ตอนที่ 6: ร่างทอง
“ปี้สิงห์ หายไปตางไดมาเจ้าถึงได้มาจ้าจะอี้ (พี่สิงห์ หายไปที่ไหนมาคะ ถึงได้มาช้าอย่างนี้)” เสียงใสๆ ของบัวตองทักชายหนุ่มผิวเข้มทันทีที่เขาเดินมาถึงจุดนัดพบ
“พอดีพี่ไปเจอสิ่งที่น่าสนใจมานิดหน่อยน่ะ” สิงห์ยกยิ้มที่มุมปาก
“สิ่งที่น่าสนใจ๋ของปี้คืออะหยังครับ (สิ่งที่น่าสนใจของพี่คืออะไรครับ)” ก๋องคำถาม
“ก๋องคำเเละบัวตองอยากรู้เหรอ” สิงห์หัวเราะเบาๆ
“อยากฮู้กะเจ้า สิ่งตี้ปี้สิงห์สนใจ๋ มันต้องบ่าธรรมดาอยู่แล้ว (อยากรู้สิคะ อะไรที่พี่สิงห์สนใจ มันต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว)” บัวตองพูดอย่างอยากรู้อยากเห็น
“พอดีไปเจอคนที่มี ‘ร่างทอง’ มาน่ะ” สิงห์ยิ้ม และนั่นทำให้ก๋องคำเเละบัวตองถึงกับทำตาโตเเละอุทานพร้อมกัน
“ร่างทองเหรอ!!!”
“ใช่แล้ว 'ร่างทอง' แสงสว่างจ้าจนแสบตาเลยล่ะ คิดเหมือนกันใช่ไหมแคบหมู” ค่างแว่นตัวเล็กที่นั่งอยู่บนไหล่ขวาพูดขึ้นมา
“ฉันก็คิดเหมือนกันนั่นแหละถั่วเน่า เเสบตามว๊ากกก” ค่างแว่นตัวน้อยที่นั่งอยู่บนไหล่ซ้ายพยักหน้าเห็นด้วย
“แล้วเขามาเตวอยู่แถวนี้ยะหยังครับ เขาบ่ากลั๋วต๋ายกะ เขาบ่าฮู้กะว่าร่างทองมันยั่วน้ำลายผีขนาดไหน (แล้วเขามาเดินอยู่แถวนี้ทำไมครับ เขาไม่กลัวตายเหรอ ไม่รู้เหรอว่าร่างทองมันยั่วน้ำลายวิญญาณร้ายมากแค่ไหน)" ก๋องคำขมวดคิ้ว
“ดูจากการแสดงออกของเขา เขาน่าจะไม่รู้นะว่าตัวเองมีร่างทอง” สิงห์ยกยิ้มที่มุมปากเมื่อนึกถึงชายหนุ่มที่เขาพบเจอมาได้ไม่นาน
“จะอั้นกะอันตรายน่ะกะ (อย่างนี้ก็อันตรายน่ะสิ)” บัวตองพูด ก่อนจะคิดว่า'ร่างทอง'มันคืออะไรและทำไมมันถึงเป็นที่ต้องการของพวกผีร้าย
‘ร่างทอง’ คำนี้เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่มีดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งและบริสุทธิ์มาตั้งแต่เกิด เพราะแค่ดวงวิญญาณของร่างทองเพียงคนเดียวสามารถเทียบได้กับดวงวิญญาณของคนธรรมดาได้ถึงหนึ่งแสนดวง นอกจากนี้เลือดและเนื้อ รวมไปถึงอวัยวะต่างๆ ของคนที่มีร่างทองสามารถใช้เพิ่มพลังไสยเวทย์หรือคุณไสยให้แข็งแกร่งขึ้นได้ ดังนั้น มันจึงทำให้คนที่มีร่างทองเป็นที่ต้องการของผีร้ายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผีร้าย เช่น ผีตายโหงหรือผีพรายที่ต้องการเพิ่มพลังอำนาจของมัน และด้วยเหตุนี้คนที่มีร่างทองนั้นมักจะถูกฆ่าและตกเป็นเหยื่อของผีร้ายพวกนี้อยู่เสมอ
