บทที่ 6
บทที่ 6
“แล้วนี่แกอยู่ไหน ฉันจะได้เอายาไปให้ แกต้องรีบกินนะ ชักช้าเดี๋ยวมันจะไม่ทันการ” เจติยาร้อนใจด้วยความเป็นห่วงเพื่อน
“ฉันว่าคงไม่ต้องกินแล้วแหละ คือฉัน…” ยังไม่ทันที่พริบพราวจะได้พูดต่อจนจบ เพื่อนก็แว้ดๆ เสียงเขียวขึ้นมาอีก
“บ้าไปแล้วเหรอ ถ้าท้องขึ้นมาจะว่ายังไง นี่แกคิดอะไรอยู่ฮะพราว ให้ตายสิ! อย่าบอกนะว่าแกจะปล่อยให้ตัวเองท้อง เพื่อจะได้แต่งงานกับผู้ชายคนนั้นน่ะ”
“โอ๊ย! ไปกันใหญ่แล้ว ใครเขาคิดแบบนั้นกันเล่า ที่ฉันบอกว่าไม่ต้องกินเนี่ย เพราะว่าเมนส์ฉันมาต่างหากเล่า เพิ่งมาสดๆ ร้อนๆ เลยเนี่ย”
“เอ้า! แล้วทำไมเพิ่งบอกเล่า ปล่อยให้ฉันพล่ามไปตั้งเยอะ มันเหนื่อยนะไม่รู้รึไง” เจติยาโวยวายอีก
“ก็แกเอาแต่พูดๆๆ พูดไม่พักเลย แล้วจะให้ฉันแทรกไปตอนไหนไม่ทราบคะคุณเจติยา แต่ก็ขอบใจแกมากนะเจที่คอยเป็นห่วงฉันทุกเรื่อง นี่ถ้าไม่มีแกอยู่ข้างๆ ฉันแทบไม่รู้เลยว่าชีวิตฉันจะเป็นยังไง รักแกนะเจ”
พอได้ยินเธอบอกรักคนอื่น คนที่ยืนฟังอยู่ข้างประตูก็ถึงกับทำท่าฮึดฮัดครั้งแล้วครั้งเล่า
“หยุดพูดอะไรเลี่ยนๆ แบบนั้นเลยนะ ขนลุกไปหมดแล้วเนี่ย แล้วนี่ตกลงจะเอาไงต่อ ถึงเมนส์แกจะมา แต่ก็ใช่ว่าจะปล่อยผ่านเรื่องเมื่อคืนได้นะ ถ้าเมื่อคืนเขาทำอะไรแกจริงๆ แกต้องเอาเรื่องเขาให้ถึงที่สุด ต่อให้เขาจะเป็นท่านประธานผู้ยิ่งใหญ่มาจากไหน แกก็ไม่ต้องกลัว เพราะฉันนี่แหละที่จะช่วยแกเอง จำไว้นะพราวว่าไม่ต้องกลัว เพราะฉันจะอยู่ข้างแกเอง” ถึงจะซึ้งกับคำพูดของเพื่อนรัก แต่พริบพราวก็อดคิดหนักไม่ได้อยู่ดี
“ฮัลโหลๆ นี่แกยังฟังฉันอยู่รึเปล่าเนี่ยพราว ทำไมถึงเงียบล่ะ” เจติยาเริ่มโวยวายอีกครั้ง เมื่อจู่ๆ เพื่อนก็เงียบไป
“เอ้อ…ฟังอยู่” พริบพราวตอบพลางถอนหายใจอย่างคิดไม่ตก
“แล้วนี่ตกลงแกจะเอาไงต่อ จะคุยกับเขาให้มันรู้ดำรู้แดง หรือจะปล่อยผ่านไปเฉยๆ” เจติยายังคงคาดคั้นต่อ ในขณะที่คนถูกคาดคั้นกลับไปต่อไม่ถูก
“ฉัน…เอ่อคือ…ฉัน”
“โอ๊ย! มัวแต่อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นั่นแหละ วันนี้จะรู้เรื่องไหม ฉันว่าฉันไปหาแกตอนนี้เลยดีกว่า จะได้คุยกันให้รู้เรื่อง” ความใจร้อนของเจติยาทำพริบพราวตาโตจนเผลอร้องออกมา
“ไม่ได้”
“อะไรของแกอีกเนี่ย ทำไมไม่ได้ ฉันก็ไปหาแก ไปนอนกับแกออกบ่อย นี่แกมีอะไรปิดบังฉันอยู่รึเปล่าเนี่ย ถึงได้ไม่อยากให้ฉันไปหา” แน่นอนว่าถึงจะไม่ได้เห็นหน้า แต่เจติยาก็คงจะจับพิรุธได้ เพราะทั้งคู่นั้นคบหาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย
“อะเอ่อ…ปละ...เปล่า ไม่มีอะไร ฉันก็แค่ไม่อยากให้แกต้องเสียเวลาเดินทาง ทำงานมาเหนื่อยๆ แกควรจะอยู่ห้องพักผ่อนสิ มีอะไรไว้ค่อยไปคุยกันพรุ่งนี้ก็ได้ อีกอย่างฉันว่าฉันจะนอนแล้วด้วย” พริบพราวจำเป็นต้องปดคำโต ด้วยไม่อยากถูกเพื่อนบ่นหูชา
“ไม่เสียเวลาเลยสักนิด เพราะตอนนี้ฉันอยู่หน้าห้องแกแล้ว”
“หา! แกว่าแกอยู่ไหนนะ” เธอตะโกนถามหน้าตาตื่น
“ก็อยู่หน้าห้องแกไง อย่าถามมาก รีบออกมาเปิดประตูเลย ยืนนานมันเมื่อย” คนฟังนัยน์ตาเบิกกว้าง ลนลานจนเลิกลั่กไปหมด จนในที่สุดก็ต้องสารภาพออกมาพลางร้องไห้ฮือด้วยความรู้สึกผิด
“ฮือ…! เจ...ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้อยู่ที่ห้องอะแก”
“เฮอะ! ถ้าไม่พูดแบบนี้ แกก็คงไม่สารภาพสินะยัยผู้ร้ายปากแข็ง” อีกครั้งที่พริบพราวตาโตด้วยความอึ้งกิมกี่
“มะ...หมายความว่าไง” เสียงเธออ่อนลงจนแทบเป็นเสียงคราง
“ก็หมายความว่าฉันไม่ได้อยู่หน้าห้องแกไง ทีนี้จะบอกได้รึยังว่าแกอยู่ไหน แล้วทำไมป่านนี้ยังไม่ถึงห้อง พูดมา แล้วก็อย่าคิดจะโกหกฉันอีกเชียว” ปลายสายขู่เสียงเขียว ทำเอาต้นสายถึงกับเม้มปาก ก่อนจะตอบกลับไปเสียงอ่อยๆ
“ฉันอยู่เพนท์เฮาส์ท่านประธาน...” ทว่าเธอพูดยังไม่ทันจบ ปลายสายก็แว้ดขึ้นมาเสียงดัง
“ไอ้พราว!” เสียงแสบแก้วหูของเจติยาทำให้พริบพราวถึงกับต้องเบี่ยงหน้าออกห่างโทรศัพท์
“โอ๊ย! แกก็อย่าเพิ่งโวยวายสิ ฟังฉันพูดให้จบก่อน”
“งั้นก็รีบๆ พูดมา ฉันรอฟังอยู่ แล้วถ้าเหตุผลฟังไม่ขึ้นล่ะก็ ฉันจะบ่นให้แกฟังสามวันสามคืนไม่ให้ซ้ำเลยคอยดู” คนเป็นเพื่อนไม่วายขู่อีก
“ให้ตายสิ! บ่นขนาดนี้นี่แกเป็นเพื่อนหรือแม่ฉันกันแน่เนี่ยไอ้เจ” พริบพราวบ่นพึมพำกลับไปบ้าง
“จะเล่าไม่เล่า ถ้าไม่เล่าฉันจะได้บ่นต่อ”
“เล่าๆๆ คือที่ฉันต้องมานี่ก็เป็นเพราะว่า………..” ว่าแล้วพริบพราวก็อธิบายเหตุผลทั้งหมดให้เพื่อนฟัง
“ต้องทำงานในห้องกับเขาสองต่อสองจนดึกดื่น แล้วแกก็ยอมเขาเนี่ยนะ” หลังจากได้ฟังที่เพื่อนอธิบาย เจติยาก็โพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก
“ก็เงินเดือนขนาดนั้นมันหาได้ง่ายๆ ซะที่ไหนล่ะ แกก็รู้ว่าตอนนี้บ้านฉันมีปัญหาเรื่องการเงิน ไหนจะเรื่องร้านเรื่องบ้าน แล้วยังมีน้องที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยอีก ถ้ามีทางไหนที่พอจะช่วยได้ ฉันก็อยากจะทำ อีกอย่างงานนี้มันก็ไม่ได้เสียหายอะไร ก็แค่เหนื่อยเพิ่มอีกหน่อย มีเวลาส่วนตัวน้อยลงหน่อย ถ้ามันจะทำให้ครอบครัวฉันสบายขึ้น ต่อให้ต้องเหนื่อยกว่านี้ ฉันก็ยอม”
ทุกประโยคของเธอทำเอาคนที่ยืนฟังอยู่อีกฟากของประตูนิ่วหน้าอย่างใช้ความคิด
“เออๆๆ ก็หวังว่าเขาจะให้แกทำงานอย่างเดียวจริงๆ แล้วกัน ว่าแต่เรื่องนั้นล่ะ แกจะเอายังไง”
“ไม่รู้สิ ก็ถ้าเป็นอย่างที่แกพูด ถ้าฉันถูกวางยาจริงๆ บางทีคนที่เป็นฝ่ายเข้าหาเขา อาจเป็นฉันเองก็ได้” ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้พริบพราวยังกล้าๆ กลัวๆ ที่จะคาดคั้นคำตอบจากเขา
“จะบ้าเหรอ คิดอะไรของแกเนี่ย ดูละครมากไปรึไง หรือถ้ามันจะเป็นอย่างที่แกว่าจริงๆ แล้วไง? แกจะปล่อยให้เรื่องมันผ่านไปเฉยๆ โดยที่ไม่ทำอะไรเลยแบบนี้น่ะเหรอ” เจติยาเอ็ดเสียงเขียว
“ไม่รู้สิ ตอนนี้ในหัวฉันมันมีหลายเรื่องให้คิดเต็มไปหมด ฉันแทบไม่รู้เลยว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี”
“เออๆๆ เอาไว้ค่อยคิดกันอีกทีก็ได้ ไว้ฉันจะช่วยแกเอง ตอนนี้แกรีบไปทำงานต่อเถอะ เสร็จแล้วจะได้รีบกลับไปพัก มีอะไรก็โทรมาแล้วกัน ยังไงฉันก็อยู่ข้างแก” หลังวางสายจากเพื่อน พริบพราวก็รีบไปจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำ ให้ตายสิ! ใครจะคิดว่าจู่ๆ ประจำเดือนจะมาก่อนกำหนด โชคดีที่ในกระเป๋ามีผ้าอนามัยอยู่ ไม่อย่างนั้นคงมีเรื่องให้ได้อายแน่ แต่ก็อีกนั่นแหละ มันคงพอแค่ให้เธอเดินทางกลับ ดังนั้นทางเดียวที่จะปลอดภัยที่สุด คือเธอต้องกลับซะตั้งแต่ตอนนี้ ส่วนเรื่องที่จะให้อยู่สะสางงานต่อคงเป็นไปไม่ได้แน่
