Chapter 6: Pure sin [2/1]
สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนทั้งหมด กานต์ต้องยอมรับแล้วล่ะว่าเขาไม่ได้คิดกับผู้ชายคนนั้นเพียงแค่ผู้อุปการะ ไม่ว่าจะเพราะเสน่ห์ของออสตินหรือปัจจัยใดก็ตามที่ล่อลวงเขาให้เผลอคิดไปไกลกว่าสถานะที่ควรจะเป็น แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องยินยอมรับความรู้สึกที่ผุดพรายขึ้นมาในใจของตัวเองอย่างชัดเจนอยู่ดี
เขากำลังหลงใหลออสติน...
นอกจากจะสนใจฟังเรื่องราวของเขาผ่านปากของมาเรียแล้ว เด็กหนุ่มยังปลดปล่อยตัวเองโดยใช้ผู้ชายคนนั้นช่วยในการจินตนาการทุกครั้ง บางครั้งก็ลอบไปหยิบยืมเสื้อของออสตินที่แขวนอยู่ในตู้มากอดก่ายเป็นอุปกรณ์ช่วยสำเร็จความใคร่ เพ้อพกไปว่าเสื้อที่กอดอยู่ในอ้อมแขนนั้นคือร่างกายแกร่งของอีกฝ่าย บางครั้งก็ใช้น้ำหอมที่ออสตินให้เป็นของขวัญมาฉีดพรมบนร่างกายของตัวเองให้กลิ่นอันคุ้นเคยอบอวลอยู่รอบข้าง หลับตาพริ้มฝันละเมอไปว่าบนเตียงภายในห้องนอนของเขามีผู้ชายคนนั้นอยู่ด้วย จนทำให้พักนี้เด็กหนุ่มช่วยตัวเองบ่อยเกินกว่าปกติ
มันเป็นความบาปอันบริสุทธิ์ที่กานต์ไม่อาจหลีกเลี่ยง...
แต่ยังดีกว่าจะต้องมาปล่อยให้กำหนัดพร่างพรายขณะที่อยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย กานต์คิดเข้าข้างตัวเองว่าตราบใดที่สิ่งที่เขาจินตนาการไม่ได้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อผู้มีพระคุณ มันก็คงจะไม่เป็นอะไร
...คิดไปเองว่าไม่เป็นอะไร
เอาเข้าจริงแล้ว เด็กหนุ่มไม่สามารถควบคุมจินตนาการของตัวเองได้ดีขนาดนั้น เผลอทีไรคิดเตลิดเปิดเปิงไปทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ได้อยู่กับออสติน
บางทีเขาอาจจะต้องบอกออสตินแล้วว่ารสนิยมทางเพศของเขาเป็นแบบไหน เขารู้ว่าตัวเองชอบเพศเดียวกันมาตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมต้นแล้ว แต่ไม่คิดว่ามันจะสำคัญจึงไม่ได้บอกกับออสตินไป หากแต่พอคิดจะบอกก็กลายเป็นเรื่องยาก จะให้บอกไปตามตรงก็กลัวเหลือเกินว่าออสตินจะรับไม่ได้ที่เด็กในอุปการะของเขามีรสนิยมทางเพศที่ผิดธรรมชาติไป ถึงในปัจจุบันนี้การที่เป็นเกย์มันจะไม่ผิด ทว่ากานต์ก็ไม่รู้ว่าออสตินจะมีมุมมองต่อกลุ่มคนเพศทางเลือกแบบไหน
ถ้าหากว่ารับไม่ได้ขึ้นมาล่ะ เขาจะทำอย่างไร?
