บท
ตั้งค่า

อันติง | เสพติด & ความลับ

ฉันเสพติดมันมากเลย พอเห็นมันแฉะ ฉันก็เล่นกับมันไม่หยุด

และถึงแม้ตัวเองต้องลุกไปอาบน้ำเป็นครั้งที่สองหรือสาม ก็ยังหักห้ามใจที่ลุ่มหลงกับความสนุกนี้ไม่ได้ ฉันละเลงนิ้วเล่นมันไปช้า ๆ ให้ไอของน้ำอุ่นเร้าอารมณ์ที่แสนปรารถนาของตัวเอง

“โอะ โอ้ย ให้ตายสิ ชอบจัง” แผ่นหลังพิงผนังห้องน้ำขาหนึ่งข้างชัน ขณะที่นิ้วลูบไล้ตามตุ่มกระสัน ทำมันผ่านหยาดน้ำอุ่นที่ลงมาจากฝักบัว

จนน้ำหวานเปียกไหลไปตามเรียวขา มันเสียวซ่านและเป็นการปลดปล่อยที่ดีมาก จนแล้วจนเล่า ฉันเงยขึ้นเม้มปากซี้ดคราง ก่อนจะเร่งจังหวะปลายนิ้วกลาง ให้มันส่งฉันถึงสวรรค์ระลอก

“ฮะ เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจที่ดังออกมาสุดกลั้น นั่นหมายถึงการสำเร็จความใคร่ของฉัน และหลังจากนั้นฉันก็รีบอาบน้ำทำเวลา แต่งชุดนอนแขนยาวขายาวสีฟ้าลงไปรับประทานมื้อเย็นกับครอบครัว แต่เมื่อลงมาที่ห้องอาหารเท่านั้นพ่อ แม่ และพี่ติณห์ก็หันขวับมามองฉันเป็นตาเดียว เพราะขณะที่ฉันมัวแต่ช่วยตัวเองอยู่บนห้องทุกคนจะทานมื้อเย็นกันเสร็จแล้ว

“อ้าว ทำไมลงมาช้าล่ะลูก แม่บอกให้แม่บ้านไปตามตั้งนานแล้วนะ”

ฉันยิ้มตอบแล้วเดินไปเลื่อนเก้าอี้นั่งข้าง ๆ พี่ชาย ที่ตอนนี้กำลังก้มหน้าก้มตากินข้าวอยู่

“เอ่อ พอดีอันติงอาบน้ำอยู่ค่ะ ไม่ได้ยิน” ฉันตอบยิ้ม ๆ พยายามรักษาความสดใสของตัวเองไว้ให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้ครอบครัวรู้ว่าที่ฉันหายไปฉันกำลังลุ่มหลงอยู่กับเรื่องใต้สะดือ

“งั้นกินข้าวเถอะ จะได้รีบอ่านหนังสือและเข้านอน” พ่อบอก ขณะที่ตัวเองเอื้อมตักปลาราดพริกให้กับฉัน

จนอยู่ ๆ พี่ติณห์ที่นั่งข้าง ๆ หันมามองตาม และขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“เราเรียนจบเมื่อไหร่? ปีนี้ปีสุดท้ายใช่มั้ย?”

“ปีสุดท้ายแล้วค่ะ ถามแบบนี้ เรียนจบพี่ติณห์จะให้ตั๋วเครื่องบินเที่ยวรอบโลกใช่มั้ย”

“ฮ่า ๆ ได้ทั้งนั้น ตั้งใจเรียนให้จบล่ะ จบมาจะได้เข้าบอร์ดบริหารโรงพยาบาล ไม่ต้องไปเป็นหมอให้เหนื่อย” ฉันพยักหน้ายิ้ม ๆ อย่างที่บอกครอบครัวแม่ฉันมีธุรกิจโรงพยาบาลที่บริหารร่วมกับญาติ ๆ นั่นก็คือน้ากาแฟ ซึ่งเครือญาติฝั่งแม่ฉันกว้างขวางมาก ฉันยังมีลูกพี่ลูกน้องที่ต้องเข้าบอร์ดอีกตั้งหลายคน

