บท
ตั้งค่า

บทที่ 9 แผนร้ายของเทซิน่า

กองหนังสือที่ถูกขนมาจากชั้นวางทำให้คนอ่านแทบตาลาย วาเรียสค่อย ๆ คลานออกมาข้างนอกแล้วสูดอากาศหายใจเข้าปอด หนังสือพวกนี้เป็นตำราเวท แต่หาหลายเล่มแล้วก็ไม่มีเล่มไหนบอกเลยว่าการนำศพคนที่ตายทั้งที่มีความรู้สึกเคียดแค้นไปนั้นสามารถทำพิธีอะไรได้บ้าง

"เจ้าของร้านขายอวัยวะก็ไม่มีความรู้เรื่องนี้ด้วยสิ เฮ้อ! หนังสือก็ไม่มีบอก ให้ตายเถอะซาร่า แล้วข้าจะรู้ได้ยังไงว่ายายป้านั่นคิดจะทำอะไร" เจ้าชายปีศาจถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันกลับมาดูหนังสืออีกครั้ง "เดี๋ยวนะ! เจ้าของร้านบอกว่าทำพิธีที่ไม่ดีนี่นา งั้นก็น่าจะเป็นพิธีหรือการใช้เวทต้องห้าม" หนังสือพวกนี้เผยแพร่ให้คนทั่วไปรับรู้ ดังนั้นมันไม่มีทางบันทึกเรื่องต้องห้ามไว้แน่

เด็กหนุ่มวิ่งไปที่ชั้นสามของหอสมุด เขาจำได้ว่าที่นั่นมีห้องเก็บบันทึกต้องห้ามไว้ด้วย ดังนั้นมันน่าจะมีเรื่องที่เขาอยากรู้อยู่ ทว่าพอวิ่งไปถึง เด็กหนุ่มก็แทบเบรกหัวทิ่มเพราะประตูมันล็อก คล้องกุญแจ และมีเวทป้องกันอีกชั้นด้วย

อะไรนักหนาวะ วาเรียสสบถในใจแต่ก็ไม่ละความพยายาม เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ จนกระทั่งเห็นช่องเพดานที่คาดว่าน่าจะเปิดได้ ซึ่งทุก ๆ สุดสัปดาห์พวกสาวใช้จะเข้ามาทำความสะอาดและทุกชั้นของหอสมุดจะต้องมีช่องเพดานเปิดเข้าไปทำความสะอาดเพื่อไม่ให้หนูหรือแมลงสาบเข้ามาทำรังได้

"เอาล่ะ ได้เวลาแปลงร่างเป็นนักสำรวจแล้ว" วาเรียสวิ่งไปเปิดตู้เก็บของ หยิบแท่งไฟเวทออกมาเคาะทีหนึ่งทำให้มันเรืองแสงจากนั้นก็ลากโต๊ะมาติดกับชั้นหนังสือแล้วปีนขึ้นโต๊ะตามด้วยปีนขึ้นชั้นหนังสือไปถึงชั้นบนสุด ยังดีที่พอเขาโตขึ้น ส่วนสูงก็เพิ่มขึ้นจากหนึ่งร้อยสามสิบสองเซนติเมตรกลายเป็นหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซนติเมตร

ครืด...

เจ้าชายปีศาจเลื่อนฝ้าเพดานออกจากนั้นก็ปีนขึ้นไป ข้างบนเต็มไปด้วยฝุ่น แน่นอนว่าเขาแทบสำลักเลยทีเดียว ขนาดทำความสะอาดสัปดาห์ละครั้งยังมีเยอะขนาด ถ้าทำเดือนละครั้งจะเยอะขนาดไหน เด็กหนุ่มคลานไปตามทางที่น่าจะไปหาห้องเก็บบันทึกต้องห้าม แสงจากแท่งไฟเวทที่เขาคาบอยู่ในปากสว่างพอสมควร จึงเห็นว่ามีอะไรอยู่บนนี้บ้าง

พลั่ก! โครม!

เมื่อมาถึงบริเวณที่ฝ้าเพดานน่าจะเลื่อนออกได้ วาเรียสก็ถีบจนมันตกลงไปก่อนที่เขาจะทิ้งตัวลงมาจากช่องว่างนั้น ภายในห้องเก็บบันทึกต้องห้ามสะอาดสะอ้านเพราะน่าจะมีการดูแลดี หนังสือทุกเล่มบนชั้นล้วนแต่ห้ามเผยแพร่ทั้งนั้นแถมยังเคลือบด้วยเวทรักษาสภาพหนังสือไว้อีกต่างหาก วาเรียสไล่สายตาหาบันทึกที่น่าจะเกี่ยวกับพิธีต้องห้ามจนกระทั่งมาเจอเล่มที่ต้องการพอดี

"เจอแล้ว!"