เด็กหนุ่มครุ่นคิดอยู่หลายวัน ชั่งใจอยู่หลายที ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะบอกหรือไม่บอกดี ทว่าเขาก็ไม่สามารถที่จะเก็บงำแรงขับจากภายในของตัวเองได้เหมือนกัน
ไม่ว่ายังไงก็ต้องบอก...ต่อให้รับไม่ได้ก็ต้องบอก ถือเสียว่าเขาแสดงความจริงใจต่อคนที่เป็นสมาชิกในครอบครัวของเขาก็แล้วกัน
ทว่ายังหาโอกาสบอกไม่ได้สักที พอตัดสินใจจะบอก ทุกคำพูดก็ถูกกลืนลงคอไปทั้งหมดเมื่อถูกสายตานิ่งเรียบของออสตินจ้องมอง
เขายังคงหวาดเกรงสายตาที่เต็มไปด้วยอำนาจคู่นั้น...วันนี้ก็เช่นกัน ทั้งที่อุตส่าห์ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะบอกให้ได้ หากแต่เมื่อพบกับออสตินในตอนเช้า กานต์กลับรู้สึกละอายใจขึ้นมากับสิ่งที่เขาทำลงไปลับหลังอีกฝ่าย จนสุดท้ายไม่ได้พูดอยู่ดี ได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปเหมือนกับปกติทุกวัน
“อยากไปไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า”
ออสตินถามขณะที่ขับรถออกจากรั้วบ้าน วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เขาสัญญากับลูกเลี้ยงเอาไว้ว่าทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ ทั้งคู่จะออกจากบ้านไปทำกิจกรรมพิเศษๆ ร่วมกัน ถือว่าวันนี้เป็นวันแห่งครอบครัว
กานต์ซึ่งนั่งอยู่ข้างคนขับส่ายหน้าน้อยๆ เขาไม่มีที่ไหนอยากไปเป็นพิเศษ จริงๆ แค่ได้อยู่บ้านกับออสตินตามลำพังเท่านั้นก็พอใจแล้ว
“ไม่อยากไปไหนเลยจริงๆ เหรอ”
ออสตินถามมาอีก กานต์มาอยู่ที่นี่ได้เกือบเดือนแล้ว แต่ไม่ค่อยได้ออกไปไหนสักเท่าไร อันที่จริงก็เป็นความผิดของเขาที่ไม่ค่อยมีเวลาให้นอกจากช่วงอาทิตย์แรกที่กานต์มาอยู่ที่นี่
“ครับ”
“ไม่ต้องเกรงใจฉันหรอกนะ ฉันสัญญากับเธอแล้วว่าจะพาเธอไปเที่ยว อยากไปที่ไหนก็บอกฉัน”
“ผมไม่ได้มีที่ไหนอยากไปเป็นพิเศษจริงๆ ครับ”
แต่ผมอยากอยู่กับแด๊ดดี้มากกว่า...
กานต์อยากจะต่อประโยคนี้ ทว่าก็กลืนมันลงคอไปหมด ออสตินละสายตาจากถนนเบื้องหน้ามามองหน้าของเด็กหนุ่มเล็กน้อย
“เธอนี่แปลกดีนะ ปกติแล้วพวกวัยรุ่นน่าจะชอบไปเที่ยวเล่นสิ หรือจะเป็นพวกชอบเก็บตัว”
พูดมาอย่างนั้น กานต์เลยพยักหน้ารับเลยตามเลย
“งั้นไปนั่งเล่นที่คาเฟ่แถวนี้แล้วกัน ไหนๆ ก็ออกมาแล้ว”
ออสตินตัดสินใจเอง ไม่บังคับเด็กหนุ่มหรอกในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากไป กานต์ก็ไม่ปฏิเสธ ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ขับรถไปตามทางจนกระทั่งถึงที่หมาย