เช่นต้นหนาว ต้นเหนือ ต้นข้าว ลูกน้ากาแฟก็สามแล้ว ฉะนั้นฉันจึงไม่ได้คาดหวังอะไรกับโรงพยาบาลแม่ หันไปสนใจหุ้นสายการบินพ่อมากกว่า

เพราะฝั่งพ่อฉันท่านเป็นลูกชายคนเดียว ตำแหน่งซีอีโอจึงตกทอดสู่บ้านฉันตรง ๆ ไม่มีหัก ไอ้ที่รวยมีเงินใช้มาก ๆ ก็เพราะธุรกิจสายการบินที่พี่ติณห์บริหารแทนพ่ออยู่นี่แหละ ซึ่งพี่ติณห์เองก็กำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว กำลังวางแผนแต่งงานกับพี่ ลิลิน พี่สาวแท้ ๆ ของลีอองกลุ่มตระกูลมาเฟีย

เห็นมั้ย ฉันคงเกลียดเขาไม่ได้มากกว่านี้ และเรื่องบางเรื่องก็จำเป็นต้องช่วย เพราะอีกเดี๋ยวเราก็ดองกันแล้ว

“เอ้ออันติง มะรืนพ่อจะจัดงานเลี้ยงที่สำนักงาน เลี้ยงพนักงานใกล้เกษียณและกัปตันอาวุโส อันติงไปกับพ่อด้วยนะ” ฉันเหรอ? ฉันเกี่ยวอะไร?

“แล้วพี่ติณห์ล่ะคะ ทำไมต้องอันติง” ฉันหันไปถามพ่อด้วยความสงสัย ทำไมต้องฉัน งานเกี่ยวกับสายการบินมันของพี่ติณห์นี่น่า ลำพังเรียนและขึ้นวอร์ดฉันก็แทบจะไม่มีเวลาอยู่แล้ว ยังจะให้ฉันออกงานสังคมอีก

“งานนี้เขาควงลูกสาวออกงานกัน”

“ควงลูกสาว? ตลกดีนะคะ”

“มันเป็นตรีมงานน่ะ พ่อเองก็ไม่เข้าใจ” แล้วฉันก็หันมองแม่กับพี่ติณห์ทันทีเพื่อขอความเห็น ซึ่งพี่ติณห์เองก็ยิ้ม ส่วนแม่ ตามคาด ท่านพยักหน้าเห็นด้วย

“ไปเถอะ พี่เราก็อยู่ที่สำนักงานอยู่แล้ว และงานก็จัดที่ห้องประชุมใหญ่ที่นั่น ลูกควรไปเปิดตัวเจอคนในสำนักงานบ้าง พ่อเราจะได้โม้ลูกสาวด้วย”

แหม... ฉันมีอะไรให้โม้ เรียนก็ยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ แถมงานการก็ยังไม่ได้ทำ ยังไม่ประสบผลสำเร็จเลย มีแค่คำว่านักศึกษาแพทย์แปะกลางหน้าผากเท่านั้นแหละ

“อืม ขอพ่อโม้หน่อยเถอะ ลูกสาวพ่อสวย”

“ก็ได้ค่ะ มะรืนนะคะ หนูจะได้รีบกลับ”

“ครับลูก” หลังจากทานมื้อเย็นกับครอบครัว ฉันก็กลับขึ้นมาอ่านหนังสือเหมือนเคย ๆ ซึ่งไม่อ่านไม่ได้เพราะใกล้จบปีหกฉันต้องสอบใบประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ขั้นที่สาม (ขั้นสุดท้าย)

มันหินมากแถมมันยังเป็นการสอบแบบออสกี้ (OSCE) สอบปฏิบัติ

ที่มีเสียงกริ๊งกำหนดเวลา และมีตั้งสามสิบฐาน เรียกว่าต้องดึงความรู้และประสบการณ์มาต่อสู้กับความกดดันเลยแหละ

