บทที่ 7
บทที่ 7
“เอ้า! ไปไหนของเขาเนี่ย” หญิงสาวขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ หลังเดินออกมาแล้วพบว่าเจ้าของห้องไม่อยู่ พลันความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา
“หรือว่าเราจะฉวยโอกาสกลับตอนนี้เลย” คิดได้ดังนั้นเธอก็รีบวิ่งกลับเข้าไปเอากระเป๋าสะพายในห้อง หวังใช้โอกาสนี้ออกไปจากที่นี่ซะ อย่างน้อยการหาเหตุผลบอกเขาวันหลังก็คงไม่ยากเกินไป
“เฮ้ย!” เธอเผลออุทานเสียงดังพลางทำหน้าราวกับเห็นผี หลังเปิดประตูออกไปแล้วพบว่าเจ้าของห้องยืนอยู่
“จะไปไหน” เสียงเข้มๆ บวกกับหน้าดุๆ ของเขาทำเอาคนที่ตั้งใจหนีถึงกับชะงักพลางผงะถอย
“กะ...กลับบ้านค่ะ” เสียงเธอเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“คิดจะไปโดยไม่ลา?” เขาเลิกคิ้วหยั่งเชิง
“คือวันนี้ฉันไม่สะดวกที่จะอยู่ต่อ ยังไงลาตรงนี้เลยนะคะ” เธอยกมือขึ้นไหว้ หวังจะเดินออกไป ติดก็ตรงที่อีกฝ่ายยังยืนขวางไว้
“ช่วยหลีกทางด้วยค่ะ”
“แล้วถ้าฉันไม่ให้ไปล่ะ” พริบพราวถึงกับเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่ชอบใจนัก แต่นัยน์ตาที่แฝงไปด้วยความดื้อรั้นกลับทำให้เขาต้องยิ้มออกมา และรอยยิ้มนี้ก็ยิ่งกระตุ้นให้เธอไม่พอใจมากขึ้นอีก
“คุณไม่มีสิทธิ์ ถอยไป ฉันจะกลับ” พริบพราวจึงต่อต้านด้วยการผลักเจ้านายหนุ่มออก แต่กลับกลายเป็นเธอเองที่ถูกดันให้กลับเข้ามาในห้อง
“คุณ!” เธอตะโกนเสียงห้วน เมื่อเขายังลอยหน้าลอยตา มิหนำซ้ำยังปิดประตูไม่ให้เธอออกไปอย่างที่ตั้งใจอีก
“ก็อย่างที่บอก เธอยังทำงานให้ฉันไม่เสร็จ”
“ฉันก็บอกคุณไปแล้วนี่ว่าวันนี้ฉันไม่สะดวก เข้าใจไหมว่าฉันไม่สะดวก” เธอตะโกนใส่หน้าด้วยความโกรธกรุ่น ในขณะที่เขาก็ตะโกนกลับมาเสียงดังไม่แพ้กัน
“แล้วเพราะอะไรล่ะ เธอก็บอกเหตุผลมาสิ”
“เพราะฉันมีประจำเดือนไงเล่า” พริบพราวตะโกนกลับไปอย่างเหลืออด ความโมโหทำให้เธอไม่สนเรื่องความกระดากอายอะไรนั่นอีก
“อ้อ! งั้นก็รับนี่ไปสิ” เพลิงยักไหล่ก่อนยื่นถุงกระดาษไปให้ ตอนนี้เองที่ความอายกลับมาจู่โจมเธออีกครั้ง หลังได้เห็นว่าในถุงนั้นมีแต่ผ้าอนามัยเต็มไปหมด ซึ่งดูเหมือนเขาจะกวาดมาทุกยี่ห้อเลยด้วย
“มีเหตุผลอื่นอีกไหม ถ้าไม่มีก็มานั่งนี่สิ” เขาว่าพลางเดินนำไปที่โต๊ะอาหาร ในขณะที่เธอก็หลับตาแน่นด้วยความอาย ถึงจะสงสัยว่าเจ้านายหนุ่มรู้ได้ยังไง แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะถามออกไป จึงได้แต่ทำตามที่เขาสั่ง
“กินสิ จะได้มีแรงทำงานต่อ” เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่าบนโต๊ะมีอาหารจัดวางไว้แล้ว แต่สถานการณ์แบบนี้ใครจะไปมีอารมณ์อยากกิน
“เชิญคุณทานเถอะค่ะ ฉันยังไม่หิว” หญิงสาวบอกด้วยเสียงกระแทกกระทั้นที่ฟังจากดาวอังคารก็ยังรู้เลยว่าไม่พอใจ
“แต่เธอต้องกิน หรือจะให้ฉันป้อน แต่บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่ถนัดใช้ช้อน แต่ถนัดใช้อย่างอื่นมากกว่า” แล้วไอ้คำว่าอย่างอื่นของเขาที่มาพร้อมกับสายตาเจ้าเล่ห์ มันก็ทำให้เธอตักข้าวเข้าปากได้โดยอัตโนมัติ เห็นแล้วคนข้างๆ ก็อดยิ้มไม่ได้ ดูเหมือนเขาจะพลอยเจริญอาหารไปด้วย เมื่อได้กินไปมองหน้าเลขาสาวไป ต่างกับเธอที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาตักอาหารเขาเข้าปากอย่างประชดประชันคำแล้วคำเล่า กระทั่ง…
