บท
ตั้งค่า

บทที่ 1

“... และในโอกาสนี้ ... กระผมขอเชิญชวนให้ทุกท่านได้ดื่มอวยพรให้แก่ดยุคแห่งแคลม์เบลล์กับเจ้าสาวแสนสวยของท่าน... ”

ถ้าเป็นในสถานการณ์ปกติธรรมดา เสียงประกาศเชิญชวนให้ดื่มอวยพรเพื่อความสุขในชีวิตสมรสครั้งนี้ ย่อมจะต้องทำให้สุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ผู้มาร่วมชุมนุมกันอยู่ภายในห้องโถงกลางแห่งปราสาท “แคชเชอร์” ส่งเสียงไชโยและดื่มน้ำอมฤตในถ้วยทองด้วยใบหน้าอันระเรื่อด้วยรอยยิ้ม และหลังจากนั้นแล้ว ก็ยังจะดื่มฉลองพิธีวิวาห์ซึ่งจัดขึ้นอย่างหรูหราสมเกียรติยศของทั้งสองฝ่ายในปราสาทอันโอฬารซึ่งตั้งอยู่ทางภาคใต้ของสก๊อตแลนด์แห่งนี้

แต่มิใช่ในวันนี้...มิใช่พิธีวิวาห์ครั้งนี้...

ในพิธีวิวาห์ครั้งนี้...ไม่มีผู้ใดส่งเสียงไชโยโห่ร้อง ไม่มีผู้ใดยกถ้วยทองขึ้นจิบน้ำอมฤตเพื่ออวยพร จะมีก็ แต่...ต่างฝ่ายต่างจับตามองความเคลื่อนไหวของกันและกันอยู่ในอาการตึงเครียด

ทุกคน...แม้แต่ญาติของฝ่ายเจ้าบ่าวและฝ่ายเจ้าสาวล้วนเต็มไปด้วยความตึงเครียด บรรดาแขกเหรื่อที่ได้รับเชิญมาร่วมงาน หรือแม้แต่คนรับใช้ทั้งหลายที่ร่วมอยู่ในพิธีการล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม แม้แต่เอิร์ลแห่งแคชเชอร์ที่ 1 ซึ่งปรากฏอยู่ในภาพเขียนเหมือนจริงแขวนประดับอยู่ตรงผนังห้องก็พลอยมีสีหน้าตึงเครียดไปด้วย

“ขอดื่มอวยพรให้แก่ดยุค แห่งแคลม์เบลล์กับเจ้าสาว...” เสียงน้องชายของเจ้าบ่าวประกาศขึ้นอีกครั้ง เสียงนั้นเสียดแทรกออกไปในท่ามกลางความสงัดเงียบที่ราวกับทุกคนกำลังเข้ามาชุมนุมกันอยู่ในสุสาน “ขอให้ทั้งสองได้ครองชีวิตกันยั่งยืนนาน ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง”

ซึ่งถ้าเป็นในยามปกติอีกเช่นกัน คำอวยพรแบบโบราณนี้ย่อมจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาอันเป็นที่คาดหมายได้...ฝ่ายเจ้าบ่าวจะต้องยิ้มแย้มอย่างภาคภูมิใจ เพราะเชื่อมั่นว่าเขาได้สิ่งวิเศษสุดมาครอบครองไว้แล้ว... เจ้าสาวก็จะยิ้มระรื่นเพราะเธอสามารถสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นกับเขาได้...ส่วนแขกเหรื่อก็จะยิ้ม เพราะพิธีวิวาห์ระหว่างคู่บ่าวสาวที่อยู่ในตระกูลขุนนาง หมายถึงการประสานสัมพันธ์ระหว่างตระกูลอันยิ่งใหญ่ที่มีความสำคัญให้แนบแน่นยิ่งขึ้น มันเป็นงานที่สมควรแก่การอวยชัยให้พรยิ่งนัก

เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่วันนี้...มันไม่ใช่วันที่ 14 แห่งเดือนตุลาคม 1497...

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ดื่มอวยพรแล้ว น้องชายก็หันไปยิ้มให้บุรุษผู้เป็นเจ้าบ่าวและพี่ชายของตนอย่างเครียดขรึม บรรดาเพื่อนพ้องของฝ่ายเจ้าบ่าวต่างก็ยกถ้วยทองในมือของตนชูขึ้นไปทางครอบครัวของฝ่ายเจ้าสาวพร้อมกับยิ้มให้อย่างเสียไม่ได้

และแล้ว...เจ้าบ่าวก็ชูถ้วยทองในมือไปทางเจ้าสาวรอยยิ้มเย็นปรากฏอยู่บนใบหน้า...