ซึ่งนอกจากอ่านหนังสือ ฉันก็เรียนรู้มันทุกวันผ่านเคสในโรงพยาบาลรัฐแห่งนี้ ฉันตื่นเช้าราวน์วอร์ดทุกวัน ซึ่งวอร์ดที่ว่านี้ก็คือตึกผู้ป่วยที่มีการแบ่งคนไข้ตามกลุ่มโรคต่าง ๆ ที่เป็น

เช่น คนไข้ที่รับการผ่าตัดมา และพักฟื้นอยู่ในห้องพักผู้ป่วยศัลยกรรม

เราเรียกวอร์ดศัลย์ ส่วนคนไข้ที่เป็นเด็กพักในห้องเด็กนั้นเราก็เรียกว่าวอร์ดเด็ก

ซึ่งวันนี้ฉันเองต้องราวน์กับพี่Intern ที่วอร์ดนี้

“อย่าวิ่งหนีเตลิดอีกนะ” พี่ Intern แซวทันที เมื่อฉันเดินตามหลังต้อย ๆ ขึ้นลิฟต์ไปกับเขา

“ไม่แล้วค่ะ วันนั้นหนูแค่พะอืดพะอมกลิ่นฟอร์มาลิน”

“หมอใหม่ก็แบบนี้ล่ะ เดี๋ยวสักพักก็ชิน” ชิน?

ฉันเงยขึ้นมองพี่ Intern ทันที แหม... ถ้าตัวเองรู้ว่าการเป็นหมอมันผ่านอะไรบ้าง ทำไมในห้องสุขนิรันดร์ไม่เข้าใจฉันเลย ด่าและกดดันกันอยู่ได้

“เมื่อก่อนพี่Internก็เป็นแบบนี้เหรอคะ?” ฉันหันไปถามคนที่ยืนล้วงกระเป๋าเสื้อกาวน์อยู่ข้าง ๆ จนเขาหันมาขมวดคิ้ว และจ้องหน้าฉันทันที

“เรียกพี่ว่าพี่เกมส์เถอะ ไม่ต้องเรียกเป็นทางการทุกเวลาก็ได้”

“เอ่อ... ได้ค่ะ เมื่อก่อนพี่เกมส์ก็เป็นแบบนี้เหรอคะ?”

“ไม่เป็น แต่เห็นเพื่อนคนอื่นเป็น น้องน่ะทำใจให้ชินเถอะ ขนาดศพมีสภาพปกติยังสติแตกขนาดนี้ แล้วถ้าเละเทะมาจะสติแตกขนาดไหน”

นึกถึงแล้วก็จะอ้วกจริง ๆ นะ ฉันไม่ชอบศพหรือคนตายเลย ตอนเรียนกับอาจารย์ใหญ่ที่มหาลัยฉันก็ฝืนใจไปทุกวัน นี่รอดมาแล้วยังไม่พ้นการชันสูตรศพอีก

เอ๊ะ ว่าแต่วันนั้น พี่เกมส์ชันสูตรศพจนเสร็จนี่น่า เขาต้องรู้แน่ ๆ ว่าศพนั้นมีผลชันสูตรยังไง และมีคดีอะไรที่ต้องดำเนินบ้าง ฉันควรถามเขา!

“เอ่อพี่เกมส์คะ ศพวันก่อน ตอนนี้มีญาติมารับไปรึยังคะ? แล้วตำรวจว่าไงบ้าง?”

“ยังนะ ส่วนตำรวจ พอไม่มีญาติติดต่อรับ ตำรวจก็ไม่สนใจคดีเลย ป่านนี้มูลนิธิคงย้ายไปไว้ที่สุสานศพไร้ญาติแล้วมั้ง”

ย้ายไปแล้วเหรอ? ทำไมเร็วจัง เพิ่งสามวันเองนะ

“อ้าว ทำไมย้ายไปเร็วล่ะคะ?”

“เรียนจะจบอยู่แล้ว ไม่รู้อะไรเลยรึไง โรงพยาบาลเราโรงพยาบาลรัฐ คนตายทุกวัน เก็บศพไม่พอหรอก” เออแหะ…ฉันลืมไปได้ไง แต่ใจนึงก็แปลกใจนะทำไมสิ่งที่ลีอองให้ฉันทำจากที่ยาก และเสี่ยง อยู่ ๆ มันก็ดูง่ายไปซะหมด

และโชคดีที่ฉันยังไม่เอาวิชาชีพที่สูงส่งของฉันไปเกือกกลั้ว เฮ้อโล่ง หวังว่าจบเรื่องนี้แล้วอิฆาตกรเขาจะไม่มาวุ่นวายกับฉันอีกนะ!

“แบบนี้ตำรวจคงปล่อยเลยตามเลยใช่มั้ยคะ จบแน่ ๆ ใช่มั้ยคะพี่เกมส์”

“ส่วนมากเป็นแบบนั้น พี่ก็ไม่แน่ใจ เอาล่ะ เลิกถามเข้าไปตรวจเด็ก ๆ ได้แล้ว” เมื่อเสียงลิฟต์ดัง ‘ติ๊ง’ พี่ Intern ของฉันก็เปลี่ยนโหมดขรึมทันที ก่อนที่เขาจะเดินล้วงกระเป๋ากางเกงออกจากลิฟต์ไปที่วอร์ด และเริ่มตรวจคนไข้ตั้งแต่เตียงแรก

ส่วนฉันก็ยังทำหน้าที่เหมือนเคย ๆ ตรวจ ถาม ซักอาการและความคืบหน้ากับผู้ปกครองเด็กจนมาหยุดที่เตียงนึง เตียงที่มีน้องผู้หญิงนอนหลับสนิท และมีผู้ปกครองกำลังร้องห่มร้องไห้ข้าง ๆ

“เอ่อ... สวัสดีค่ะ น้องเป็นยังไงบ้างคะ ยังถ่ายเหลวอยู่มั้ย”

เมื่อฉันเดินเข้าไปถามผู้หญิงคนนั้นก็ปาดน้ำตาทันที ก่อนที่จะลุกขึ้นจากเก้าอี้ และพยายามตอบฉันเสียงสั่นเครือ

“มะ ไม่แล้วค่ะ คุณหมอ”

“เอ... แล้วมีอาการอื่นร่วมไหมคะ อาเจียน พะอืดพะอม ปวดท้อง”

ฉันถามอีกครั้ง เพราะแม่ของเด็กดูวิตกกังวลแปลก ๆ จนเธอก้มมองลูกสาวเท่านั้นแหละน้ำตาก็หยดเผาะลงมาต่อหน้าต่อตาฉันและพยาบาล

“ฮึก ๆ ไม่ค่ะ แต่น้องไม่ยอมทานอะไรเลย เพราะคิดถึงพ่อ คุณหมอคะ ช่วยตามพ่อเขามาดูลูกได้มั้ยคะ ลูกฉันเขาติดพ่อมาก ตั้งแต่ฉันกับสามีเลิกกัน

เขาก็ไม่ดูดำดีลูกเลยค่ะ พอฉันโทรไปบอกเขาก็หาว่าฉันโกหก และบล็อกเบอร์ฉันฮือ ๆ” รู้สึกเศร้าจัง มาเห็นคนป่วยกายแล้ว ฉันยังต้องมาเห็นคนป่วยใจอีก

“ค่ะ ได้ค่ะ เดี๋ยวทางเราจะโทรแจ้งคุณพ่อน้องให้ ยังไงคุณแม่ฝากรายละเอียดไว้กับพยาบาลได้เลยนะคะ แต่ระหว่างนี้อยากให้คุณแม่เกลี้ยกล่อมน้องให้ได้ ทานสักนิดสักหน่อยรองท้องก็ยังดีค่ะ”

“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะหมอ ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ” ฉันรีบรับไหว้แม่ของเด็กแทบไม่ทัน ก่อนที่จะส่งยิ้มให้กำลังใจเธอ และหันไปตรวจคนไข้เตียงอื่นต่อ

จนเสร็จจากการราวน์วอร์ดช่วงเช้า ฉันก็นัดแนะกับมะนาวที่ราวน์วอร์ดศัลย์เสร็จพอดี เราตกลงไปหาอะไรทานกันง่าย ๆ ในที่สุดหรู ทาดา! นั่นก็คือโรงอาหารของโรงพยาบาลแห่งนี้!