ช่วงเที่ยงวัน อากาศก็เริ่มร้อนขึ้นเพราะวันนี้แดดจ้าทำให้ทหารที่เฝ้ายามอยู่รอบ ๆ หอสมุดถึงกับต้องหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อ พลันสายตาของพวกเขาก็หันไปเห็นเด็กหนุ่มผมดำเดินหน้าซีดออกมาจากตัวอาคารเหมือนเจอเรื่องอะไรมาแล้วช็อก ด้วยความเป็นห่วง ทหารนายหนึ่งจึงถามขึ้น

"เจ้าชาย เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ หน้าท่านซีดเชียว" อีกฝ่ายไม่ตอบแต่เงยหน้ามองคนถามสลับกับทหารนายอื่นที่มองมาด้วยความสงสัยปนห่วงใย วาเรียสสูดลมหายใจเพื่อตั้งสติแล้วถามกลับ

"ท่านจ้าวอยู่ไหน"

"น่าจะอยู่ที่ท้องพระโรงนะขอรับ"

"ขอบใจ" ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็วิ่งลงจากบันไดสู่ถนนที่ปูด้วยซีเมนต์แล้ววิ่งออกไปสุดชีวิตท่ามกลางสายตางง ๆ ของพวกทหารที่ไม่เข้าใจว่าเจ้าชายปีศาจเป็นอะไร

ทางด้านวาเรียส เขาจะต้องไปหาคาเรียสและบอกสิ่งที่นางฟ้าเทซิน่ากำลังจะทำไม่อย่างนั้นแดนมืดจะเหลือแค่ชื่อแน่ หอสมุดอยู่ไม่ไกลจากท้องพระโรงทำให้เขาไปถึงที่หมายได้เร็ว การประชุมคงจะเสร็จแล้วไม่อย่างนั้นพวกขุนนางคงไม่เดินออกมากันเยอะ คาเรียสน่าจะยังอยู่ในนั้น เด็กหนุ่มจึงรีบวิ่งฝ่าฝูงชนเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว

"พ่อ!"

"มาแล้วเหรอไอ้ตัวแสบ" คาเรียสกำลังรอเด็กหนุ่มอยู่พอดี แถมสีหน้าเหมือนคนกำลังโกรธทำให้วาเรียสรีบเบรกแทบหัวทิ่มทันทีที่มาหยุดอยู่ตรงหน้า "เมื่อเช้ามีชั่วโมงเรียนฟันดาบ แต่เจ้าก็ไม่ไปเรียน จะขี้เกียจไปถึงไหน!"

"ก็ได้ ๆ ข้าขี้เกียจ ข้าไม่ไปเรียน แต่นั่นไม่สำคัญ ข้ามีเรื่องคอขาดบาดตายมาบอกท่าน คือว่า..."

"จะเรื่องอะไรก็ช่าง แต่คนขี้เกียจสันหลังยาวอย่างเจ้ามันไร้สาระ" คาเรียสพูดตัดบททำให้เด็กหนุ่มชะงัก "ไปก่อเรื่องมาล่ะสิถึงวิ่งโร่มาถึงนี่ พ่อไม่มีเวลาว่างมานั่งฟังคำพูดไร้สาระหรอกนะ" นอกจากจะไม่ฟังแล้ว เจ้าตัวยังเดินหนีเข้าหลังม่านอีกต่างหาก สี่องครักษ์มองวาเรียสสลับกับคาเรียสก่อนจะตัดสินใจเดินตามหลังไป

"ทำไม..." วาเรียสได้แต่ยืนอึ้งเมื่อไม่มีใครฟังที่เขาพูดเลย ดวงตาสีแดงมองบัลลังก์สีทมิฬตรงหน้า จากนั้นก็ก้าวขึ้นบันไดที่ปูพรมแดงไปหามัน

