บทที่ 4
“ถ้าทุกอย่างฟ้ากำหนดไว้แล้ว มันก็เปลี่ยนยาก” นรากรถอนหายใจออกมาเบาๆ นั่นเพราะฟ้าที่ว่าคือบุพการีไม่ใช่คนอื่นเลยนี่นา
“เรานี่แหละจะเป็นคนเปลี่ยนฟ้าเอง คอยดู”
“ยังไง ไหนเล่าแผนมาซิ” เพราะอยากรู้ว่าเพลงขวัญคิดจะทำอะไร นรากรจึงเอ่ยถามขึ้น เพลงขวัญก้มมองรองเท้าที่สวมอยู่ตอนนี้แล้วเอ่ยยิ้มๆ ออกมา
“ไว้จะเล่าวันนั้น...โอเค้”
“โอเค” นรากรยิ้มให้ และเข้าใจคำว่าวันนั้นได้ไม่ยาก เพราะมันคือวันแต่งงานของเพลงขวัญกับ...ผู้ชายคนนั้นนั่นเอง
“เฮ้อ! ชีวิตเรามันจะมีอะไรดีๆ กับเขาบ้างมั้ยนะ”
“มีสิ ต้องมี”
“เฮ้อ!” เพลงขวัญถอนหายใจออกมาหนักๆ เหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวก็ต้องแต่งงานแล้ว แค่คิดใจมันก็ห่อเหี่ยว จนทุกอย่างรอบตัวเวลานี้พลอยหม่นตามไปด้วย จะว่าไปทันทีที่รู้ว่าต้องแต่งงานเธอก็แทบไม่ฝันถึงงูยักษ์สีแดงนั่นอีกเลย คิดแล้วก็น่าโมโห
“แกเป็นถึง เป็นถึงอะไรดี เป็นคนดีศรีสังคม บาปไม่เคยทำ วัดก็เข้าทำบุญบ่อยๆ ก็ได้อ่ะต้องเข้มแข็งและทำเพื่อชาติ”
“แต่งงานเนี่ยนะทำเพื่อชาติ แกก็บ้า” จากที่เศร้าตอนนี้เพลงขวัญกลับมายิ้มขำได้เพราะคำพูดของนรากร
“ก็เพื่อผลิตทายาทของชาติไง”
“ฟังแล้วยิ่งอารมณ์เสียเลย” เพลงขวัญพูดไปงั้นเอง ใจจริงเธอไม่ได้อารมณ์เสียอะไรไปมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะตั้งแต่รู้ว่าต้องแต่งงานเมื่อหกเดือนก่อน เธอก็ตกอยู่ในภาวะอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้มาตลอด ซึ่งทางออกในการระบายอารมณ์ของเธอก็แค่ไปหาอะไรทำเพื่อรีดเหงื่อไม่ให้สมองว่างจนมีเวลามานั่งคิดฟุ้งซ่าน
“พี่คะ เอาสองคู่นี้ค่ะ” คำพูดของเพลงขวัญทำเอาพนักงานที่ยืนรออยู่ไม่ไกลยิ้มกว้าง นั่นเพราะหลังปิดงานขาย เธอจะได้ค่าคอมมิชชั่น ซึ่งครั้งนี้มันเยอะมากเนื่องจากรองเท้าที่เพลงขวัญเลือกนั้นราคาไม่ใช่น้อยๆ
“สรุปเหมา”
“อื้อ”
“งั้นเสร็จจากนี้เราไปหาอะไรกินกัน มื้อนี้เราเลี้ยงเอง”
“โอเคค่ะ ชอบเลยมีเจ้ามือแบบนี้” เพลงขวัญเอ่ยรับ เมื่อจัดการซื้อรองเท้าเสร็จทั้งคู่ก็เดินไปหาอะไรกินกันสองคน ก่อนที่เพลงขวัญจะนึกอะไรขึ้นมาได้ว่าเธอนั้นลืมถุงรองเท้าแต่งงานไว้ที่ร้านขายรองเท้าเมื่อครู่นี้ เพราะของบางอย่างที่มันไม่สำคัญก็มักจะถูกลืมได้ง่ายๆ
แม้ภายนอกเพลงขวัญยังคงยิ้มแย้มหรือหัวเราะ แต่นรากรก็มองออกว่าเพื่อนดูเศร้าและกังวลกับสิ่งที่ใกล้เข้ามา เป็นเธอเธอก็เครียดเหมือนกัน แต่ในเมื่อมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ได้แต่ปลอบใจให้สู้ๆ กันไป
2 อาทิตย์ก่อนงานแต่ง
ภายในห้องรับแขกของบ้านหลังใหญ่สมฐานะนักธุรกิจส่งออก เวลานี้ช่างดูครึกครื้น เต็มไปด้วยคนจากร้านเวดดิ้งที่พร้อมใจกันเข้ามาเพื่อฟิตติ้งชุดแต่งงานทั้งชุดเจ้าสาวและชุดไทยกับว่าที่เจ้าสาวอย่างเพลงขวัญเป็นครั้งสุดท้าย แม้ชุดจะสวย มงกุฎจะงาม ไหนจะเวลเจ้าสาวลูกไม้พลิ้วๆ ราวกับเจ้าหญิงแต่สีหน้าของว่าที่เจ้าสาวกลับเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ร่วมใดๆ จนพนักงานร้านเวดดิ้งต้องเอ่ยถามว่าเธอนั้นไม่สบายหรือไม่ ซึ่งคำตอบที่ได้คือเธอสบายดี เพลงขวัญอยากหลบไปนั่งห้องอื่นแต่พอหันมาสบตากับผู้เป็นแม่ก็มีอันให้ต้องเปลี่ยนใจสิ่งที่ทำได้คือปลีกตัวไปนั่งอีกมุม ผู้เป็นแม่เห็นแบบนั้นจึงวางชุดเจ้าสาวในมือลงแล้วเดินเข้าไปหา