“เหนื่อยจัง เมื่อคืนฉันทำงานทั้งคืน ยังต้องตื่นมาราวน์คนไข้อีก เฮ้อ

เจอสภาพนี้แล้วฉันไม่อยากเป็นหมอทั่วไปเลยแก อยากเรียนเฉพาะทางมาก”

มะนาวบ่นอุบอิบเมื่อยกจานข้าวมานั่งร่วมโต๊ะกับฉัน แต่เท่าที่ดูหน้าไม่บอกก็รู้ว่าเธอเหนื่อยและเพลียจริง ๆ เพราะต่อให้แต่งหน้าปกปิดขอบตามะนาวก็ดำปี๋ราวกับคนอดหลับอดนอนมาทั้งคืน

เอ๊ะ เมื่อกี้มะนาวบอกว่าทำงานทั้งคืน งานอะไรทั้งคืน? มันมีด้วยเหรอ?

“แกรับงานเหรอเมื่อคืน งานที่ไหน?” ฉันถามด้วยความสงสัย พริตตี้ MC อะไรจะวิ่งงานการคืนบ่อยขนาดนี้ และนี่มันไม่ใช่ครั้งแรกด้วยนะที่มะนาวบ่นเรื่องอดหลับอดนอนกับฉัน

“ก็... งานกับคนใหญ่คนโตน่ะ เขาจ้างพิเศษ และบางครั้งก็ทั้งคืน”

‘เคร้ง’ ช้อนในมือฉันหล่นลงจานข้าวทันทีจนมะนาวสะดุ้งตกใจ แต่ที่ตกใจกว่าก็คือฉัน ฉันเงยขึ้นมองหน้ามะนาวด้วยสายตาจริงจัง มองเพื่อกดดัน และที่สำคัญต้องการเค้นความจริงกับเธอให้ได้

“บอกฉันมาแกทำอะไร? แกไม่ได้ทำแค่งานพริตตี้ MC เหรอมะนาว?”

มะนาวก้มหน้าลงมองจานข้าว และเธอก็เงียบไปสักพักเขี่ยข้าวในจานตัวเองไปมา

“อืม ฉันเงินไม่พอใช้อ่ะ ก่อนยายเสียฉันต้องกู้เงินนอกระบบมารักษายายหลักล้าน แต่ฉันไม่ได้มั่วนะแกฉันขายให้คนเดียวแค่เป็นเด็กส่วนตัวเขาน่ะ ถ้าเขาต้องการก็แค่ไป ไม่ต้องการก็ต่างคนต่างอยู่ไม่ก้าวก่ายกัน”

“คะ ใคร? เสี่ยเหรอ?”

“...”

“ใคร? มะนาว”

“แกไม่ต้องรู้หรอกมันไม่จำเป็นแล้ว เพราะฉันขายตัวใช้หนี้หมดเมื่อไหร่ ฉันก็จะเลิกติดต่อเขา” รอยยิ้มของมะนาวตอนนี้มันเป็นรอยยิ้มที่เศร้าที่สุดที่ฉันเคยเห็น และฉันก็จะไม่ยอมให้เพื่อนฉันเป็นแบบนี้อีกแล้ว ทางออกมีตั้งเยอะแยะฉันนี่แหละจะช่วยมะนาวเอง!

“แกติดหนี้เท่าไหร่แกว่ามาเลยมะนาว ฉันจ่ายให้เอง และแกก็ไม่ต้องคืนฉันสักบาท ถือว่าฉันจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ยายแก”

“ไม่ได้! ฉันจะไม่ใช้เงินแกเด็ดขาดอันติง ฉันไม่อยากเป็นเหมือนที่คนอื่นเขาพูดกัน ว่าฉันคบแกเพราะเงิน!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel