009 บันทึกของแม็กซิมั่มแอ็บโซลูตมัซเซิล
ทางเดินที่ไปยังศูนย์วิจัย/ห้องสมุดนั้น เมื่อเทียบกับทางอื่นๆแล้วนับว่ามีคนน้อยกว่ามาก ซึ่งก็แน่ล่ะ ถ้าไม่ได้ต้องการข้อมูล สถานที่นี้ก็ไม่จำเป็นแถมยังมีข้อมูลข่าวสารทั้งจากบอร์ดสนทนาและจากเพลเยอร์อื่นๆโดยตรงอีก
ระหว่างที่ผมกำลังเดินอยู่ก็มีเสียงกระดิ่งดังขึ้น พีดีเปิดตัวเองขึ้นมาบอกให้ผมรู้ว่ามีการติดต่อมาจากภายนอก – จากไพรมัส ผมดูเวลาก่อนที่จะรับสาย 20.00 แล้ว ตั้งแต่ผมเริ่มฟูลไดว์ฟมาตั้งแต่ประมาณ 15.00 ตอนนี้ผ่านมาห้า ชั่วโมงแล้ว
ผมตอบรับการติดต่อนั้น ในพีดีก็มีภาพไพรมัสในชุดเกราะสีดำโผล่ขึ้นมา แสดงว่าติดต่อผมจากภายในโดยตรงไม่ได้ผ่านร่างจริง
“ว่าไงไพรมัส มีอะไรงั้นรึ?”
“สวัสดีคุณไทเลอร์ คุณนายเอลิเซียให้ผมมาถามว่าจะล็อกเอาท์มาทานมื้อเย็นไหมครับ?”
เอลิเซียก็คือแม่ของผมนั่นเอง อืม...เอายังไงดีนะ กำลังสนุกอยู่ด้วยสิ
“นายช่วยบอกแม่ฉันทีว่ายังล็อกเอาท์ออกไปตอนนี้ไม่ได้ นายกินมื้อค่ำแทนทีก็แล้วกันไพรมัส”
“รับทราบครับ คุณไทเลอร์”
เสร็จแล้วก็ตัดการติดต่อไป
การติดต่อจากโลกจริงมายังโฮมวิชวลนั้นทำได้ตามปกติ แต่หากเพลเยอร์ยังอยู่ในเกมที่อยู่ในโลกวิชวลอีกทีนั้นจะไม่สามารถติดต่อโดยตรงได้ ต้องติดต่อผ่านเพียเท่านั้น นั่นเป็นสาเหตุที่แม่ของผมฝากถามผ่านทางไพรมัสไมได้ติดต่อมาที่ผมโดยตรง
ผมปิดพีดีทิ้งไปแล้วเริ่มเดินต่อ ถ้าแม่กลับมาแล้วก็แสดงว่าน้องๆของผมก็น่าจะกลับมาแล้วเหมือนกัน จริงๆผมก็อยากเจอพวกแม่กับน้องๆอยู่หลังจากไม่ได้เจอมาหนึ่งสัปดาห์เพราะไปเที่ยวกัน ซึ่งผมคงจะได้ไปด้วยถ้าไม่ติดกำหนดการอิมแพลนท์ซะก่อน
ในที่สุดผมก็เดินมาถึงสถานที่เป้าหมาย ศูนย์วิจัยน่ะเอาไว้ก่อน ตอนนี้ผมสนห้องสมุดมากกว่า ผมจึงเดินผ่านประตูไม้ขัดเงาที่เขียนป้ายด้านบนไว้ว่า ‘หอสมุดโครอล’
ภายในห้องสมุดมีคนไม่มากนักให้บรรยากาศเงียบสงบ ภายในหอสมุดมีพื้นที่อยู่หลายชั้น ด้านหนึ่งประกอบด้วยโต๊ะ เก้าอี้ ห้องอ่านหนังสือส่วนตัว อีกด้าน...น่าจะเป็นชั้นหนังสือ ซึ่งผมไม่เห็นหนังสือสักเล่ม มีแต่แผ่นไม้บางๆตั้งกันเป็นแถวๆ ที่แผ่นไม้นั้นมีภาพปกหนังสือติดไว้อยู่ ผมลองเอามือทาบภาพหนังสือเล่มหนึ่งแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมมองไปรอบๆก็เห็นโต๊ะบรรณารักษ์อยู่ลึกเข้าไปจึงเดินเข้าไปหาแล้วสอบถาม
“สวัสดีครับ”
เอ็นพีซีบรรณารักษ์หญิงคนหนึ่งเมื่อได้ยินผมทักจึงเงยหน้าขึ้น เธอยิ้มและพงกหัวให้หนึ่งที ดวงตาหลังกรอบแว่นตาสีเงินอันนั้นเป็นสีเขียวสดใสให้ความรู้สึกถึงความฉลาดรอบรู้
“ยินดีต้อนรับสู่หอสมุดโครอลค่ะ มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ?”
