5.แสงสว่าง
Chapter05.แสงสว่าง
”ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉันแล้วก็...เรื่องโทรศัพท์“ แพรไหมเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์ของตัวเองมาไว้ในมือก่อนจะกล่าวขอบคุณอีกคนอย่างแผ่วเบา
“ไม่เป็นไร แล้วนี่เธอจะเอาไงต่อ” ปกตินาวินไม่ใช่คนที่จะสนใจใครง่ายๆ ยิ่งเป็นคนที่ตัวเองเพิ่งรู้จักวันเดียวแล้วด้วย แต่เรื่องนี้ร่างสูงไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้จริงๆ
เพราะผู้หญิงคนนี้ เธอดูน่าสงสาร....
”ฉัน.....“
ปึง!!
ไม่ทันที่แพรไหมจะได้ตอบกลับอะไรเสียงกระเป๋าผ้าใบขนาดไม่ใหญ่มากก็ถูกโยนออกมาจากในบ้านโดยฝีมือของพะแพงที่กำลังอยู่ในอารมณ์คุกครุ่น
”ไปแล้วไม่ต้องเสนอหน้ากลับมานะ อีเนรคุณ!” นั่นคือเสียงสุดท้ายที่แพรไหมได้ยินจากผู้เป็นแม่
ตอนนี้สภาพจิตใจของเธอมันด้านชาไปหมดแล้ว
ผมยืนมองคนตัวเล็กค่อยๆก้มลงไปเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายออกจากกระเป๋าด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก คนเราจะมีชีวิตที่น่าเวทนาขนาดนี้ได้ยังไง แต่ถึงแบบนั้นผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ยอมที่จะแสดงความรู้สึกอ่อนแอออกมา หรือมันอาจจะตลกร้าย ผมไม่รู้เลยว่าชีวิตที่ผ่านมาเธอเจออะไรมาบ้าง ตอนนี้ถึงได้นิ่งขนาดนี้ทั้งๆที่สถานการณ์มันไม่ได้ดีขนาดนั้น
“เดี๋ยวฉันช่วย” ผมตัดสินใจก้มลงไปช่วยอีกคนเก็บของใส่กระเป๋า มีเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ชุดเท่านั้นที่ถูกโยนออกมา
“ขอบคุณนะคะ”
ผมมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าขบคิด ถ้าตอนนี้ผมจะกลายเป็นที่พึ่งสุดท้ายให้เธอผมก็ยินดี เพราะถ้าจะให้ปล่อยผู้หญิงตัวแค่นี้ให้ออกไปใช้ขีวิตตามลำพังทั้งๆที่เธอเพิ่งโดนไล่ออกจากบ้านผมคงนอนไม่หลับเป็นแน่
“ไปกับฉันเถอะ ฉันช่วยเธอได้นะ ถ้าเธอต้องการความช่วยเหลือ” ผมตัดสินใจพูดออกไป ทำให้แพรไหมค่อยๆพยักหน้าให้ผม เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกันสินะ
หลายนาทีต่อมา.....
"คุณส่งฉันตรงนี้ก็ได้ค่ะ” เสียงหวานเอ่ยบอกคนตรงหน้า หลังจากที่นาวินขับรถเข้ามาเกือบถึงทางเข้าผับของเขา
“เธอจะไปไหน?” นาวินที่ได้ยินแบบนั้นก็ยอมจอดรถตามที่อีกคนขอแต่ก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยถาม
“ฉันพอมีเงินติดตัวอยู่ ว่าจะไปเช่าอพาร์ตเมนต์ตรงนั้นค่ะ”
ใบหน้าหล่อหันไปมองตามหญิงสาว อพาร์ตเมนต์ฝั่งตรงข้ามติดป้ายเอาไว้ว่ามีห้องว่าง
“ขอโทษนะ แต่ตอนนี้เธอเรียนอยู่หรือเปล่า” นาวินอดไม่ได้ที่จะถามเพราะถ้าอีกคนเรียนอยู่ เธอจะเอาเงินที่ไหนไปเรียนในเมื่อเธอตัดขาดกับที่บ้านแล้ว
“ค่ะ ฉันเรียนเสาร์-อาทิตย์ค่ะ” แพรไหมตอบกลับเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอเลือกที่จะเรียนและทำงานไปด้วย แต่ตอนนี้ร้านอาหารที่ทำงานเก่าของเธอปิดไปกระทันหันทำให้แพรไหมยังคงว่างงานอยู่
“ที่ผับฉันรับคนทำงานเพิ่ม ถ้าสนใจพรุ่งนี้เข้ามาสมัครได้นะหรือจะติดต่อฉันมาก็ได้ ตามนามบัตรที่ให้ไว้“
แพรไหมหันไปมองเจ้าของใบหน้าหล่อด้วยสีหน้าค่อนข้างแปลกใจที่เขาดูใจดีกับเธอ หรือบางทีเขาอาจจะแค่สงสารที่ชีวิตของเธอช่างดูน่าเวทนาถึงเพียงนี้
”ขอบคุณนะคะ ถ้างั้น...ฉันขอตัวก่อนนะคะ“