และเพื่อให้ได้กินร่างทอง ผีร้ายเหล่านี้จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ตัวและดวงวิญญาณของร่างทองมา ไม่ว่าจะเป็นการทำให้คนๆ นั้นเคราะห์ร้าย ประสบอุบัติเหตุ ไปจนถึงตกตายด้วยเหตุการณ์ต่างๆ และด้วยเหตุผลนี้ทำให้ผมในวัยเด็กมักจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นบ่อยๆ นั่นเอง
นอกจากนี้ร่างกายของคนที่มีร่างทองจะมีกลิ่นที่หอมหวานเป็นอย่างมากส่งผลทำให้คนที่อยู่ใกล้ๆ รู้สึกสงบใจและสบายใจ ส่วนพวกผีร้ายกลิ่นนี้จะทำให้พวกมันโหยหิวและเชิญชวนให้พวกมันเข้าไปจับและกินเขานั่นเอง ส่วนผมนั้นโชคดีที่ได้สร้อยพระประจำตระกูลมาจากคุณปู่ เพราะสร้อยพระที่ได้มานี้ช่วยคุ้มครองและปกปิดร่างทองของผมเอาไว้ไม่ให้ผีร้ายเหล่านี้รับรู้ได้
“แล้วปี้จะยะจะใดกับร่างทองคนนี้ครับ (แล้วพี่จะทำยังไงกับร่างทองคนนี้)” ก๋องคำถาม
“ไปยับมาเลยดีก่อ (ไปจับมาเลยดีไหม)” บัวตองเสนอความคิดเห็น
“ไม่ต้องถึงขั้นไปจับตัวเขามาหรอก” สิงห์หัวเราะ
“แล้วปี้สิงห์จะปล่อยหื้อเขาโดนผียับตัวไปกะเจ้า (แล้วพี่สิงห์จะปล่อยให้เขาโดนผีจับตัวไปเหรอคะ)”
“ปล่อยหื้อเขาโดนยับไปบ่าได้หนาปี้สิงห์ บ่าอี้เฮากะวุ่นวายปอแล้ว (ปล่อยให้เขาโดนจับไปไม่ได้นะครับ แค่นี้พวกเราก็วุ่นวายกันพอแล้ว)” คำพูดของก๋องคำและบัวตองทำให้สิงห์ยกยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะหันหน้าไปหาค่างแว่นตัวน้อยที่นั่งอยู่บนบ่าขวาของเขา
“ถั่วเน่าไปช่วยคุ้มครองและดูแลร่างทองให้หน่อย และให้กลับมารายงานด้วยว่าในแต่ละวันเขาทำอะไรบ้าง นอกจากนั้นถ้าเขาเจออันตรายให้ช่วยคุ้มครองเขาหรือถ้าเขาเจออันตรายมากๆให้นายกลับมาเรียกพวกเราเพื่อไปช่วยเขาทันที” สิงห์พูดกับค่างแว่นที่นั่งอยู่บนบ่าขวาที่มีชื่อว่าถั่วเน่า
“ได้เลยไม่มีปัญหา ถั่วเน่าไปก่อนนะแคบหมู” ถั่วเน่าพยักหน้าให้สิงห์ ก่อนจะบอกลาแคบหมูหรือค่างแว่นตัวน้อยอีกตัวที่นั่งอยู่บนไหล่ซ้าย
“ดูแลตัวเองด้วยนะถั่วเน่า” แคบหมูโบกมือลา จากนั้นถั่วเน่าที่นั่งอยู่บนไหล่ขวาก็สลายร่างกลายเป็นฝุ่นก่อนจะล่องลอยและหายไป
โดยค่างแว่นตัวน้อยทั้งสองตัวนี้แท้จริงแล้วพวกมันคือ ‘ผีกะพระ-นาง’ ซึ่งเป็นผีกะที่ผู้คนที่มีคาถาอาคมในภาคเหนือนิยมเลี้ยงเอาไว้ โดยในอดีตผีกะพระ-นางจะถูกเลี้ยงเอาไว้เพื่อให้คนเลี้ยงมีเมตตามหานิยม มีคนรัก คนหลง คนเมตตา และยังทำให้คนเลี้ยงมีหน้าตาที่หล่อเหลาและสวยงาม
โดยเฉพาะนักร้อง นักดนตรีและนักแสดงมักจะเลี้ยงผีกะพระ-นางเอาไว้ นั่นเป็นเพราะว่าพอตกกลางคืนผีกะพระ-นางที่เลี้ยงไว้จะเลียใบหน้าของคนที่เลี้ยง และผลของน้ำลายของผีกะพระ-นางจะทำให้คนเลี้ยงยิ่งดูสวยและดูหล่อมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าคุณจะเป็นคนขี้เหร่มากแค่ไหนก็ตาม จนทำให้ผู้คนที่ได้มองตกหลุมรักและหลงใหลไปกับความสวยงามและความหล่อเหลา
สำหรับสิงห์ ผีกะพระ-นางทั้งสองตัวอย่างถั่วเน่าและแคบหมูนั้น สิงห์ไม่ได้เลี้ยงเอาไว้เพื่อทำให้เขาหล่อขึ้นหรือมีคนรักคนหลงมากขึ้นแต่อย่างใด แต่เขาเลี้ยงเอาไว้เพื่อให้พวกมันช่วยออกหาข่าวและช่วยงานเขาในการกำจัดผีร้ายเท่านั้น
หลังจากที่สิงห์ส่งถั่วเน่ามาดูแลและคุ้มครองผมแล้ว พวกเขาก็กลับมาพูดคุยถึงประเด็นสำคัญที่ค้างกันอยู่ทันที
“ก๋องคำ บัวตอง แล้ววันนี้ได้หลักฐานอะไรมาบ้าง”
“เหมือนเดิมเลยเจ้า ผีตายโหงหมู่นี้ไปโวยมาโวยขนาด หยังกับมีไขสั่งการพวกมันอยู่ (เหมือนเดิมค่ะ ผีตายโหงพวกนี้ไปไวมาไวมาก ราวกับมีอะไรบางอย่างสั่งการพวกมันอยู่)"
“ตางนี้ก่อบ่าได้อะหยัง แต่ที่ผมฮู้ผีตายโหงหมู่นี้ได้พวกไปแหมเยอะแน่ๆ (ผมก็ไม่ได้อะไร แต่ที่ผมรู้แน่ๆ คือพวกมันได้พวกเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยล่ะ)” ก๋องคำพูดเสียงเครียด
“เอาเถอะ ถ้าไม่ได้หลักฐานอะไรพวกเราก็กลับกันเถอะ เหมือนเดิมพี่เชื่อว่าพวกมันคงออกล่ากันอีกเร็วๆนี้เเน่นอน” สิงห์พูด
“วุ่นวายยุ่งยะยุ่งหยาบ ปี้สิงห์บ่ากึ๊ดจะไปขอร้องปู่หื้อเปิ้นมาจ้วยกะ (เรื่องมันเริ่มวุ่นวายมากขึ้นเเล้วนะคะ พี่สิงห์ไม่คิดจะไปขอร้องให้คุณปู่มาช่วยเหรอคะ)” บัวตองแสดงสีหน้าเป็นกังวล
“เอาไว้ถ้าพวกเราจัดการกันเองไม่ไหว พวกเราค่อยไปขอร้องปู่ก็แล้วกัน ตอนนี้พวกเราอย่าเพิ่งไปรบกวนปู่เลย ท่านกำลังเข้าสมาธิบำเพ็ญศีลอยู่” สิงห์จ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
"ป่ะ กลับกันเถอะ” สิงห์พูดจากนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็พากันกลับ
ตัดภาพกลับมาที่ผมที่นั่งอยู่บนรถตำรวจมุ่งหน้ากลับตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่
“บ่าเสม มึงเป๋นอะหยัง หน้าซีดหยังผีต๋าย (เสม มึงเป็นอะไร หน้าซีดอย่างกับศพ)" ยัยส้มป่อยที่นั่งอยู่ข้างๆ สะกิดผมเเละถามเสียงเบาเมื่อเห็นใบหน้าของผมที่ซีดเผือด
“ไม่มีอะไรมึง” ผมตอบเสียงเบาเช่นกัน เเละนั่นทำให้ยัยส้มป่อยมองมาที่ผมอย่างสงสัย
ผมนั่งเงียบอยู่ภายในรถพร้อมกับคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ การพบเจอชายหนุ่มผิวเข้ม คนที่ผมคิดว่าเป็นฆาตกรที่ฆ่าผู้คนในหมู่บ้านแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นการที่เขาปล่อยผมกลับมามันก็ทำให้ผมเกิดความไม่แน่ใจอีกครั้ง เพราะถ้าเขาเป็นฆาตกรจริงๆ เขาจะปล่อยผมกลับมาทำไม ทำไมไม่ฆ่าผมที่เห็นหน้าเขาแล้วล่ะ และด้วยเหตุนี้เองแทนที่ผมจะเล่าเรื่องของชายหนุ่มคนนี้ให้สารวัตรอุดมและยัยส้มป่อยฟัง ผมจึงตัดสินใจขอสืบเรื่องของเขาเองอย่างเงียบๆ ก่อนดีกว่า
“อ้ายสารวัตรอุดมครับ ช่วยลดแอร์ลงหน่อยได้ไหมครับ ผมรู้สึกว่ามันหนาวๆ” ผมพูดเพราะว่าผมรู้สึกถึงอากาศเย็นๆ ที่มากระทบกับตัวของผมจนทำให้ผมถึงกับขนลุก
“เอ๊ะ!!! พี่ว่าพี่ก็ไม่ได้เปิดแอร์เย็นนะ” สารวัตรอุดมมองไปที่อุณหภูมิแอร์ที่เปิดอยู่ที่ 25 องศา และนั่นทำให้สารวัตรอุดมและยัยส้มป่อยมองมาที่ผมอย่างแปลกใจ
“อย่างนั้นเหรอครับ” ผมยิ้มแห้ง
จากนั้นผ่านไปไม่นานผมก็ค่อยๆ ยกมือขึ้นบีบนวดบริเวณบ่าด้านขวาของผมเบาๆ
“มึงเป๋นอะหยัง เมื่อยบ่าก่ะ หื้อกูจ้วยบีบก่อ (มึงเป็นอะไร เมื่อยไหล่เหรอ ให้กูช่วยนวดไหม)” ยัยส้มป่อยที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นผมบีบไหล่ของตัวเองบ่อยๆถามขึ้นมา
“เอ่อๆ ดีเหมือนกัน สงสัยกูจะแบกกระเป๋ากล้องหนักเกินไป” ผมยิ้มแห้งอีกครั้ง
จากนั้นยัยส้มป่อยก็ยื่นมือเข้ามาบีบนวดไหล่ผมเบาๆ ทันที และในระหว่างที่ผมและยัยส้มป่อยกำลังบีบนวดบ่าอยู่นั่นเอง
ถั่วเน่าที่กำลังนอนอยู่บนบ่าขวาของผมก็ร้องครางอย่างมีความสุขเนื่องจากมันกำลังถูกนวดโดยยัยส้มป่อย
“อุ๊ย อุ๊ย อุ๊ย อุ๊ย อุ๊ย
อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ
โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย
อ๊าย อ๊าย อ๊าย อ๊าย อ๊าย สบายตัวจังเลย คิดเหมือนกันไหมแคบหมู” ถั่วเน่าร้องครางอย่างมีความสุขเบาๆ ก่อนจะสะดุ้งออกมาในตอนท้าย
“อุ๊ย ลืมไปว่าแคบหมูไม่อยู่ด้วยนี่หว่า” ถั่วเน่าพูดอย่างเขินอาย ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนบ่าของผมอีกครั้ง โดยมีมือยัยส้มป่อยนวดให้มันจนเคลิ้มหลับไป
"เจี๊ยก!!!"