“ครับ ผมอยากจะสอบถามวิธีอ่านหนังสือพวกนั้นน่ะครับ”
ผมชี้ไปที่ชั้นไม้ เธอมองไปตามที่ผมชี้แล้วพยักหน้าเข้าใจ
“เพิ่งเคยมาหอสมุดแห่งนี้เป็นครั้งแรกใช่ไหมคะ? จะอ่านหนังสือในหอสมุดนี้ต้องใช้อุปกรณ์ชิ้นนี้ค่ะ”
บรรณารักษ์หญิงหันไปด้านหลังแล้วหยิบของบางอย่างมาให้ผม มันมีลักษณะเป็นแผ่นแข็งใสๆ ตรงขอบด้านบน ขวา และล่างมีแผ่นโลหะขนาดประมาณสองเซนติเมตรติดไว้อยู่
“อุปกรณ์ชิ้นนี้เรียกว่า อินเด็กซ์สแกนเนอร์หรือจะเรียกย่อๆว่าไอเอสเอ็นก็ได้ค่ะ วิธีใช้ก็แค่หันด้านหน้าของแผ่นนี้ไปที่ภาพปกหนังสือบนชั้น ไอเอสเอ็นจะสแกนภาพปกแล้วสร้างหนังสือโฮโลแกรมขึ้นมาค่ะ”
ผมตอบครับแล้วรับไอเอสเอ็นมา น้ำหนักค่อนข้างเบาทีเดียว
“มีหนังสืออะไรที่สนใจอยู่หรือเปล่าคะ? ฉันจะช่วยหาให้เองค่ะ”
“มีหนังสืออะไรที่อเวนเจอร์มือใหม่แบบผมควรจะอ่านบ้างไหมครับ?” ผมถามแบบหว่านกว้างๆ
บรรณารักษ์หญิงพยักหน้าให้ผม เธอหันไปทางมอนิเตอร์พีดีด้านหลังเคาน์เตอร์แล้วพิมพ์อะไรบางอย่างขยุกขยิก สักพักหนึ่งก็มีภาพปกหนังสือเล่มหนึ่งโผล่ขึ้นมา
“ฉันแนะนำให้อ่านเล่มนี้ ‘บันทึกและคู่มือสำหรับมือใหม่’ ค่ะ หนังสือเล่มนี้เขียนโดยอเวนเจอร์ฉายา ‘หน่วยข่าวกรองบ้าพลัง’ คุณแม็กซิมั่มแอ็บโซลูตมัซเซิล ค่ะ”
คุณพี่เอาซักอย่างได้มั้ยครับ จะเอากล้ามรึจะสอดแนม แล้วดูชื่อพี่แก โอ้โห นั่นชื่อคนเรอะ! ผมอยากจะตะโกนอย่างนี้จริงๆ แต่ก็หุบปากตัวเองไว้ทัน
อยากจะบอกว่าเกมแนวฟูลไดว์ฟนั้น ปกติจะหาคนที่ตั้งชื่อหลุดโลกได้ค่อนข้างยากต่างจากเกมในมอร์นิเตอร์ เหตุผลก็น่าจะทำความเข้าใจได้ไม่ยาก.... เพราะเราต้องเรียกชื่อของคนๆนั้นจากปากเรานั่นเอง
ผมหันไอเอสเอ็นไปจ่อที่ภาพหนังสือ ‘บันทึกและคู่มือสำหรับมือใหม่’ บนหน้าจอพีดี ทันใดนั้นไอเอสเอ็นก็พองออกกลายเป็นหน้ากระดาษโฮโลแกรมตรงกลาง ส่วนแผ่นใสๆตรงกลางก็เปลี่ยนเป็นปกหนังสือเล่มนั้นแทน มันค่อนข้างหนาทีเดียวแต่น้ำหนักกลับมีเท่าเดิม แบบนี้ก็สะดวกดี