เธอผงกหัวให้เขาก่อนจะกอดกระเป๋าผ้าเพียงใบเดียวเดินลงไปจากรถด้วยหัวใจที่รู้สึกด้านชาเกินยากจะบรรยาย
น้ำตาเม็ดใสค่อยๆไหลอาบลงมาบนแก้มนวลด้วยความอดสู คำพูดด่าทอของมารดายังคงดังกังวาลอยู่ในโสตประสาทของเธอ ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีสักครั้งที่ผู้หญิงคนนั้นจะทำตัวเป็นแม่ นับตั้งแต่พ่อตาย....ชีวิตของเธอก็ต้องดิ้นรนมาโดยตลอด
“.......” หางตาของเธอเหลือบไปเห็นรถของนาวินค่อยๆขับออกไปจากบริเวณนั้น หัวใจก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆกับเขา
“ขอบคุณนะคะ” เธอพึมพัมออกมาในขณะที่ยืนอยู่คนเดียว
วันนี้ผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นคือแสงสว่างของเธอ....ถ้าไม่ได้เขาเข้ามาช่วย ป่านนี้เสี่ยบวรก็คงเอาตัวเธอไปแล้ว
เวลาต่อมา
“ถ้าหนูอยากจะเช่าก็ทำสัญญาวันนี้ได้เลยนะ” เสียงเจ้าของอพาร์ทเม้นต์เอ่ยบอกหลังจากที่พาแพรไหมเดินขึ้นไปดูห้องเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย
“หนูต้องจ่ายค่าอะไรบ้างเหรอคะ” ปากเล็กเอ่ยถาม เธอมีเงินก้อนนึงที่เก็บเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
“ค่าห้องเดือนละสี่พันห้าถ้าหนูจะเข้ามาอยู่วันนี้เลยต้องจ่ายค่ามัดจำสามเดือนล่วงหน้า แต่เดือนหน้าป้าก็จะหักค่าห้องจากเงินค่ามัดจำของหนูนั่นแหละ”
“สะสามเดือนเลยเหรอคะ”
แพรไหมพูดออกมาเสียงเบาหวิว เธอมาเงินเก็บอนู่แค่หมื่นหนึ่งเท่านั้น ถ้าจ่ายค่าห้องไปวันนี้นั่นก็หมายความว่าเงินของเธอจะหมด อันที่จริง....มันมีไม่พอสำหรับค่ามัดจำทั้งหมดด้วยซ้ำ
“จ้ะ มันเป็นกฎของอพาร์ตเมนต์น่ะลูก“
”เอ่อ เดี๋ยวหนูขอกลับไปคิดก่อนนะคะ“
”ได้สิจ้ะ งั้นหนูเอาเบอร์ป้าไป ถ้าตัดสินใจได้โทรมาจองไว้ก่อนก็ได้นะ“
”ขอบคุณค่ะ”
แพรไหมเดินออกมาจากอพาร์ตเมนต์ตรงหน้าด้วยสีหน้าคิดไม่ตก แล้วแบบนี้เธอจะไปอยู่ที่ไหน ใบหน้าสวยคร่ำเครียดขึ้นมาด้วยความวิตกกังวล ถ้าต้องไปเช่าห้องรายวันมันจะคุ้มกับเงินที่เหลือหรือเปล่า
’ที่ผับฉันรับคนทำงานเพิ่ม ถ้าสนใจพรุ่งนี้เข้ามาสมัครได้นะหรือจะติดต่อฉันมาก็ได้ ตามนามบัตรที่ให้ไว้‘
จู่ๆคำพูดของผู้ชายคนนั้นก็ดังขึ้นมาในหัวของเธอ อย่างน้อยๆถ้ามีงานทำเธอก็จะมีเงินสินะ คิดได้แบบนั้นแพรไหมก็ไม่รอช้าที่จะถือกระเป๋าใบเดียวของตัวเองเดินไปยังผับตรงหน้า ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่เธอจะต้องมาเสียเวลาคิดมาก มีโอกาสอะไรต้องรีบคว้าเอาไว้
@The winner pub
"สวัสดีครับคุณ ตอนนี้ผับยังไม่เปิดนะครับ“ เสียงของยามดังขึ้นมาแต่ไกลทำให้แพรไหมหยุดเดินก่อนจะหันไปมอง
”เอ่อ พอดีฉันจะมาสมัครงานน่ะค่ะ“
”อ๋อ สมัครงาน งั้นเดี๋ยวผมพาไปพบคุณคีรินครับ” ยามหนุ่มเอ่ยบอกก่อนจะเดินพาหญิงสาวเข้าไปในผับชื่อดังที่ตอนนี้ไร้ผู้คนเพราะยังไม่ถึงเวลาเปิดทำการ แต่ยังมีพนักงานบางส่วนที่ทำงานอยู่ด้านใน
”คุณคีรินครับ มีคนมาสมัครงานครับ“
คีรินที่กำลังยืนเช็คเหล้าอยู่กับพนักงานเช็คของหันไปมองตามเสียงของคนที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่ ก่อนที่ใบหน้าหล่อของผู้จัดการผับจะค่อยๆหยุดชะงักไปเมื่อได้เห็นหน้าของผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังคนนั้น
”เธอ?“