ตอนที่เขาอายุห้าขวบ เขาเป็นเด็กที่ชอบเล่นซน มีครั้งหนึ่งเคยเข้ามาเล่นในท้องพระโรงและปีนขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์จ้าวปีศาจ ผลก็คือเกิดปรากฏการณ์ 'รัตติกาลสีแดง' ซึ่งปกติมันจะเกิดขึ้นปีละครั้งเพื่อให้จ้าวปีศาจใช้พลังปรับสมดุลดินแดนเพื่อที่ภัยพิบัติตามที่ต่าง ๆ ซึ่งอาจเกิดจากบริเวณนั้นเสียสมดุลจะหายไป

รัตติกาลสีแดง คือปรากฏการณ์ที่จะเกิดในตอนกลางคืน ท้องฟ้าและพระจันทร์เต็มดวงจะกลายเป็นสีเลือด วันนั้นจะมีแสงสีแดงสาดส่องไปทั่ว ปีศาจทั้งดินแดนจะมีพลังแข็งแกร่งมากไม่เว้นแม้แต่ทารกในท้องแม่ วาเรียสเกิดในวันนั้นพอดี ตอนแรกทุกคนเชื่อว่าเขาจะต้องเป็นปีศาจที่มีพลังแข็งแกร่งมาก แต่พอเริ่มโต กลายเป็นว่าเขาคือเด็กดื้อดี ๆ นี่เองและยังซุกซนอีกต่างหาก หลายคนจึงส่ายหัวไปตาม ๆ กันเพราะท่าทางจะฝากอนาคตไว้ไม่ได้

"ข้าเป็นว่าที่จ้าวปีศาจลำดับที่เจ็ดใช่ไหม" เด็กหนุ่มกล่าวกับบัลลังก์ตรงหน้าซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยขึ้นไปนั่งมันมาแล้ว "ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าพังพินาศ ข้าสัญญา"

คำสัญญานั้นแม้ไม่มีใครได้ยินแต่แดนมืดรับรู้

ในที่สุดเจ้าของห้องก็กลับมาแต่ไม่มีคำพูดและรอยยิ้มสดใสเหมือนทุกวันทำให้เทียน่ารู้สึกว่าไม่ปกติ ยิ่งเห็นสีหน้าเครียด ๆ ก็ยิ่งทำให้เธอเป็นห่วงว่าวาเรียสกำลังมีปัญหาอะไรหรือเปล่า เด็กหนุ่มไม่พูดไม่จานอกจากเดินไปที่เตียงแล้วหงายหลังนอนแผ่โดยไม่สนอะไรทั้งนั้น

"เหนื่อยเหรอคะ หน้าเครียดเชียว เป็นอะไรหรือเปล่า"

"พ่อไม่ยอมฟังข้าเลย ก็...นะ ข้ามันดื้อ ซน ขี้เกียจสันหลังยาวในสายตาท่านนี่นา อีกอย่างตอนนี้มีใครบางคนกำลังทำเรื่องไม่ดีอยู่ ข้าจะทำยังไงดีเนี่ย เฮ้อ! ปลอบข้าหน่อยได้ไหม" วาเรียสหันมาส่งสายตาขอร้อง ร่างบางกะพริบตาปริบ ๆ จากนั้นก็ลงมานอนข้าง ๆ พลางดึงเด็กหนุ่มมากอดแล้วลูบผมเบา ๆ เป็นการปลอบ "ถ้าเทียน่าไม่ใช่วิญญาณก็ดีสิ"

"ถึงข้าจะมีพลังวิญญาณมากพอแตะต้องใครได้ แต่ขึ้นชื่อว่าวิญญาณ ยังไงก็ไม่มีร่างกายอยู่ดี" ถ้าเป็นไปได้เธอก็ไม่อยากเป็นผีอย่างนี้ เธออยากมีชีวิต มีเลือดเนื้อเหมือนวาเรียส

"แต่อยู่อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ข้าจะได้เป็นชาวแดนมืดคนแรกที่อาศัยอยู่กับผี"

"ไม่ได้นะคะ ท่านวาเรียสเป็นเจ้าชาย ต่อไปจะต้องเป็นผู้ปกครองดินแดน จากนั้นก็ต้องแต่งงานกับใครสักคนเพื่อมีทายาทไว้รับช่วงต่อ ที่แดนมนุษย์กับแดนเทวาก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน อีกอย่างข้าเป็นวิญญาณ อยู่ด้วยกันไปก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิมหรอกค่ะ"

"..." เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรก่อนจะลุกขึ้นมานั่งถอนหายใจแล้วยกมือกุมหน้า เทียน่าก็ลุกตามขึ้นมากอดปลอบบ้าง เพราะเธอรู้ว่าเจ้าตัวรู้สึกไม่ดีแน่ ๆ ที่เธอพูดแบบนี้

"ส่วนใหญ่ราชาน่ะ ไม่ได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองรักหรอกนะคะ ถึงมีคนที่รัก นางก็อาจเป็นได้แค่สนมหรือไม่ก็ต้องแยกจากกัน ข้าเคยเป็นเจ้าหญิง ถึงจะเป็นลูกนอกสมรส แต่เรื่องนี้ข้าก็รู้ดี บางครั้งเจ้าหญิงก็ถูกส่งไปแต่งงานกับชายที่ไม่ได้รัก บางครั้งราชาก็ต้องแต่งงานกับผู้หญิงเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง มันเป็นความจริงที่ต้องยอมรับนะคะ"

"ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วมีความสุขก็คงดี แต่ถ้ามีความทุกข์ก็มีแต่เรื่องไม่เว้นวัน" วาเรียสหันมาสบตากับหญิงสาวแล้วยิ้มกว้าง "คอยดูนะเทียน่า ข้าจะไม่ยอมรับคนที่ไม่ได้รักมาไว้เคียงข้างเด็ดขาด"

"แล้วถ้าต้องแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองล่ะคะ"

"ข้าจะหาทางอื่นแก้ไขเอา ต่อให้เป็นสงครามก็ช่าง เรื่องอื่นข้าทำเพื่อดินแดนได้ แต่เรื่องส่วนตัว ข้าขอเลือกเอง นั่นคือสิ่งที่ข้าคิดและตั้งใจจะทำ"

"ถ้าเลือกแล้วก็ต้องทำให้ได้นะคะ" เทียน่าเขยิบมากุมมือเขาเพื่อให้กำลังใจ เธออยากเห็นวาเรียสเป็นตัวของตัวเองและเธอก็อยากเฝ้ามองเขาไปตลอดต่อให้วันใดวันหนึ่งเขาจะไม่ได้เห็นเธออีกก็ตาม

พลันเสียงเหมือนมีอะไรบินอยู่ข้างนอกก็ทำให้ทั้งสองหันไปมอง กระดาษสีชมพูพับเป็นรูปนกกำลังสะบัดปีกบินวนไปวนมาอยู่ตรงระเบียงทำให้วาเรียสโบกมือใช้เวทเลื่อนประตูกระจก นกกระดาษจึงบินเข้ามาหา จากนั้นมันก็คลี่ตัวออกเป็นซองจดหมายแล้วร่วงลงบนตักเด็กหนุ่ม

"สีชมพูหวานแหววเชียว ใครส่งมาคะเนี่ย"

"ไม่รู้สิ" วาเรียสลองพลิกดูหลังซองเผื่อจะเห็นชื่อคนส่ง

วีนัสเองค่ะเจ้าชาย จุ๊บ จุ๊บ

"เอ่อ..." วาเรียสถึงกับหน้าเหวอแล้วก็ต้องขนลุกเมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาอาฆาตของเทียน่า เจ้าชายปีศาจทำเป็นไม่สนใจแต่รีบแกะซองจดหมายออกมาแทน

เมื่อคืนข้ารับแขกชาวภูตทมิฬที่มาเที่ยวหอคณิกา ได้ยินเขาคุยกับเพื่อน ๆ ว่าจะมีการโจมตีที่ชายแดนระหว่างแดนมืดกับแดนมนุษย์ค่ะ ข้าสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ รีบมาตรวจสอบนะคะว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า

วีนัส

"บ้าจริง!" เด็กหนุ่มทิ้งจดหมายแล้ววิ่งออกจากห้องด้วยความเร็วสูง เทียน่าจึงรีบหยิบจดหมายขึ้นมาอ่านบ้าง พอเห็นว่าเนื้อหาข้างในคืออะไร เธอก็สังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี

หลังจากวิ่งออกมานอกปราสาทได้ไม่นาน วาเรียสก็เลี้ยวซ้ายไปทางลัดที่คาดว่าน่าจะไปถึงปราสาทกลางพระราชวังได้เร็ว จังหวะที่วิ่งออกมาจากหัวมุมซ้ายคั่นระหว่างปราสาทสองหลัง เขาก็ต้องเบรกแทบหัวทิ่มเมื่อเจอคุณชายตระกูลองครักษ์ทั้งสี่เดินมาพอดี พวกเทมเพสในวัยสิบห้าก็ชะงักเช่นกันเพราะไม่นึกว่าจะได้เจอคนที่กำลังจะไปหาพอดี

"เจ้าชาย?"