ผมกล่าวขอบคุณกับบรรณารักษ์แล้วเดินไปที่โต๊ะตัวหนึ่งที่ว่างอยู่ มันเป็นโต๊ะไม้ขัดเงาที่ดูหรูหรา เก้าอี้ก็มีเบาะรองฟูนุ่มนั่งสบาย
ผมเปิดหนังสือ ‘บันทึกและคู่มือสำหรับมือใหม่’ ที่เขียนโดยนายแม็กซิมั่มแอ็บโซลูตมัซเซิล ขอเรียกนายว่าแอ็บมัซเซิลก็แล้วกันเพื่อความสั้น
ตรงข้ามกับชื่อของนายแอ็บมัซเซิล หนังสือเล่มนี้ดูเข้าท่ามาก ที่หน้าสารบัญแบ่งเป็นหลายๆหมวดทั้งประวัติความเป็นมาของโลกนี้ ข้อมูลสำคัญที่ควรทราบ สถานการณ์โลกเบื้องล่างล่าสุด และอื่นๆอีกมากมาย
ผมเริ่มไล่ดูตั้งแต่หน้าแรก ...ประวัติความเป็นมาของโลกนี้
เนื้อหาส่วนมากจะย้อนอดีตแล้วเล่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โดยย่อๆ ซึ่งส่วนสำคัญผมได้ฟังมาจากนายทหารแล้วจึงอ่านแบบข้ามๆ แต่ข้อมีข้อมูลใหม่ๆหลายอย่างเหมือนกัน เช่นความเจริญในอดีตกาล ประวัติศาสตร์การสู้รบโดยสังเขป และพบว่าสาเหตุที่ทวีปโอรานอสนี้ยังไม่ถูกถล่มราบคาบรวมไปถึงยานอวกาศที่ยังคงอยู่รอดได้ทั้งๆที่อินเวเดอร์บางเผ่ามีวิทยาการทางอวกาศที่สูงกว่า
สาเหตุที่ว่าก็คือคลื่นรังสีนิกซ์ที่รุนแรงเป็นพิเศษในเขตทวีปนี้ โดยรังสีที่ว่าจะพุ่งเป็นเส้นตรงขึ้นไปสู่ท้องฟ้าไปจนถึงนอกโลกบางส่วน
อืม... รังสีอะไรที่ว่านี่คงเป็นสิ่งที่มีอยู่แค่ในเกมเท่านั้นล่ะมั้ง อ่านต่อก่อนดีกว่า
.....พวกอินเวเดอร์กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่บุกโลกไม่ถูกกับคลื่นรังสีที่ว่านี้ บางเผ่าแพ้ขั้นรุนแรงจนถึงกับหูหนวกตาบอดเลยก็มี และก็เป็นโชคดีของมนุษย์ชาติอีกครั้งที่เผ่าพันธุ์ที่แพ้เป็นพิเศษนั้นมีพลังอำนาจมากพอที่จะทำลายทวีปนี้ทิ้งได้อย่างง่ายดาย ส่วนเผ่าอินเวเดอร์ที่ได้รับผลกระทบน้อยก็เป็นพวกที่ไม่มีพลังมากพอที่จะเข้ามาถล่มทวีปนี้ได้ ประกอบกับภูมิศาสตร์ที่ยากแก่การบุกเข้าตี ทำให้แผ่นดินสุดท้ายของมนุษย์ชาติยังรอดอยู่ได้
เมื่ออ่านจบผมถึงกับครางอย่างทึ่งๆเกี่ยวกับพื้นหลังของโลกนี้ แน่ล่ะว่าถ้าเป็นเกมย่อมมีศัตรูที่ทั้งอ่อนแอและแข็งแกร่ง แถมเกมนี้เป็นเกมแนวสัตว์ประหลาดบุกโลก คงต้องบอกว่าแปลกมากกว่าที่พื้นที่นี้ยังไม่โดนบุกทำลายและอยู่รอดมาจนป่านนี้