แต่เจ้าสาว ไม่สนใจที่จะส่งยิ้มให้กับใครทั้งสิ้น สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเคืองขุ่นหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตนเอง

ถ้าจะพูดกันตามความเป็นจริง ยามนี้โจนน์ตกอยู่ในความประหวั่น จนแทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีผู้ใดเข้ามาร่วมชุมนุมอยู่ในห้องนี้บ้าง ทุกอณูในเรือนกายมุ่งอยู่แต่กับการพร่ำภาวนาต่อพระเจ้าผู้ทรงปราศจากความสนใจไยดีในตัวเธอโดยสิ้นเชิง และยังทรงนำเธอมาจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายอันน่าเศร้าเสียใจนี้

“ข้าแต่พระองค์... ” เธอครวญคร่ำอยู่ในใจ ลำคอตีบตันด้วยความสยดสยอง “ถ้าพระองค์จะทรงทำประการใดเพื่อยุติการแต่งงานครั้งนี้ได้ ก็ทรงรีบ ๆ ทำเข้าเถอะ ไม่เช่นนั้นอีกเพียงแค่ห้านาทีข้างหน้า ทุกอย่างมันก็จะสายเกินไปแล้ว ข้า ฯ ควรจะได้ในสิ่งที่ดีกว่าถูกบังคับให้แต่งงานกับผู้ชายคนที่พล่าผลาญความบริสุทธิ์ของข้าฯ อยู่ ๆ พระองค์ก็จะทรงจับข้า ฯ ไปใส่มือเขาง่าย ๆ ยังงั้นมันไม่ถูกนะเจ้าคะ”

แต่ดูเหมือนเธอจะได้ตระหนักว่าตัวเองกำลังใช้ถ้อยคำรุนแรงแก่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธานุภาพ จึงรีบเปลี่ยนถ้อยคำถามนั้นเสียใหม่

“ทำไม... ข้า ฯ จะต้องเชื่อฟังในคำสั่งของพระองค์ตลอดไปเช่นนั้นหรือเจ้าคะ”

“ก็ไม่เสมอไปหรอกโจนน์” เธอมีความรู้สึกราวกับเสียงตอบจากพระเจ้าสนั่นขึ้นในหู

“แต่มันก็เกือบทุกครั้งละเจ้าค่ะ” โจนน์ร้องตอบอยู่ในใจด้วยความพรั่นพรึง “พระองค์ทรงรู้ดีว่า ข้าฯ ไปร่วมพิธีนมัสการทุกครั้ง นอกจากเวลาที่เจ็บป่วยไม่สบายเท่านั้นซึ่งก็น้อยครั้งเต็มที แต่ข้า ฯ ก็สวดมนต์อธิษฐานทุกเช้าค่ำ... ” เธอรีบกล่าวต่อด้วยเกรงว่าความขัดแย้งในใจจะมาทำให้ไขว้เขว

“แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกัน ที่ข้าเกิดง่วงแล้วก็หลับไปก่อนจะสวดมนต์เสร็จ แต่ข้า ฯ ก็พยายามทำตัวดีที่สุดเท่าที่ซิสเตอร์ที่วัดทั้งหลายอยากจะให้ข้า ฯ เป็น พระองค์ทรงรู้ดีว่าข้า ฯ ได้ใช้ความพยายามมากแค่ไหน...” เธอรู้สึกสิ้นหวังอย่างเหลือประมาณ “ถ้าพระองค์ทรงช่วยให้ข้า ฯ ผ่านพ้นวาระนี้ไปได้ ข้า ฯ ขอสาบานว่าจะเป็นสาวกที่ซื่อสัตย์ที่สุดต่อพระองค์เพียงผู้เดียว”

“เราไม่เชื่อเจ้าหรอกโจนน์” พระเจ้าทรงตอบกลับมาทันที

“โธ่ เชื่อเถอะเจ้าค่ะ ข้า ฯ สาบานให้ก็ได้” เธอพยายามต่อรองต่อไป “ข้า ฯ ยินดีทำทุกอย่างที่พระองค์ต้องการ ปลดปล่อยข้า ฯ สิแล้วข้า ฯ จะรีบกลับวัด จะสวดมนต์ภาวนา จะทำ... ”

“ถึงยังไงเราก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้แล้ว เจ้ากับเขาได้ตกลงแต่งงานกันไปแล้ว... ” พระเจ้าทรงตอบกลับมาพร้อมกันนั้นเสียงลอร์ดบอลโฟร์ก็ดังขึ้นว่า

“เชิญพระเข้ามาได้”

หัวใจของโจนน์เต้นระทึกยิ่งขึ้นกว่าเดิม อธิษฐานด้วยจิตใจร้อนรนแทบจะคลั่ง

“ข้าแต่พระองค์ ทำไมพระองค์ถึงทรงทำกับข้า ฯ ยังงี้พระองค์คงไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นใช่ไหมเจ้าคะ”

“ต้องทำแน่โจนน์” เสียงพระเจ้าตอบกลับมา

ผู้คนที่ชุมนุมกันอยู่ในห้องโถงต่างแยกตัวออกจากกันโดยอัตโนมัติ และพระรูปหนึ่งก็เดินเข้ามา โจนน์มีความรู้สึกราวชีวิตได้สิ้นสุดลงแล้ว เจ้าบ่าวเข้ามายืนอยู่เคียงข้าง และโจนน์ก็รีบถอยหนีด้วยท่าทางขยะแขยงต่อความชิดใกล้ที่เกิดขึ้น...

