EPISODE 03(2)
ปิ๊ง ป่อง ปิ๊ง ป่อง...
ผมเดินมาดูว่าใครกันที่มาในเมื่อผมไม่ได้นัดใครไว้นอกจากอลิน ซึ่งเธอเพิ่งจะวางสาย กรุงเทพ-โคราชก็ไม่ใช่ใกล้ ๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นอลิน คนที่ผมเห็นผ่านหน้าจอทำผมหงุดหงิดไม่น้อย แต่ก็ต้องเปิดประตูให้เข้ามา
“ผมบอกพี่แล้วว่าไม่ต้องมา” ผมเดินกลับมานั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ ค่อนข้างหัวเสียที่ผู้หญิงคนนี้ไม่ฟังที่ผมพูดสักนิด
“ก็ทิกเกอร์ตอบไลน์พี่ช้า ไหน ๆ พี่ก็มาแล้ว” เธอเดินตามผมมาและมานัวเนียที่หน้าอก สองแขนยกขึ้นคล้องรอบคอ
“อลินกำลังมา ผมว่าพี่กลับไปก่อนเถอะ” ผมจับเธอออกให้ห่าง ไม่ชอบที่จะต้องทำอะไรแบบนี้
“ไม่เห็นบอกพี่ว่าอลินจะมา” เธอทำหน้าไม่พอใจ แต่ก็ยังพยายามมาคลอเคลียไม่ห่าง “แต่กว่าอลินจะมา เรายังมีเวลานะ”
และก็เธอโน้มใบหน้าเข้ามาคลอเคลียใบหน้าของผมอีกครั้ง ผมจึงตัดสินใจขยับตัวลุกขึ้นยืน “ผมไม่มีอารมณ์ พี่กลับไปเถอะ”
“ทิกเกอร์”
“เลิกพยายามทำแบบนี้ได้แล้ว ผมกำลังจะแต่งงาน กำลังจะมีลูก ผมไม่อยากให้อลินเสียใจ” และสุดท้ายผมก็เอาอลินมาอ้าง
“พี่ว่าวันนี้ทิกเกอร์อาจจะเครียดเรื่องงาน เอาไว้พี่ค่อยมาวันหลังดีกว่า อย่าลืมพักผ่อนนะ อย่าดื่มเยอะต้องทำงาน” ผู้จัดการส่วนตัวของผมเดินออกจากห้องไปเมื่อผมพูดขอจบความสัมพันธ์ลับ ๆ ที่มันไม่ควรเกิดขึ้นด้วยซ้ำ เธอชอบบ่ายเบี่ยงไม่ยอมจบ คงเพราะผมเป็นเด็กในสังกัดและอะไรอีกหลายอย่าง
เธอชื่อพราวเป็นผู้จัดการส่วนตัวของผม ผมกับเธอเผลอมีความสัมพันธ์เกินขอบเขตในวันที่รู้ว่าทิชาหายไป ความสัมพันธ์ที่ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิด
วันนั้นทิชาเหลือไว้เพียงจดหมายที่พิมพ์แล้วปริ๊นออกมา ในเนื้อความจดหมายบอกประมาณว่า ‘ทิคิดว่าเราพอกันแค่นี้ดีกว่า อยู่กับเกอร์ทิไม่มีความสุขอีกแล้ว ทิต้องการอิสระ ต้องการความชัดเจน ซึ่งเกอร์ให้ไม่ได้ ต่อไปนี้เกอร์ทำตามฝันของเกอร์เลยนะ ทิก็จะไปตามทางของทิ เราต่างคนต่างมีชีวิตใหม่ ขอบคุณสำหรับที่ผ่านมา ขอให้ทิกเกอร์โชคดี ส่วนทิก็จะมีความสุขกับคนที่มีเวลาให้ทิ ขอให้เข้าใจความรู้สึกทิด้วยนะ’ คือเนื้อความจดหมายคร่าว ๆ ที่ผมจำได้
ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันทิชานั่งดูข่าวที่ผมให้สัมภาษณ์กับอลินถึงเรื่องแต่งงานที่แฟนคลับพากันเข้าใจไปเอง จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก จะว่าเข้าใจไปเองก็ไม่ได้เพราะทางต้นสังกัดสั่งให้เราทำเหมือนคู่รัก ประกาศว่าคบกัน แฟนคลับไม่ได้ผิด ผิดที่ผมเห็นแก่ตัว ไขว่คว้าตามความฝัน อยากได้อยากมีมากกว่าห่วงความรู้สึกของทิชาคนที่ผ่านอะไรตั้งมากมายมาด้วยกัน ทิชาเป็นส่วนหนึ่งที่ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อเงิน ผมอยากให้ทิชาสบายอยากให้เธอรู้ว่าผมพึ่งพาได้ ผมไม่ให้ทิชาทำงาน ให้เธออยู่แต่ห้อง ทำกับข้าวรอให้ผมกลับมา ทำงานมาเหนื่อย ๆ แค่เห็นว่าเธอยิ้ม แค่ได้ยินคำว่า ‘วันนี้เหนื่อยไหม’ จากปากเธอ ผมก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งต่อให้งานจะยากแค่ไหนก็ตาม
แต่พักหลัง ๆ ทิชาเริ่มแปลกไป ชอบหาเรื่องประชด ชอบหาเรื่องทะเลาะ กลายเป็นว่ากลับมาถึงห้องแล้วทำให้ผมเหนื่อยใจมากกว่าเดิม วันนั้นเราทะเลาะกัน ผมเลือกเดินหนีออกจากห้อง เดินทางไปถ่ายงานต่ออีกที่ ไปก่อนเวลาเพียงเพราะไม่อยากให้เราทะเลาะกันหนักกว่าเดิม กลับกลายเป็นว่าหลังจากถ่ายงานจบ ซึ่งใช้เวลา 2 วัน ผมกลับมาถึงห้องทิชาก็ไม่อยู่แล้ว ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างของเธอไม่เหลือไว้ให้ผมดูต่างหน้าสักชิ้น มีเพียงจดหมายที่อยู่บนโต๊ะแค่แผ่นเดียวเท่านั้น ตอนแรกผมไม่เข้าใจเนื้อความในจดหมาย กระทั่งมีผู้ชายมากดออดหน้าห้องบอกว่าทิชาลืมคืนคีย์การ์ด ก็เลยเอามาคืนให้ แล้วผู้ชายคนนั้นยังบอกอีกว่าจะดูแลทิชาให้ดีกว่าที่ผมดูแล ในขณะที่ผู้ชายคนนั้นคุยกับผม เบอร์ทิชาโทรเข้ามาหาผู้ชายคนนั้นด้วย จากนั้นผู้ชายคนนั้นก็ยิ้มเย้ยผมก่อนจะเดินจากไป
ช่วงนั้นผมค่อนข้างจำได้ดี ผมเมา เมามาก ไม่ไปทำงาน เทกอง ผิดคิวเป็นอาทิตย์ พี่พราวผู้จัดการส่วนตัวเข้ามาต่อว่า และปลอบใจผม ซึ่งผมที่เมามายไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง จำได้ลาง ๆ คือกำลังมีอะไรกับพี่เขา ด้วยความหมดอาลัยตายอยากผมก็เลยปล่อยให้มันเกิดขึ้น คิดแค่ว่าทิชามีคนอื่นได้ ทำไมผมจะมีบ้างไม่ได้ ในเมื่อทิชามอบร่างกายให้คนอื่นได้เชยชม
ผมก็ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ใช้กับทิชาแค่คนเดียว