"พวกเจ้ามาก็ดีแล้ว ข้าไม่มีเวลาอธิบายมาก ช่วยไปที่ชายแดนหน่อยได้ไหม ไปดูสิว่ามีอะไรแปลก ๆ หรือเปล่า จากนั้นก็ติดต่อกลับมาทางลูกแก้ว ส่งภาพให้เห็นชัด ๆ เลยยิ่งดี ส่วนเทมเพสมากับข้า เวลาพวกอาเนฟติดต่ออะไรมา เจ้าต้องเป็นคนรับ" แจกงานเสร็จ อาเนฟ โยริค และเฟลมก็รีบไปทำงานตามที่สั่ง ส่วนเทมเพสก็วิ่งตามเจ้าชายปีศาจที่กำลังเร่งฝีเท้าอย่างรีบร้อน

"เจ้าชาย มันเกิดอะไรขึ้นขอรับ ทำไมท่านถึงดูกังวลขนาดนี้"

"ข้าสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่อง ข้าต้องรีบไปหาพ่อ เขาจะฟังที่ข้าพูดหรือไม่ ข้าไม่สน ไม่ว่ายังไงก็ต้องพูดกับเขาให้ได้" วาเรียสไม่สนใจแล้ว ต่อให้ถูกถีบตกระเบียง เขาจะต้องบอกให้คาเรียสรู้ว่าแดนมืดอยู่ในอันตราย

"การโจมตีที่ชายแดน ใกล้จะได้เวลาแล้วครับนายหญิง"

"ทำได้ดีมากมาชิน" เทซิน่ากระชับฮู้ดไม่ให้ปลิวไปตามสายลมระหว่างยืนมองทิวทัศน์อันกว้างใหญ่ไพศาลตรงบริเวณเชิงผา เหนือยอดเขาสูงลูกนี้ ท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆดำทะมึน มีฟ้าร้องดังมาไม่ขาดสาย เหมือนเป็นสัญญาณบอกว่าเธอกำลังจะทำอะไรบางอย่าง

"อีกอย่างตอนนี้ศพที่เก้าร้อยเก้าสิบเก้าก็มาถึงแล้วครับ"

"เหลือแค่อีกศพเดียวเท่านั้นสินะ" ร่างบางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาเย้ยหยัน อีกไม่นานผู้ชายที่เธอรักและผู้หญิงที่เธอเกลียดก็จะต้องเผชิญปัญหาใหญ่

"นายหญิง ท่านจะทำแบบนี้จริง ๆ เหรอครับ" มาชินถามย้ำอีกครั้ง แต่นั่นทำให้เทซิน่าโกรธเหมือนกับเขากำลังคิดว่าเธอเป็นคนโลเล สาวผมแดงหันกลับมาแล้วตบหน้าภูตหนุ่ม

เพี้ยะ!

"ถ้าข้าจะทำอะไร ข้าก็ต้องทำให้สำเร็จ จะไม่มีการถอยหลังกลับ ถ้าเจ้ากลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองก็ไปให้พ้นหน้าข้า"

"...ข้าก็แค่เป็นห่วงว่าจ้าวปีศาจ...เอ่อ...อาจจะเกลียดท่านมากกว่าเดิม" มาชินหลบตาเพื่อที่เจ้านายสาวจะได้ไม่เห็นแววตาของเขา เขารู้ว่าเทซิน่ารักคาเรียสและไม่ต้องการให้ใครแย่งไปแต่ทำไงได้ในเมื่อผู้ชายเขารักคนอื่น จากที่เคยรักก็เปลี่ยนเป็นเกลียดจนไปหาเรื่องทำลายพวกเขา มาชินรู้ว่ามันผิด แต่เขาก็มีเหตุผลที่ช่วยเธอ

เธอเป็นนางฟ้าจากเอเดน แต่เขาเป็นแค่ภูตทมิฬของเผ่าเล็ก ๆ จึงได้แต่เงียบไว้

เทซิน่าไม่เคยสนใจก็ไม่เป็นไร แค่เขาได้ช่วยเธอก็พอแล้ว

บางครั้งเวลาแอบรักใครสักคนมันก็เป็นบ้า ไม่สนผิดสนถูก ขอแค่ได้อยู่ข้าง ๆ คนที่รักก็พอ

ใช่...นั่นแหละคือเหตุผลของมาชิน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel