจ้องแบบนี้ทำฉันกลัวเลยนะ…”
“ก็ไม่เคยมีใครแสดงสีหน้าท่าทางยิ่งผยองและบอกกับฉันว่ารังเกียจฉันเหมือนที่เธอทำ เธอกล้านะ”
“……” ฉันเลือกที่จะเงียบและหยิบน้ำขึ้นมากระดกพร้อมยาหนึ่งเม็ด ใช้เวลาไม่นานพวกเราก็มาถึงสนามบินและใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงนิดๆถึงสนามบินปลายทาง ตาของฉันจะปิดแล้วแบตโทรศัพท์ก็เหลือน้อยมากๆ
“ช่วยทำหน้าให้มีชีวิตชีวาหน่อย ทำหน้าอมทุกข์ขนาดนี้เป็นอะไร บางทีคนที่จะตายอาจจะใช่พ่อเธอแต่น่าจะเธอมากกว่านะดูจากสภาพแล้ว” นั่นปากหรืออะไรพูดออกมาแต่ล่ะคำทำเอาฉันเจ็บปรี๊ดและหน้าชาในเวลาเดียวกัน
“เหนื่อยเพลียๆใกล้ตายเหมือนที่หมอพูดนั่นแหละ แล้วเมื่อไหร่รถจะมาสักทีอยากไปเจอพ่อแม่แล้ว”
“คืนนี้เธอต้องพักก่อนเพราะดูจากสภาพแล้วไม่น่ารอด อยากไปให้พ่อแม่เห็นในสภาพที่ดูไม่ได้แบบนี้เหรอ เชิญ!” ฉันก้มสำรวจตัวเองจริงด้วยฉันไม่ควรไปในสภาพนี้เสื้อผ้าที่สั้นจิ๋วและเชิ้ตตัวโคร่งๆของผู้ชายที่สวมทับครอบครัวฉันคงเกิดคำถามหนักแน่ๆ
“เธอน่าจะมีไข้ไปถึงโรงแรมแล้วหายากินด้วย อย่าพึ่งรีบตายเพราะเธอยังต้องชดใช้ในสิ่งที่ฉันเสียไปอยู่ ฉันยังได้ไม่คุ้มเสีย!”
“รู้แล้วน่า ไม่ต้องย้ำหรอก!”
“เธอดูไม่ตื่นเต้นหรือเสียใจกับเซ็กช์ครั้งแรกเลยนะมันไม่ดีสำหรับเธอรึไง?”
ทำไมเขาต้องถามเพื่อขยี้หัวใจที่บอบซ้ำของฉันด้วยนะ ฉันอุตส่าห์ไม่พูดถึงมัน ใครบอกว่าฉันไม่รู้สึก ฉันรู้สึกสิรู้ว่าตัวเองไม่มีค่าขนาดไหนพ่อแม่พร่ำสอนให้รักนวลสงวนตัวแต่ฉันกลับทำแบบนี้ฉัน ยอมปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้คนที่พึ่งรู้จักไม่กี่ชั่วโมง ปล่อยให้มาพรากความบริสุทธิ์ที่รักษาและหวนแหนมันมานาน ถึงฉันจะเสียใจมากแต่ฉันก็ไม่อยากจะร้องไห้แสดงความน่าสมเพชออกมาเพราะฉันได้ตัดสินใจทำมันไปแล้ว
“มันก็ดีแหละ แต่มันก็ไม่ดีตรงที่ที่ฉันเสียความบริสุทธิ์ควรเป็นที่ที่ดีกว่าตรงนั้น” ที่นั่นทั้งมืดและเต็มไปด้วยป่าทึบ
“ก็มันฉุกเฉินมีเวลาจำกัด ว่าแต่พ่อแม่เธอชื่ออะไรมีใครบ้างในครอบครัวเธอ?”
“พ่อฉันชื่อ นาย ทรงศักดิ์ ภาคฤทธิ์ ส่วนแม่ของฉันชื่อนาง พิกุล ภาคฤทธิ์ และฉันมีน้องสาวคนหนึ่งชื่อ เพชรพริ้ง กัญญ์วรา อายุสิบเจ็ดปีนิดๆเป็นน้องสาวคนเดียวของฉันแล้วหมอล่ะมีน้องสาวน้องชายหรือพี่ไหม?”
“มีพี่สาวแอลลี่ ตอนนี้เธออยู่ต่างประเทศน่าจะได้กลับมาไทยปีนี้เพราะเธอพึ่งเรียนจบแพทย์เฉพาะทาง แถมคว้าเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากอังกฤษกลับมาด้วย” ถ้าฉันเป็นพ่อแม่คงยิ้มแก้มแตกไปแล้ว ที่มีลูกสาวเก่งขนาดนี้ เก่งชะมัดเลยแหละ ครอบครัวเขาคงเป็นครอบครัวแพทย์ทั้งครอบครัวสินะ ต้นทุนพวกเขาดี สามารถเรียนคณะที่แพงๆเดินตามความฝันได้
“สวัสดีครับ คุณใช่ นายแพทย์ อัครเรศไหมครับ ผมเป็นตัวแทนจากโรงแรม Veviii มารับคุณหมอตามคำสั่งครับ”
“ใช่ผมอัครเรศ ส่วนนี่เพื่อนผมช่วยเปิดอีกห้องให้เธอด้วยนะ”
“เอ่อ…หมอครับทางโรงแรมคิดว่าหมอมาคนเดียว เลยจัดเตรียมที่พักไว้เพียงหนึ่งห้อง ตอนนี้ทางโรงแรมห้องเต็มทุกห้องแล้วด้วยครับเหลือเพียงห้องใหญ่ห้องเดียวของหมอ”
“ฉันไปนอนที่โรงพยาบาลกับแม่ฉันก็ได้นะ” ฉันสะกิดหมอออสตินเบาๆ
“นอนด้วยกันนี่แหละ ไปขึ้นรถ!”