“ไม่ชอบชุดเหรอลูก” น้ำเสียงอบอุ่นเอ่ยถาม แม้จะไม่ชอบใจเรื่องที่สามีคลุมถุงชนลูกสาวคนเดียวของครอบครัว แต่เธอก็ค้านอะไรไม่ได้มาก เพราะนั่นคือคำสัญญาที่สามีให้ไว้กับเพื่อนสนิท
“ไม่ใช่ไม่ชอบค่ะแม่ แต่ไหม…”
“แม่รู้ว่าไหมคิดอะไร แต่เท่าที่แม่ได้รู้จักพี่เขา พี่เขาก็เป็นคนดีคนหนึ่งนะลูก หน้าตาก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ออกจะหน้าตาดีเสียด้วยซ้ำ หน้าที่การงานก็ดี” จิตราเอ่ยขึ้น เพราะเธอได้พบหน้าว่าที่ลูกเขยมาแล้ว จะมีก็เพียงเพลงขวัญที่ยังไม่ได้เจอ
“เพอร์เฟคขนาดนั้นยอมแต่งงานง่ายๆ แบบนี้เป็นเกย์หรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ไม่หรอก แม่มั่นใจว่าพี่เขาไม่ใช่เกย์” ที่มั่นใจแบบนั้นเพราะจิตราเคยพบและได้พูดคุยกับว่าที่ลูกเขยมาแล้วนั่นเอง วันนั้นเพลงขวัญมีนัดต้องไปพบด้วย แต่จู่ๆ ลูกสาวก็เบี้ยวนัดด้วยเหตุผลว่าไม่สบาย
“แล้วทำไมถึงยอมแต่งงานกับไหมคะ ทั้งๆ ที่เจอกันก็ไม่เคยเจอ”
“คำสั่งของผู้ใหญ่ บางทีเด็กๆ ก็ขัดอะไรไม่ได้นักหรอก อย่างตอนที่แม่แต่งงานกับพ่อ แม่เองก็ไม่เคยเห็นหน้าพ่อหรือได้คุยกับพ่อมาก่อน ผู้ใหญ่เป็นคนดูทั้งนั้น สุดท้ายแม่กับพ่อก็รักกันและมีลูก” สีหน้าและแววตายามที่เอ่ยถึงสามียังเปี่ยมไปด้วยความรัก นั่นทำให้เพลงขวัญรู้สึกซาบซึ้งแกมอิจฉาความรักของแม่กับพ่อ ที่ทุกอย่างดูจะลงตัวไปเสียหมด
“แต่ทฤษฎีคลุมถุงชนแล้วเจอรักแท้เหมือนแม่มันอาจไม่เกิดขึ้นกับไหมก็ได้นะคะ เขาอาจเป็นคนดีแค่ภายนอก แต่ตัวจริงแล้วร้ายกาจ ชอบทำร้ายร่างกายไหมขึ้นมาจะทำไง”
“ถ้ามีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นจริงๆ ไหมคิดว่าพ่อจะเอาพี่เขาไว้เหรอลูก”
“พ่อคงฆ่าเขาตาย”
“ใช่”
“แต่ทำไมต้องรอให้ไหมเจอเหตุการณ์ไม่ดีก่อนถึงค่อยจัดการล่ะคะ ยกเลิกงานแต่งงานไปตั้งแต่ตอนนี้ไม่ได้เหรอ” เพลงขวัญยังคงดื้อดึง แม้จะทำใจให้ยอมรับแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ
“ไม่ได้จ้ะ”
“เฮ้อ!”
“แม่รักลูกนะไหม” คำพูดของผู้เป็นแม่พร้อมกับอ้อมกอดที่กำลังสวมกอดเธออยู่ในตอนนี้พลอยทำให้เพลงขวัญตื้อๆ ในอกบอกไม่ถูก เธอคงเลี่ยงงานแต่งงานที่ใกล้เข้ามาไม่ได้แล้วสินะ สุดท้ายเพลงขวัญก็ยอมกลับไปฟิตติ้งชุดและอื่นๆ ที่จำเป็นต่อ
แต่ก็ใช่ว่าเธอนั้นต้องการให้งานแต่งงานนี้ถูกยกเลิกแค่คนเดียวเพราะว่าที่เจ้าบ่าวอย่างอชิเองก็นั่งหน้าบอกบุญไม่รับเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มปฏิเสธเรื่องนี้ตั้งแต่รู้เช่นกัน และตลอดเวลาสองเดือนที่ผ่านมานี้เขาก็ยืนกรานที่จะไม่แต่งงานมาตลอดแต่ไม่ว่าจะพูดยังไงผู้เป็นพ่อก็ยังคงให้เขาต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่ชื่อว่าเพลงขวัญ
“ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อยสิว่าที่เจ้าบ่าว”
“หึ…ข้าไม่หนีไปบวชก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