ผมเปิดไปยังส่วนต่อไป... ข้อมูลสำคัญที่ควรทราบ
- นาโนการ์ดนั้นมีชื่อเต็มว่า NANO Code Augment Reconstruction DNA หรือแปลได้ว่า รหัสการแต่งเสริมและสร้างหน่วยพันธุกรรมใหม่อีกครั้ง สามารถใช้ได้แต่ผู้ที่เคยผ่านการจำศีลมามากกว่าสิบปีขึ้นไปเท่านั้น เนื่องจากว่าแต่เดิมทีเครื่องจำศีลนั้นไม่สมบูรณ์แต่แรก ทำให้ผู้ที่ใช้งานเป็นเวลานานเกิดการกร่อนผุพังของโครงสร้างร่างกายไปจนถึงหน่วยดีเอ็นเอ โครงการ NANO CARD นั้นได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยเหลือและรักษาแก่ผู้ที่ตื่นจากการจำศีล แต่ผลที่ได้นั้นกลับทำให้ผู้ที่ตื่นขึ้นมามีพลังที่มากขึ้นกว่าคนทั่วไปและยังสามารถพัฒนาขึ้นได้อย่างต่อเนื่องตามการฝึกฝน อนึ่งหากคนธรรมดาที่ไม่เคยผ่านการจำศีลมาก่อนถือนาโนการ์ดนี้จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตอนแรกผมนึกว่านาโนการ์ดก็แค่ การ์ดนาโน อะไรแบบนั้นซะอีก (ฮา) ไม่นึกว่าจะมีความหมายลึกถึงขนาดนี้ ผมนึกถึงรายละเอียดทักษะเมื่ออ่านข้อมูลนี้จบ มิน่าทักษะถึงได้เยอะไปหมดแถมบางทักษะยังมีคำอธิบายอะไรประมาณว่า ชี้นำ หรือ ส่งเสริม ด้วย น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง แต่กลับไม่มีทักษะอะไรที่ว่าเพิ่มพลังโจมตี พลังป้องกัน ความเร็ว อะไรพวกนั้นเลยแฮะ ดูท่าทางจะเน้นไปในทางเทคนิคอย่างเดียว ส่วนจะเอามาใช้ยังไงนั้นอยู่ที่ตัวเพลเยอร์เอง
- หน่วยเงินของโลกนี้คือ พอนโซ โดยผู้ที่มีนาโนการ์ดสามารถใช้เงินผ่านพีดีของตัวเองได้โดยตรง เพียงแค่แบมือออกแล้วนึกถึงจำนวนเงินที่ต้องการใช้ ก็สามารถซื้อหรือแลกเปลี่ยนได้ทันที แต่คนทั่วไปจะใช้จ่ายเงินผ่านพอนโซการ์ดซึ่งวิธีการใช้ต่างก็เหมือนกัน
ตอนผมไปกินข้าวไม่ได้จ่ายเงินนี่นา เพิ่งจะรู้เนี่ยล่ะ แสดงว่าเฉพาะเงินกับคีย์ไอเท็มงั้นสิที่มีการป้องกัน ...อ๊ะ แต่ถ้าผมโอนเงินจากตัวเองไปใส่พอนโซการ์ดก็ถูกขโมยได้สินะ อืม...
- ยานอวกาศทั้งสามลำที่ยังคงอยู่รอดปลอดภัยประกอบด้วย ยานชาแลนเจอร์ มีขนาดใหญ่ที่สุด ประจำการอยู่ใกล้กับชายแดนด้านตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปโอรานอส มีหน้าที่ป้องกันชายแดนโดยตรง มีอเวนเจอร์ที่แข็งแกร่งอยู่จำนวนมาก ยานเอ็กพรอเลอร์ มีขนาดเล็กที่สุด เคลื่อนที่ไว หน้าที่หลักคือออกสำรวจพื้นที่ คอยซัพพอร์ตอเวนเจอร์ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ยานลำสุดท้ายชื่อฮาเวสเตอร์หรือก็คือยานลำนี้ ประจำการอยู่เหนือเมืองที่ใหญ่ที่สุดในทวีปนี้คือเมืองไทลันนัส มีหน้าที่หลักคือเก็บรวบรวมข้อมูล วิจัย ผลิตและซัพพอร์ตด้านยุทโธปกรณ์เป็นหลัก
ผมอยู่บนฮาเวสเตอร์นี่นะ ยานสามลำก็เหมือนกับเซิฟเวอร์ของเกมมั้ง? ถ้าจับเพลเยอร์ทั้งหมดมากระจุกอยู่ในยานลำเดียวคงจะแย่น่าดูแฮะ เห็นว่ามีเป็นล้านคนด้วยสิ นี่ยังไม่นับรวมพวกเอ็นพีซีอีกนะ
- เมื่อคุณบาดเจ็บสาหัส สูญเสียอวัยวะหรือเสียชีวิต นาโนการ์ดในตัวจะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือมายังยานที่อยู่ใกล้ที่สุด จากนั้นยานอวกาศจะสแกนพื้นที่แล้วเปิดพอทัลเกตมาในตำแหน่งที่ใกล้กับคุณมากที่สุด โดยจะใช้เวลาประมาณ 5 – 10 นาทีถ้าอยู่ในรัศมีใกล้เคียง โดยถ้าคุณยังขยับได้ต้องพยายามเคลื่อนมาอยู่ให้ใกล้กับพอทัลเกตมากที่สุด หากคุณไม่สามารถขยับตัวได้ยานอวกาศต้องใช้เวลามากขึ้นในการระบุตำแหน่งที่แน่ชัดขอคุณเพื่อเปิดพอทัลเกตและรับตัวคุณขึ้นโดยตรง โดยจะใช้เวลา 20 – 180 นาทีในการระบุตำแหน่ง ในระหว่างนั้นคุณไม่จำเป็นต้องห่วงร่างของคุณเพราะนาโนการ์ดจะแปลงพลังงานที่เหลือในร่างกายคุณแล้วปล่อยรังสีนิกซ์ออกมาตลอดเวลา เพราะฉะนั้นหลังจากเสียชีวิตลงจงตั้งใจหาทางกลับมาอย่างเต็มที่
หมายความว่าไง? หาทางกลับ เหอ? ไม่ใช่ตายแล้วนอนอืดอยู่ตรงนั้นหรอกรึไง? ...คิดไปก็ไม่ได้คำตอบ ลองตายดูเดี๋ยวก็รู้ ...แต่ระดับความเจ็บตั้งห้าสิบเปอร์เซ็นต์ถ้าทำได้ก็ไม่อยากตายเลยจริงๆ ไม่ได้โม้
- เนื่องจากอเวนเจอร์มีหน้าที่หลักคือกำจัดอินเวเดอร์เพื่อกอบกู้โลก การทำร้ายหรือฆ่ามนุษย์ด้วยกันเอง รวมไปถึงก่อความไม่สงบกับส่วนรวมจะมีการลงโทษขั้นรุนแรง ยกเว้นการประลองที่มีการตกลงจากทั้งสองฝ่ายแล้ว
ห้ามฆ่ากันเองรึ ดีแฮะ งั้นก็ไม่ต้องกลัวถูกฆ่าชิงทรัพย์สินะ? เท่าที่ดูเกมนี้ไม่ใช่เกมแนวที่เพลเยอร์เน้นสู้กันเองด้วย แต่เน้นการทำภารกิจเพื่อดำเนินเรื่องของเกมมากกว่า
- ในพื้นที่เดิมจะไม่มีทรัพยากรที่เกิดขึ้นใหม่อย่าง เช่น วัตถุดิบต่างๆ แร่หรือโลหะ เมื่อทำการขุดออกมาจนหมดแล้วก็จะหมดไป รวมไปถึงพวกอินเวเดอร์เกือบทุกสายพันธุ์ เมื่อตายแล้วก็ตายเลยไม่มีการเกิดใหม่
“เฮ้ย จริงดิ!?”
ผมเผลออุทานออกมาเสียงดังจนคนอื่นๆหันมาเขม่นใส่ ผมก้มหัวขอโทษแล้วนั่งลง
นี่มัน...ท่าจะลำบากกว่าที่คิดไว้เยอะเลยนะเนี่ย ถ้าทรัพยากรไม่มีการเพิ่มจำนวน ศัตรูถูกฆ่าแล้วตายเลย จะหาของจากการกำจัดศัตรูตามประสาเกมแนวอาร์พีจีก็ไม่ได้ และถ้าจำนวนเพลเยอร์ยังคงเพิ่มขึ้นๆ แบบนี้ จะเกิดจลาจลขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่แปลกเลย
...?
ผมเหมือนจะนึกถึงบทสนทนาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกแถมเริ่มรู้สึกเสียวสันหลังโดยไม่รู้สาเหตุด้วย... อ่านหนังสือต่อดีกว่า อึ๋ย...
- สิ่งมีชีวิตในโลกเบื้องล่างแบ่งได้เป็นสามกลุ่มใหญ่ๆ คือ หนึ่งมนุษย์โลก สองอินเวเดอร์ และสามสัตว์ป่า โดยสัตว์ป่าพวกนี้มีช่วงชีวิตที่ค่อนข้างสั้นเพราะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างบนพื้นโลกจากพวกอินเวเดอร์ บ้างก็กลายพันธุ์ บ้างก็สูญพันธุ์ แต่สัตว์ป่าพวกนี้จะมีจุดร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งคือวงจรชีวิตที่เร็วและสั้นมาก ตั้งแต่เกิดจนโตเต็มไว พวกที่เร็วหน่อยก็จะใช้เวลาเพียงสามสิบวันเท่านั้น หลังจากนั้นก็จะเริ่มแก่และตาย
สัตว์ป่า ...ดูท่าจะเป็นแหล่งทรัพยากรที่มีวงจรเกิดใหม่ได้มาทดแทนพวกวัตถุดิบอื่นๆล่ะมั้ง
ผมพลิกหนังสือต่อไปเรื่อยๆ ที่เหลือก็เป็นข้อมูลยิบย่อยที่มีความสำคัญน้อยกว่า ผมจึงอ่านผ่านๆมาจนถึงส่วนต่อไป ...สถานการณ์ล่าสุด
ดูเหมือนส่วนนี้จะมีการอัพเดตเรื่อยๆ เพราะมีบันทึกลงวันที่ไว้ด้วย นายนี่เหมือนพระมาโปรดให้กับมือใหม่อย่างผมจริงๆ แอ็บมัซเซิล
5/ 1/ 7655 วันแรกที่เริ่มมีการตื่นขึ้นของผู้อพยพจากการจำศีล (วันเปิดเซิฟเวอร์?)
12/ 3/ 7655 พื้นที่เกือบทั้งหมดของทวีปโอรานอสถูกชำระล้างจากพวกอินเวเดอร์ระดับต่ำ ปัจจุบันนอกจากหน่วยสอดแนมกับพวกปลายแถวที่แอบเข้ามาในบางครั้งแล้ว จะแทบไม่ได้เจอกับพวกอินเวเดอร์อีกเลย (ตบมอนจนหมดทวีปว่างั้น)
25/3/7655 อเวนเจอร์ คริสติน ได้เริ่มสร้างฟาร์มบนพื้นที่ว่างเปล่า ปัจจุบันมีฟาร์มเกิดขึ้นมากมายทั้งฟาร์มเกษตรและฟาร์มปสุสัตว์ (เอางั้นเลยเรอะเฮ้ย!?)
30/3/7655 เหล่าอเวนเจอร์ฝีมือดีกว่าห้าพันคนระดมพลเพื่อตีป้อมปราการเซ็นที่ชายฝั่งโซเฟเรีย แต่ไม่สำเร็จ (ห้าพันไม่พอ...)
7/4/7655 ระดมพลตีป้อมปราการเซ็นอีกครั้ง คราวนี้นำพลไปกว่าหนึ่งหมื่น แต่ก็ล้มเหลว (หมื่นก็ยังไม่พอ!?)
15/4/7655 เริ่มเกิดการปล้น ลักขโมยกันมากขึ้น เผล่าผู้นำของชาเลนเจอร์ เอ็กพรอเลอร์และฮาเวสเตอร์จึงสร้างระบบคลังแสงขึ้นมา โดยอเวนเจอร์สามารถทำการกู้ยืมอาวุธได้จากคลังแสง ของที่กู้ยืมได้จะดีขึ้นเมื่อมีผลงานมากขึ้น หากทำพังหรือเสียหายไม่มากถ้านำของกลับมาคืนจะไม่เสียค่าชดใช้เพราะสามารถนำวัตถุดิบมาสร้างใหม่ได้ แต่หากทำหายหรือไม่ส่งคืนต้องเสียค่าชดใช้เต็มจำนวน (แก้ไขปัญหา หาของไม่ได้เยอะเลย)
2/5/7655 ระดมพลตีป้อมปราการเซ็นอีกครั้ง คราวนี้นำกำลังพลไปกว่าหมื่นห้าพันคน ขณะใกล้จะได้รับชัยชนะ ได้มีกำลังเสริมของอินเวเดอร์บุกโจมตีมาจากด้านล่างทำให้การบุกคว้าน้ำเหลวอีกครั้ง (หมื่นห้าเกือบชนะแฮะ)
10/6/7655 กองกำลังอเวนเจอร์วางแผนจะรวมกำลังพลให้ได้มากกว่าสองหมื่นเพื่อโจมตีป้อมปราการเซ็นอีกครั้งในวันที่ 30/6/7655 (ผมดูวันที่ซึ่งเป็นวันที่ภายในเกม... วันนี้วันที่ 15/6/7655 ยังเหลือเวลาอีก 15 วันก่อนการบุกตี)
หน้าหนังสือที่เหลือเป็นกระดาษเปล่า...โอ๊ะ หน้าสุดท้ายมีข้อความอีกประโยค
มีประโยคหนึ่งที่ผู้นำสูงสุดของชาเลนเจอร์ได้กล่าวไว้ ‘อเวนเจอร์จะทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะดีหรือเลว ขอแค่กำจัดศัตรูของเหล่ามนุษย์ชาติได้ จะวิธีไหนข้าก็ยินดีทั้งนั้น’
ผมปิดหนังสือลง สูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามซึมซับข้อมูลอยู่นาน ...ยิ่งใหญ่ดีจริงๆเกมนี้ สร้างเป้าหมายให้เพลเยอร์ทำร่วมกัน ศัตรูก็ยิ่งใหญ่จริงๆ ไม่ได้อยู่กระจัดกระจายใครตีใครได้ แต่กลับตั้งค่ายเป็นป้อมปราการขวางการรุกคืบของเหล่าเพลเยอร์ ซึ่งถ้าไม่มีความสามัคคีพอ ย่อมไม่มีทางสู้ได้แน่นอน
“ลำพังฝีมืออย่างเดียวไม่พอสินะ...” ผมเปรยขึ้นเบาๆ
จะลองตั้งเป้าหมายที่จะทำให้สูงๆจะดีมั้ยนะ อย่างการบุกตีในอีกครึ่งเดือนข้างหน้า ผมว่าผมจะเข้าร่วมด้วย ถึงไม่น่าจะทำอะไรได้สักเท่าไหร่ก็ตาม ไม่สิ สำหรับนักเล่นเกมแล้ว การทำแต้มให้สูงกว่าคนอื่นก็เป็นเป้าหมายพื้นฐานอยู่แล้ว
เพราะงั้นต้องจัดให้เต็มที่!
เอาล่ะ ข้อมูลที่ควรรู้หลายๆอย่างก็รู้แล้ว ...เหลือแต่เรื่องตายเนี่ยแหละที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ เพราะส่วนมากเกมแนวเอ็มเอ็มโออาร์พีจีนั้น เมื่อตายลงเพลเยอร์จะต้องรอเวลาลงโทษสำหรับการเกิดใหม่ที่จุดเซฟหรือไม่ก็ใช้ไอเท็มชุบชีวิตขึ้นมา แต่สำหรับเกมนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ ส่วนที่บอกว่าตายแล้วรอให้ยานมารับศพน่ะเข้าใจ แต่ที่บอกว่าให้หาทางกลับมาเนี่ย..... หมายความว่ายังไง?
ผมเก็บข้อสงสัยไว้ในใจ ถ้ายังเล่นเกมนี้ต่อไปไม่ว่ายังไงสักวันก็คงจะมีประสบการณ์ตาย
ผมลุกขึ้นยืน บิดขี้เกียจเล็กน้อย เก็บไอเอสเอ็นไปคืนบรรณารักษ์แล้วเดินออกมาจากห้องสมุดโครอล
เป้าหมายต่อไป ถึงเวลาไปดูโลกเบื้องล่างสักหน่อยแล้ว