“มาอยู่ด้วยกันไหม” จู่ๆ เขาก็เอ่ยถามทำลายความเงียบ ทำเอาคนถูกถามสำลักหน้าดำหน้าแดงเสียงดังแค่ก
“เพราะอย่างนี้ไง ฉันถึงไม่ไว้ใจให้เธออยู่คนเดียว” เขาว่าพลางลูบหลังให้อย่างอ่อนโยน แต่คำพูดกอปรกับท่าทีที่ราวกับว่าห่วงใยก็ทำให้เธอจำต้องเงยหน้าขึ้นมอง ครั้นพอได้สบกับดวงตาคู่คม เธอก็นิ่งไปชั่วขณะราวกับถูกสะกด
“อะเอ้อ…ฉันอิ่มแล้วค่ะ ขอตัวไปทำงานต่อนะคะ” เธอผุดลุกขึ้นเร็วๆ ด้วยรู้สึกว่าสายตาคู่นั้นกำลังทำให้ใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เดินไปได้แค่ก้าวเดียวก็ถูกเขาฉุดแขนกลับมาจนเสียหลักล้มลงบนตักเขาอย่างกับในละคร ทันทีที่ตั้งสติได้ เธอก็พยายามจะดิ้นลงจากตักนั่น แต่ก็ยังถูกเขาจองจำเอาไว้อยู่ดี
“เธอยังไม่ตอบคำถามฉันเลย” เขากระซิบกอปรกับลมหายใจอุ่นๆ ที่ข้างหู ทำให้เธอดิ้นแรงขึ้นด้วยความตกใจ
“ฉันจะไม่ตอบคำถามอะไรทั้งนั้น จนกว่าคุณจะปล่อย แล้วการที่ฉันมาเป็นเลขา ใช่ว่าฉันจะยอมให้คุณทำอะไรตามอำเภอใจได้ ถ้าคุณไม่ให้เกียรติฉัน ฉันขอลาออก” ดูเหมือนการประกาศกร้าวของเธอจะได้ผลชะงัด เพราะมันทำให้เขายอมปล่อยเธอเป็นอิสระในที่สุด แต่ให้ตายเถอะ! นัยน์ตาดุกร้าวกับหน้าถมึงทึงนั้นมันกลับทำให้คนเป็นเธอก้าวขาไม่ออก ขาสองข้างราวกับถูกตรึงอยู่ตรงนั้น
“งะ...งั้นฉันไปนะคะ” พริบพราวบอกเสียงตะกุกตะกักก่อนจะค่อยๆ เดินห่างออกไป กระทั่งมาหยุดอยู่ที่หน้าประตู
‘โอ๊ย! ไม่น่าปากไวเลยเรา ฮือ! เงินเดือนของฉัน ถ้ากลับไปง้อเขาตอนนี้จะเป็นไรไหมนะ’ เธอคิดพลางค่อยๆ เหลือบไปมองคนที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม
‘ไม่มีทาง ทำแบบนั้นมันก็เสียศักดิ์ศรีน่ะสิ เฮอะ! กะอีแค่หางานใหม่มันจะไปยากอะไร’ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วก้าวขาเดินต่อ แต่เป็นการเดินกลับไปหาเขานะ!
“เอ่อ…ฉันขอไม่ลาออกแล้วได้ไหมคะ” คนขี้เกียจหางานใหม่ค้อมศีรษะให้อย่างหมดมาด ก็อย่างว่าแหละ ศักดิ์ศรีมันกินไม่ได้ เธอยังมีคนในครอบครัวที่ต้องดูแลนี่นา อีกอย่างเธอก็ดันมีความหวังกับเงินจำนวนนั้นแล้วด้วย
“แน่ใจนะ” หน้าเขาเรียบเฉยจนเดาความรู้สึกไม่ได้ และเธอก็ไม่มีเวลาที่จะมาเดาอะไรตอนนี้ด้วย
“ค่ะ ฉันแน่ใจ ฉันอยากทำงานต่อค่ะ”
“ดี! งั้นฉันจะถือว่านี่เป็นคำสัญญา แล้วถ้าเธอผิดสัญญาเมื่อไหร่ เธอจะต้องถูกลงโทษ…อย่างสาสม” อยู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะโน้มลงมากระซิบใกล้ๆ จนเธอผงะถอยด้วยความตกใจ
“เอื๊อก…!” พริบพราวกลืนน้ำลายดังเอื๊อกอย่างยากลำบาก ก็ไม่รู้ว่าประโยคนั้นคือการขู่ หรือแค่บอกให้รู้กันแน่ แต่ที่แน่ๆ คือ…เธอกลัว
หลังจากตกลงกันได้ว่าเธอทำงานต่อ ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างก็พากันนั่งทำงานของตัวเอง เขานั่งทำงานอยู่บนโต๊ะ ในขณะที่เธอก็กำลังนั่งตรวจบัญชีทั้งหมดอยู่บนโซฟา บ่อยครั้งที่เขาลอบมองมาแล้วเห็นเธอหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางกัดเม้มริมฝีปาก มันเลยทำให้เขาทนนิ่งเฉยไม่ได้อีก