แพรไหมทำหน้างุนงงเมื่อคีรินทำท่าเหมือนรู้จักเธอ เขาจำเธอได้ในทันที แต่แพรไหมกลับจำอะไรไม่ได้เลย
”คุณเรียกฉันเหรอคะ?“ หญิงสาวถามกลับด้วยสีหน้างงๆ
”อืม ฉันนึกว่าเธอกลับไปแล้วซะอีก“
คำพูดของคีรินทำเอาหญิงสาวเบิกตากว้าง เขาพูดเอ่ยทักพร้อมกับทำสีหน้าเหมือนกับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้เลย
”คะคุณระรู้จักฉันเหรอคะ“ หัวใจดวงน้อยเต้นถี่รัว ไม่รู้ว่าเมื่อคืนตัวเองทำเรื่องขายหน้าอะไรไว้บ้างแล้วผู้ชายคนนี้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน
“เธอจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้เลยสินะ”
คีรินถามกลับด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเย็นชาแบบนั้น เเพรไหมยิ่งรู้สึกหวั่นใจ หวังว่านาวินจะไม่ได้เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ผู้ชายคนนี้ฟังเพราะลำพังเรื่องที่เขาบังเอิญมารับรู้เรื่องทางบ้านของเธอมันก็น่าขายหน้าสำหรับเธอมากพออยู่แล้ว
“ค่ะ“
”ไม่แปลกใจหรอก เมามากเลยนี่ แล้ววันนี้มาทำอะไร? สมัครงาน?“ คีรินเลิ่กคิ้วถามด้วยความสงสัย เพราะตอนนี้ทางร้านไม่ได้มีแผนว่าจะรับสมัครพนักงานใหม่เเต่อย่างใด
“ค่ะ คุณนาวินบอกฉันว่าที่นี่รับสมัครพนักงานอยู่“
“เขาบอกเธอแบบนั้นเหรอ....” คีรินมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าที่คาดเดาไม่ออก
ถึงจะไม่รู้ว่าเมื่อคืนมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองคนหรือไม่ แต่การที่นาวินเอ่ยปากชวนผู้หญิงคนนี้ให้มาสมัครงาน สำหรับคีรินเขาก็คิดว่ามันค่อนข้างแปลก เขารู้จักนาวินมานานพอที่จะรู้ว่าหมอนั่นเป็นคนอบอุ่นและขี้สงสาร แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่นาวินจะลากผู้หญิงขึ้นไปนอนที่ห้องส่วนตัวโดยที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เข้ามา” เสียงทุ้มตอบรับคนที่เคาะประตูอยู่ด้านนอก
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นคีรินก็เปิดประตูเข้ามา
“มีอะไร”
“ไม่เห็นเคยบอกว่าจะรับพนักงานเพิ่มนะครับ”
สิ้นเสียงคำพูดของคีริน เจ้าของผับหนุ่มก็ชะงักนิ่งไปท้นที ถ้าคีรินพูดมาแบบนี้เขาเดาได้ไม่ยากเลยว่าผู้หญิงคนนั้นคงมาที่นี่ เพราะอย่างที่บอกผับของเขามีพนักงานมากพอแล้ว แต่ที่เสนอไปแบบนั้นเพราะเขาอยากช่วยเหลือคนที่ไม่มีที่ไปอย่างเธอ
“....ให้เธอเข้ามา” เขาเลือกไม่ตอบคำถามแต่เอ่ยสั่งกลับไปแทน
“สรุปเมื่อคืน....ไม่ได้กินเหล้าอย่างเดียวใช่ไหมครับ“ คีรินถามกลับด้วยความอยากรู้ เขาแอบสังเกตุเห็นที่เนินอกของอีกคนมีรอยแดงเป็นจ้ำอยู่
”เลิกสงสัยได้แล้ว มันไม่ได้มีอะไรสำคัญหรอก“ เขาตอบปัดๆไปเพราะไม่อยากให้ใครรับรู้ในเรื่องนั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับแพรไหมมันไม่เหมือนกับการที่เขานอนกับผู้หญิงคนอื่นเพราะความพึงพอใจ แต่เขานอนกับเธอเพราะเธอร้องขอและเขารู้เหตุผลของแพรไหมเป็นอย่างดีว่าทำไมเธอถึงต้องการให้เขาทำแบบนั้น มันคือเหตุผลที่เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอจะโชคร้ายขนาดนั้น จะให้เขาปล่อยผ่านไปคงไม่ได้ อย่างน้อยๆเขาก็จะช่วยเธอเท่าที่ตัวเองจะสามารถช่วยได้
“หึ ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรครับ แต่ความลับไม่มีในโลกหรอกนะ”