“ขึ้นรถเดี๋ยวนี้จะยืนหน้าเหวออีกนานไหม” แล้วคนอย่างฉันจะสามารถปฎิเสธอะไรบ้าง คงไม่ได้เลยแหละนอกจากเดินขึ้นรถ ฉันเพลียมากจนเผลอหลับไป มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนโดนมือหนาสากตบลงที่หน้าฉันเบาๆเพื่อปลุกฉันให้รู้สึกตัวกำลังเคลิ้มฝัน
“ถึงแล้วอดหลับอดนอนมาจากไหน นอนน้ำลายเหนียวยืดขนาดนี้”
“หมอบ้า” ฉันผลักไอ้หมอบ้าตรงหน้าให้ห่างฉันก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดน้ำลาย น่าอายชะมัด!
“ทำบ้าอะไรของเธอเนี่ย ผลักฉันทำห่าเหวอะไรวะ!”
“ขอโทษทีหมอฉันฝันร้าย เห็นหน้าหมอแล้วทำให้ฉันฝันถึงผีญี่ปุ่น”
“เธอหลอกด่าฉัน!” เขากรอกเสียงเข้มพร้อมสายตาที่ไม่เป็นมิตรมองที่ฉัน
“เปล่าสักหน่อย” ฉันเลิกต่อปากต่อคำแล้วลงมาจากรถตอนนี้ อยากจะคลานขึ้นห้องมากเพราะช่วงล่างของฉันเจ็บสาหัสสากรรจ์อยู่ไม่น้อย มันแสบนิดๆ พอหันไปเห็นต้นเหตุของความเจ็บที่ฉันได้รับ ฉันอยากจะเดินเข้าไปกัดหูเขาสักสามสี่ทีและฝนเล็บลงบนใบหน้าคมคายให้หน้าเสียโฉมไปเลย
“ถึงแล้วครับนี่คีย์การ์ดเข้าห้องนะครับ”
“อืม ไปพักเถอะ” หมอยกมือเชิงไล่ก่อนจะแตะคีย์การ์ดเดินเข้าสำรวจห้อง
“ไปอาบน้ำฉันจะโทรให้คนเตรียมเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยนเพราะสภาพเธอมันแทบไม่ได้” หมอเอ่ยด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง หญิงสาวได้แต่บ่นอุบอิบในลำคอเบาๆถึงเอาเอาแต่ใจของเขา
ทันทีที่น้ำไหลผ่านลำตัวลงไปสู่จุดนั้นเธอสดุ้งตัวโหย่งเมื่อได้สัมผัสความปวดแสบที่ส่วนนั้นเธอก้มต่ำไปมองสำรวจส่วนนั้นที่ทั้งแดงและบวมจากแรงกระแทกที่หมอบ้ากามคนนี้ มอบให้เธอ การอาบน้ำชำระร่างกายเต็มไปด้วยความทุลักทุเลทั้งความง่วงและความเจ็บ
ปึง! ปึง!
“นอนตายข้างในไปแล้วรึไง? ออกมาสักทีฉันจะอาบน้ำฉันง่วงแล้ว” หมอหนุ่มกดเสียงต่ำ
“ใกล้จะเสร็จแล้ว”
แกร๊ก~ ประตูค่อยๆเปิดออกมาพร้อมหญิงสาวที่สวมเพียงผ้าขนหนผืนบางเดินออกมา เนินอกขาวจั๊วะ เนื้อตัวที่นวลผ่องสะอาดสะอ้านทำหมอหนุ่มแอบกลืนน้ำลายไปเฮือกใหญ่ไปกับสิ่งเย้ายวนตรงหน้า “เช็ดน้ำลายด้วยหมอ!”
“กำลังอ่อย อยากโดนอีกว่างั้น?” หมอหนุ่มยืนกอดอกถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไม่ได้อ่อย! หยุดความคิดบ้าๆของหมอซะเพราะฉันไม่ไหวแล้ว!” เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆก่อนจะผลักคนตรงหน้าแล้วเดินมานั่งที่เตียงขนาดกว้างที่แสนจะนุ่มสบาย
เตียงที่หอเธอมันทั้งเก่าและแข็งทำให้เธอปวดหลังอยู่บ่อยครั้ง ถ้ามีเตียงนุ่มๆแบบนี้ที่ห้องคงจะดีไม่น้อยแต่จะเอาปัญญาที่ไหนมาซื้อได้นอกจากการนอนฝันและจินตนาการ