ร้านกาแฟขนาดย่อมถูกเลือกเป็นจุดหมายของวันนี้ ออสตินมาที่ร้านนี้ค่อนข้างบ่อยจนเรียกได้ว่าเป็นลูกค้าประจำ เขาชอบร้านนี้เพราะไม่มีคนพลุกพล่าน เหมาะสำหรับใช้เป็นที่พักผ่อนสมองยามเครียดๆ เพราะการตกแต่งของร้านให้บรรยากาศอบอุ่น เมื่อได้จิบกาแฟหอมๆ ระหว่างนั่งพัก ก็รู้สึกเหมือนกับได้ปลีกเข้าสู่โลกส่วนตัว ตัดขาดจากความวุ่นวายทันใด
แต่กานต์ไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลยสักนิด เขาเพียงปรายตาสำรวจบรรยากาศของร้านเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนที่จะเดินตรงไปนั่งยังเก้าอี้ในสวนข้างๆ ร้าน รับเมนูมาเลือกเครื่องดื่มและของหวานตามคำสั่งของผู้ปกครอง
“ถ้าเธอไม่ชอบดื่มกาแฟ ก็สั่งไอศกรีมหรือของหวานอะไรมากินเล่นก็ได้”
“ถ้างั้นผมเอาอันนี้ก็แล้วกันครับ”
นิ้วไล่ชี้ส่งๆ ไป ออสตินชำเลืองมองก่อนจะหันไปสั่งบริกร
“สตรอว์เบอร์รีพายพาร์เฟต์ที่นึง”
“รับวิปครีมด้วยไหมครับ” บริกรถามเมื่อเห็นว่าเมนูนี้มีออปชันพิเศษเสริม
“ว่าไง เอาด้วยไหม” ออสตินถามคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ครับ” ทั้งที่ไม่ได้อยากกินแท้ๆ แต่ก็ตอบรับไป
ออสตินสั่งตามที่เด็กหนุ่มบอก ก่อนจะสั่งเมนูนั้นให้ตัวเองด้วย แต่ของเขาไม่ได้สั่งวิปครีมเพิ่มแต่อย่างใดเพราะเขาไม่ใช่คนที่ชอบกินของหวานสักเท่าไรนัก
รออยู่ครู่หนึ่ง ไอศกรีมหน้าตาน่ารับประทานก็มาเสิร์ฟอยู่ตรงหน้า กานต์นั่งเหม่อจนไม่รับรู้ว่าตอนนี้เมนูที่เขาสั่งถูกยกมาวางเรียบร้อยแล้ว ได้สติก็ตอนที่ออสตินร้องเรียก
“กานต์”
“ครับ”
“กินสิ” ว่าพลางพยักพเยิด
กานต์มองถ้วยไอศกรีมแล้วพยักหน้า คว้าช้อนขึ้นมาถือในมือมั่น
เมื่อครู่นี้ที่เขาเหม่อ...เผลอจินตนาการไปไกลอีกแล้ว
จินตนาการไปว่าจะเป็นยังไงถ้าไอศกรีมพวกนี้ถูกราดลงบนตัวของเขาแล้วออสตินมาละเลียดชิมความหวานเย็นจากตัวของเขา...
คิดแล้วก็ต้องมานั่งสำนึกผิด ขนาดอยู่ต่อหน้าออสติน เขายังไม่วายที่จะหมกมุ่นเรื่องอย่างว่าพวกนั้น
ความคิดลามกพวกนี้จะต้องเป็นความบาปที่ซาตานล่อลวงเขาให้คิดอย่างแน่นอน แต่มนุษย์เราจะทนทานต่อการล่อลวงของซาตานได้นานแค่ไหน?
คำถามนี้กานต์ตอบไม่ได้หรอก แม้แต่ตัวของอดัมและอีวาซึ่งเป็นบุตรแห่งพระเจ้าเองก็ยังเผลอไผลไปกับสิ่งเย้ายวนใจจนความปรารถนาผลักดันให้ต้องละเมิดกฎแห่งสวรรค์เลย
กานต์เองก็เช่นกัน...ความปรารถนาของเขาพุ่งทะยานขึ้นไม่มีหยุดหย่อนในทุกๆ วัน ไม่ต่างจากนักปีนเขาที่ดันทุรังจะไต่ไปให้ถึงยอดเขาเอเวอร์เรสต์ทั้งที่รู้ว่าข้างหน้ามีอุปสรรคนานัปการที่ทำอันตรายเขาถึงแก่ชีวิตได้ หากก้าวพลาดแม้แต่ก้าวเดียว มีหวังคงมีสภาพน่าอดสูมากเลยทีเดียว
ออสตินก็เหมือนยอดเขาลูกนั้น...สูงเสียดฟ้าตั้งตระหง่านไม่หวั่นต่อสิ่งใด ทำเอานักปีนเขาตัวเล็กๆ อย่างกานต์หวั่นใจทุกครั้งที่สับสลักปีนเขาไต่ขึ้นไปตามร่องหินสูงชัน
เขาจะพลาดตกลงมาเมื่อไรก็ไม่รู้...ถ้ายังรักตัวกลัวตาย เห็นทีจะต้องหยุดพักแล้วไต่ลงมาเพื่อความปลอดภัย
เด็กหนุ่มลอบระบายลมหายใจ ตักไอศกรีมเข้าปากราวกับจะให้ความเย็นจากของหวานในถ้วยตรงหน้าบรรเทาความร้อนรุ่มใจ
ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลของออสตินจับจ้องคนตรงข้ามนิ่ง ท่าทางรีบร้อนผิดปกติของลูกเลี้ยงทำให้เขาต้องเอ่ยปากปราม
"ค่อยๆ กิน มันไม่ละลายหนีเธอไปไหนหรอก"
กานต์ชะงัก จากนั้นก็ผ่อนความเร่งรีบลง ออสตินมองอย่างพอใจ ครู่หนึ่งก็ต้องหัวเราะในลำคอออกมาเมื่อเห็นว่าที่มุมปากของเด็กหนุ่มมีวิปครีมสีขาวเปรอะเปื้อนอยู่
"บอกให้ค่อยๆ กินไง"
พลันก็เอื้อมมือมาใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบนั้นออกให้ สัมผัสอุ่นๆ บนปลายนิ้วสากทำให้กานต์ต้องชะงักงัน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นตะลึงงันเมื่ออีกฝ่ายดึงมือกลับไปและแลบลิ้นเลียวิปครีมที่ติดปลายนิ้วนั่น
"แด๊ดดี้..."
ออสตินดูดปลายนิ้วเล็กน้อย ทำเอาคำพูดที่กานต์ตั้งใจจะพูดถูกกลืนหายไปในลำคอจนหมด
"อร่อยดี รู้อย่างนี้ฉันจะสั่งเพิ่มวิปครีมเหมือนกับเธอ"
คำพูดนั้นแทบไม่เข้าหูของเด็กหนุ่มเลย เขารู้สึกแต่เพียงว่าใบหน้าเห่อร้อนจนลามถึงลำคอไปหมด
แด๊ดดี้ของเขา...กำลังจะกลายร่างเป็นงูที่ล่อลวงอดัมกับอีวาให้ละเมิดกฎสวรรค์
เด็กหนุ่มกำช้อนในมือแน่น เขาไม่แน่ใจแล้วว่าควรเหวี่ยงสลักไปเกี่ยวหินเบื้องหน้าแล้วปีนสู่ยอดเขาต่อดีหรือไม่
"ขอฉันชิมสักคำ"
มีแต่ออสตินเท่านั้นที่ไม่ล่วงรู้ความคิดวุ่นวายของเด็กหนุ่มเลย ถือวิสาสะเอาช้อนของตัวเองตักเอาครีมเนื้อนุ่มในถ้วยไอศกรีมของกานต์เข้าปาก
"หวานไปหน่อยแต่ก็อร่อยดี"
กานต์จับจ้องไปยังริมฝีปากหยักนิ่ง
ออสตินก็กินเลอะปากเหมือนกัน...
เท่านั้นก็รู้สึกราวกับมีเสียงของซาตานมากระซิบที่ข้างหู บอกให้เขาทำในสิ่งที่ไม่ควรจะทำ
"แด๊ดดี้ครับ"
"หืม?"
"ปากเลอะครับ"
แทนที่จะส่งทิชชูให้ แต่กานต์เลือกที่จะทำแบบเดียวกับที่คนตรงหน้าทำกับเขา ปลายนิ้วชี้ลากลูบไปบนขอบปากบนตรงรอยหยัก สัมผัสนุ่มทำให้กานต์ลากไล้อย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก
ริมฝีปากของออสตินเปรียบเสมือนกับผลแอปเปิลสีแดงสดที่เย้ายวนให้เด็ดชิมก็ไม่ปาน
กานต์อยากจะลองชิมดูสักคำ...
อยากสัมผัส...
อยากรับรส...
อยากรู้ว่ามันจะหวานฉ่ำแค่ไหน…
แต่คงจะทำเช่นนั้นไม่ได้ เด็กหนุ่มถอดใจจากเรื่องนั้น ก่อนจะปาดเอาคราบวิปครีมออก ดึงมือกลับมาแล้วสอดนิ้วชี้นั้นเข้าไปในปาก ดูดดุนกลืนกินวิปครีมเข้าไปพลางทอดสายตาจับจ้องใบหน้าคร้ามของอีกฝ่ายนิ่ง
สายตานั้นฉ่ำเยิ้ม...ราวกับจะยั่วยวนให้คนตรงหน้าหลงใหลในตัวเขา การกระทำนั้นทำให้กานต์แปรเปลี่ยนจากมนุษย์อันเป็นที่รักของพระผู้เป็นเจ้าเป็นเจ้าอสรพิษร้ายที่หมายจะล่อลวงออสตินแทน
หากแต่ออสตินนิ่ง...
ดวงตาสีฟ้านั้นประกายวูบไหวเล็กน้อยเมื่อกานต์ดึงนิ้วออกจากปาก และเมื่อได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มดังตามมา
"อร่อยดีนะครับ"
เขาก็ว่าเสียงเรียบ "รีบๆ กินซะ จะได้กลับบ้านกัน ในเมื่อไม่มีโปรแกรมจะไปไหนก็ไปนั่งเล่นที่บ้านดีกว่า"
เท่านั้นความผิดหวังพร่างพรายขึ้นมาในใจของกานต์ดั่งพายุถาโถม
แค่นี้เองเหรอ?
แล้วเขาคาดหวังให้ออสตินมีปฏิกิริยาอะไรกันล่ะ?
เด็กหนุ่มรู้ดีว่าปรารถนาอะไร เขาอยากให้ออสตินแสดงท่าทีอะไรออกมาก็ได้ จะตอบสนองเขาหรือเกรี้ยวกราดใส่ เขาก็ยินดีทั้งนั้น ไม่ใช่นิ่งเฉยราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรอย่างนี้ ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจะตอบเสียงแผ่ว
“ครับ”
ตั้งหน้าตั้งตากินไอศกรีมถ้วยนั้นจนหมด...
ช่างเป็นของหวานที่...ขมมากทีเดียว
ออสตินขับรถมุ่งหน้ากลับบ้าน ทั้งสองไม่พูดอะไรกันสักคำตั้งแต่ตอนนั้น บรรยากาศในขณะขับรถกลับต่างจากตอนมาโดยสิ้นเชิง มันชวนให้อึดอัด แม้ออสตินจะไม่พูดอะไรแต่ก็ทำให้กานต์หายใจแทบไม่ออก
เด็กหนุ่มชักอยู่ไม่สุข กระสับกระส่ายจนแสดงท่าทางออกมาให้อีกฝ่ายได้เห็นด้วยการขยับไปมาบ่อยครั้ง ออสตินเหล่มอง แล้วในที่สุดเขาก็เป็นคนทำลายความเงียบ
“นั่งไม่สบายเหรอ”
เท่านั้นกานต์ก็ใจชื้น ในที่สุดความเงียบอันน่าอึดอัดนี้ก็บรรเทาลงเสียที
“เปล่าครับ”
“แล้วขยับไปมาทำไมบ่อยๆ”
กานต์ไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไรดี เพราะในความเป็นจริงแล้ว ที่เขาขยับไปมาไม่หยุดไม่ใช่เพราะนั่งไม่สบาย แต่เป็นใจของเขาที่ไม่สบายจนกระอักกระอ่วนมากกว่า
“คือผม...”
แวบหนึ่งก็คิดว่าจะบอกไปว่าตัวเองเป็นเกย์ แต่พูดได้แค่นั้นก็เงียบไปอีก
กลัวอีกแล้ว...
“เธอทำไม” เห็นอีกฝ่ายเงียบไป ออสตินก็ถามขึ้น
“ไม่มีอะไรครับ”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่กานต์เอ่ยขึ้นมาแล้วก็เงียบไป ออสตินรับรู้ได้ถึงความหัวเสียของเด็กหนุ่มที่มีต่อตัวเองจึงไม่ได้สนใจที่จะถามต่อ ทำเพียงบอกเสียงเรียบเท่านั้น
“ถ้าเธอมีอะไรไม่สบายใจแล้วอยากจะบอกฉัน เอาไว้บอกตอนที่เธอพร้อมก็แล้วกัน”
ในเวลาอย่างนี้ ความเข้าใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด อย่างน้อยก็ทำให้กานต์ได้รู้สึกว่าออสตินไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เขาคิด