ถ้าเพียงแต่เธอจะล่วงรู้ว่า การกระทำสิ่งใดโดยเอาแต่ใจและตั้งอยู่บนความประมาท จะทำให้ตนเองต้องพบกับความวิบัติและถูกลบหลู่เกียรติยศศักดิ์ศรี...ถ้าเพียงแต่เธอจะไม่เอาแต่อารมณ์รู้จักระมัดระวังตนเองเสียบ้าง ...

หญิงสาวหลับตาลง ไม่อยากเห็นแววแห่งความอาฆาตมาดร้ายของพวกอังกฤษ ไม่อยากเห็นแววฆาตกรที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าของพวกสก๊อตซึ่งเป็นเชื้อสายของเธอ ลึกลงไปในใจ โจนน์ตำหนิความประมาทและความเอาแต่ใจกระทำทุกสิ่งลงไปด้วยแรงอารมณ์ ทั้งสองประการนี้คือความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ เพราะมันทำให้เธอกลายมาเป็นผู้รับบาปจากการกระทำของตนเองทั้งหมด ในขณะที่เธอเฝ้าถวิลหาความรักความไว้วางใจจากพ่ออยากให้เขารักเธอเช่นที่รักบุตรบุญธรรม แต่ในที่สุดเธอกลับต้องมารับผิดชอบต่อความผิดพลาดทั้งมวลที่เกิดขึ้นตอนที่เธออายุสิบห้า ความรู้สึกหลากหลายที่เกิดขึ้นและสับสนอยู่ในความคิด ทำให้เธอพยายามทุกวิถีทางที่จะต่อต้านพี่ชายบุญธรรมซึ่งดูเหมือนจะมีสิทธิที่จะขึ้นครองตำแหน่งทายาทต่อจากพ่อ แต่เพราะการกระทำนั้นเองที่ทำให้เธอถูกส่งตัวเข้าไปอยู่ในสำนักนางชีที่แบร์บริต และเมื่อเวลาผ่านไปเพียงแค่เจ็ดอาทิตย์ เธอก็ต้องตกเป็นเหยื่อของทหารแห่งแบลช บิช อย่างง่ายดาย

และบัดนี้ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั่นเองที่ทำให้เธอต้องเข้าพิธีวิวาห์กับบุคคลผู้เป็นศัตรูอันสำคัญนักรบผู้โหดเหี้ยมอำมหิต และเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเผ่าของเธอมาโดยตลอด บุรุษผู้จับตัวเธอมาเป็นเชลยทำลายพรหมจารีและทำลายเกียรติยศศักดิ์ศรีลงจนแหลกลาญ

แต่มันสายเกินกว่าที่เธอจะมาสวดมนต์ภาวนาให้คำสัตย์สาบานต่อพระเจ้าเสียแล้ว โชคชะตาได้ปิดกั้นหนทางในการดำเนินชีวิตลงโดยสิ้นเชิง เธอได้ตกเป็นของเขาเมื่อเจ็ดอาทิตย์ก่อน และบัดนี้มันก็ไม่มีอะไรจะเหลือให้อาวรณ์อีกต่อไปแล้ว

โจนน์กล้ำกลืนความขมขื่นลงไว้ นึกไปถึงช่วงเวลาก่อนหน้านั้น นึกไปถึงวันที่เธอก้าวย่างลงบนเส้นทางแห่งความหายนะในวันที่เธอปฏิเสธไม่ยอมรับฟังคำเตือนว่าขณะนี้กองทหารของแบลช บิช ได้เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้แล้ว...

แต่จะให้เธอเชื่อคำเตือนนั้นได้อย่างไร ในเมื่อตลอดเวลาห้าวันก่อนหน้าจะถึงวันเกิดเหตุ ข่าวที่ว่า... แบลช บิช กำลังจะโจมตีเรา...เป็นข่าวที่ได้รับมาโดยตลอด แต่ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นความจริงขึ้นมาได้เลย

ในที่สุด มันก็ถึงวันนั้น... วันเมื่อเจ็ดอาทิตย์ก่อนมันก็กลายเป็นความจริงอย่างไม่อาจปฏิเสธได้เลย

บรรดาแขกเหรื่อในห้องโถงต่างขยับกระสับกระส่ายต่างมองไปทางพระเพื่อดูสัญญาณการเริ่มพิธี แต่โจนน์ตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิดที่ลอยเลื่อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel