Chapter4
[Chapter4]
15ปี ที่แล้ว
วันหยุดของหลายคงใช้ไปกับครอบครัวแต่ไม่ใช่นายวาที เลิศญากรพิพัฒน์ ทายาทเศรษฐีอันดับต้นๆ หน้าใหม่กำลังก้าวไกลในแวดวงธุรกิจ วาทีโหยหาความสุขแบบครอบครัวมาตลอดแต่ก็ไม่เคยได้รับ แค่จะอยู่พร้อมหน้ากินข้าวร่วมโต๊ะกันสักครั้งยังยาก
"จะออกไปทำงานอีกแล้วหรอคะ คุณท่านไม่อนุญาตให้คุณหนูทำแล้วนี่คะ" เสียงหัวหน้าแม่บ้านสูงวัยยืนดักหน้าประตูเอ่ยถาม วาทีรีบร้อนก้มใส่รองเท้าจึงไม่ได้ตอบ เขาทำเพียงโผล่เข้าไปกอดแล้วทำมือจุ๊ๆ คล้ายไม่อยากให้พูดต่อ
"ก็ช่างคุณพ่อซิครับ ผมไม่อยากอยู่บ้านเฉยๆ นี่" รอยยิ้มกวนแบบวัยรุ่นทั่วไปดูสดใสจนคนได้เห็นต้องยิ้มตาม
"รีบกลับนะคะ เห็นคุณท่านสั่งว่าวันนี้จะกลับเร็ว อยากทานอาหารฝีมือป้า"
"พนันกันไหมป้าพ่อไม่มาหรอก ป้าทำไว้ให้ผมกินดีกว่า" เสียงเย้ยนิดๆ พูดด้วยความมั่นใจ แต่คราวนี้กลับทำให้คนฟังอึ้งไปชั่วครู่จนต้องยิ้มเจื่อนกลบเกลื่อน
"ไปนะครับ เดี๋ยวเข้างานสาย”
รถแท็กซี่จอดรอพร้อม วาทีวิ่งเข้าไปนั่งพร้อมบอกปลายทางเรียบร้อย เขากอดกระเป๋าเป้ไว้แน่นมองวิวข้างทางอย่างอารมณ์ดี พยายามจดจำทุกอย่างเพราะอีกไม่นานภาพพวกนี้ก็จะเป็นอดีตแล้ว
@STAFF ONLY
"สต๊าฟที่ใส่แมสคอตยังไม่มาอีกหรอ"
"แป๊บนะพี่ หนูถามให้แล้วน้องบอกว่าอยู่บนแท็กซี่ใกล้ถึงล่ะ"
"งั้นเดี๋ยวมิ้นท์ไปหน้างานก่อนไป ทางนี้ให้น้ำตาลรอแต่งตัวแมสคอตคนเดียวก็พอ"
"ค่ะพี่"
บรรยากาศวันนี้ยุ่งเหยิงกว่าทุกวันเพราะเป็นอีเว้นท์ใหญ่ระหว่างบริษัทน้ำดื่มชาเขียวชื่อดังร่วมกับภาครัฐโปรโมทการท่องเที่ยว รอไม่นานวาทีก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
"ขอโทษครับที่ผมมาช้า"
"ไม่เป็นไร รีบเปลี่ยนชุดเหอะ งานจะเริ่มแล้ว"
ตัวการ์ตูนแมสคอตเดินอุ้ยอ้ายออกมาจากหลังเวที น้ำตาลคอยดูแลไม่ห่าง พาเดินไปทักทายเด็กๆ หน้างาน เต้นแรงเต้นกาสร้างสีสันจนพิธีเปิดจบลง
"นี่นายหิวน้ำไหม" น้ำตาลตะโกนเสียงรอดหัวแมสคอตอันโตเข้าไป
"ครับ" วาทีตอบ
"งั้นรอแป๊บหนึ่งนะ เดี๋ยวฉันมา"
น้ำตาลวิ่งไปทางที่เพื่อนเธออยู่แต่ก็ถูกพี่อีกคนใช้ไปทำอย่างอื่นซะก่อน กลายเป็นว่าเธอลืมเสียสนิทว่ายังไม่ได้เอาน้ำไปให้แมสคอตที่ทั้งร้อนทั้งเหนื่อย จังหวะที่เต้นเมามันจวนล้มโชคดีที่มิ้นท์เข้ามาช่วยพอดี
"เป็นไรป่าว" มิ้นท์เข้าพยุงแล้วเอ่ยถาม
"ไม่เป็นไรครับ"
"ไม่เป็นไรอะไรล่ะ จะเป็นลมอยู่แล้วเนี่ย อ่ะนี่น้ำดื่มสักหน่อย"
วาทีรับน้ำมาดื่มเขาไม่ได้ถอดหมวกแมสคอตออก เพียงสอดเจ้าขวดเล็กเข้ามาข้างในแล้วกระดกดื่ม น้ำเปล่าเย็นฉ่ำมาได้เวลาพอดีรวมทั้งเธอคนนี้ก็ด้วย
เรื่องเล็กๆ ที่คนเราได้รับในเวลาที่เหมาะสมมักเป็นเรื่องใหญ่เสมอในหัวใจ เหมือนอย่างตอนนี้ไม่มีวาทีแล้วมีแต่วาเลนซ์ จากวัยรุ่นทำงานพิเศษรายชั่วโมงตอนนี้เป็นซีอีโอใหญ่มีลูกน้องเป็นพัน รอยยิ้มที่เคยสดใสตามวัยไม่เหลือให้เห็นอีกแล้ว มีเพียงใบหน้าเรียบเฉยดูไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ เห็นจะมีเพียงสิ่งเดียวที่เหมือนเดิม คือใจเต้นแรงทุกครั้งที่เธอคนนั้นเข้ามาใกล้
หากคืนนั้นมิ้นท์สังเกตสักนิดจะรู้ว่าพลขับที่ส่งเธอถึงบ้านเป็นคนคุ้นหน้าที่เพิ่งเถียงกันมาสดๆ ร้อนๆ วาเลนซ์ขับรถกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี ดูเรทปิดตลาดหุ้นจนดึก เวลาตอนนี้ใกล้จะตีสองแล้ว เขาเริ่มง่วงจึงตัดสินใจปิดหน้าจอโน้ตบุ๊กลง
'ตริ๊งง! ' Mint add you with phone number
แอพพลิเคชั่นสีเขียวแจ้งเตือนมาแบบนั้น วาเลนซ์อมยิ้มพอใจ ยิ่งเข้าไปดูเห็นว่ามีสติ๊กเกอร์ทักทายส่งมาก็ยิ่งยิ้มกว้างกว่าเก่า ปลายนิ้วลากหาสติ๊กเกอร์ตอบ แต่อยู่ๆ ก็นึกเปลี่ยนใจ
"ไม่ดีกว่า เดี๋ยวคุณจะว่าผมง่ายเกินไป" ทั้งที่หัวใจลิงโลดแต่วาเลนซ์ก็เลือกเก็บทรงไว้ก่อน ทั้งที่เขาเป็นของเธอมานานแล้วแต่ก็ไม่อยากให้เธอรับรู้
[เช้าวันใหม่]
มิ้นท์ตื่นสภาพเปลือยเปล่าในห้องเพื่อน ร่างเธอหนักอึ้งเสียดช่วงล่างจนไม่กล้าขยับลุก พอมองไปเห็นหน้าเพื่อนสนิทภาพเหล่านั้นก็ย้อนมาระหว่างยอมเจ็บตัวกับต้องเผชิญหน้ากันขอเลือกหลบไปก่อนดีกว่า
มิ้นท์รีบกลับเข้าห้องตัวเอง อาบน้ำแต่งตัวไปทำงานเหมือนปกติ ถ้าไม่นับว่าช่วงนั้นแสบๆ นิดหน่อยทุกอย่างก็กระปรี้กระเปร่าดีไม่เหลือสภาพคนนอนดึกเลย
"หน้าสดใสเชียวนะ พี่ก็กังวลอยู่ว่าจะใช้งานเธอหนักไป" พี่ฉวีเดินผ่านโต๊ะมิ้นท์ ได้ยินเธอฮัมเพลงเบาๆ แล้วก็อดทักไม่ได้
"เมื่อคืนก็กลับดึกนะคะ เบิกค่าแท็กซี่ได้ไหมคะเนี่ย" มิ้นท์แกล้งตอบ
"อะไรกันระดับคุณท่านไม่ให้เธอขึ้นแท็กซี่กลับหรอกมั้ง"
"แหม่! บริษัทควรให้ค่าเสียเวลาหนูบ้างนะคะ"
"ยังต้องเอาอีกหรอ ข้อเสนอทางโน้นไม่พอใจหรือไง"
มิ้นท์โอดครวญ พี่ฉวีเองก็ยิ้มใส่ทั้งยังตีเพี๊ยะลงแขนเธอเหมือนปกติ พอหลุดปากพูดเรื่องข้อเสนอมิ้นท์ทำหน้างง เธออยู่นิ่งจ้องตาพี่ฉวีจริงจังจนอีกฝ่ายเหยียดยิ้มตอบ
"ไม่ต้องอาย พี่ไม่บอกใครหรอก" พูดจบพี่ฉวีก็เดินออกไป ทิ้งให้มิ้นท์งงว่ามันเรื่องอะไรกันแน่
'ไลน์ '
Velence : Send you a sticker
เสียงแจ้งเตือนคุ้นหูทำมิ้นท์ชักสีหน้าสงสัยเพราะเธอไม่คุ้นชื่อเจ้าของสติ๊กเกอร์นี้เลย กดเข้าไปดูทันทีเห็นภาพโปรไฟล์เป็นวิวตึกสูงระฟ้าก็ยิ่งไม่คุ้นตา ความอยากรู้ว่าเป็นใครมิ้นท์ถึงต้องตอบ
Mint : ใครคะ
Velence :??
Mint : ถามว่าใคร
Mint : เรารู้จักกันหรอคะ
Velence : ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะจำฉันไม่ได้
Mint : เชื่อเถอะค่ะ เพราะมิ้นท์ไม่มีเพื่อนชื่อไอ้ตึกแน่
มิ้นท์เออออเอาเองว่าปลายแชทชื่อตึก เพราะดูจากรูปโปรไฟล์แบบนี้ต้องไม่ใช่คนปกติแน่ พอตอบแบบนั้นอีกฝ่ายก็เงียบไป มิ้นท์รออยู่หน้าแชทร่วมนาทีพอไม่เห็นอีกฝ่ายตอบก็จะกดออก
'ไลน์ '
Velence : เดทกันไหม เย็นผมส่งคนไปรับ
มิ้นท์ตั้งใจอ่านข้อความนี้อีกครั้งแม้เธอจะงงๆ อยู่แต่รูปโปรไฟล์ที่เพิ่งถูกเปลี่ยนก็บอกได้ว่าเขาเป็นใคร 'หืมม! อิตาโรคจิต ใครอยากไปเดทกับคุณมิทราบ' มิ้นท์สบถเสียงใส่หน้าจอ ทำปากเบะกรอกตามองบนคล้ายรังเกียจไม่น้อย เธอรีบวางมือถือทันทีทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่ได้อ่าน ทิ้งช่วงไม่ถึงนาทีก็มีสายเรียกเข้า
'กริ๊งงง!!! '
'Sugar Calling'
ตอนแรกคิดว่าเป็นคุณลูกค้าผู้เอาแต่ใจ มิ้นท์ปล่อยให้เสียงเรียกเข้าดังอยู่นานกว่าจะหยิบมาดู พอเห็นเป็นเบอร์เพื่อนสนิทโทรมายิ่งสยองกว่าเก่า
"ขอโทษนะแก ฉันยังไม่พร้อมจะคุยวะ"
เป็นใครก็มิ้นท์ต้องทำอย่างนี้ คำว่า 'เพื่อนสนิท' มันคุยกันได้ทุกเรื่องไง เชื่อใจ ไว้ใจและไม่เคยเสแสร้งต่อกัน มิ้นท์ไม่เคยรู้รสนิยมเพื่อนเลยและก็ไม่คิดว่าตัวเองจะยอมง่ายๆ ด้วย
เหตุการณ์เมื่อคืนวนเวียนมาให้นึกถึงตลอด มิ้นท์ไม่ได้รังเกียจ ไม่ได้โกรธ แต่เป็นความรู้สึกแบบทำตัวไม่ถูกมากกว่า เธอไม่รู้จะเผชิญหน้ากลับมันยังไง ไม่รู้จะกลับไปคุยกันอย่างเดิมได้ไหม แล้วจะมีอะไรเปลี่ยนไปหรือเปล่า
เวลาช่วงบ่ายผ่านไปแบบไม่มีประโยชน์ มิ้นเอาแต่คิดเรื่องน้ำตาล ยิ่งไม่รับโทรศัพท์เธอก็ยิ่งโทร จนถึงเวลาเลิกงานก็มองมาเห็นคนสองคนรออยู่ หนึ่งคือเพื่อนและอีกคนคือบอดีการ์ดรูปหล่อ ‘โอ๊ย! จะหนียังไงล่ะเนี่ย'
มิ้นท์ตัดสินใจลงบันไดหนีไฟออกมาประตูหลัง เธอไม่ไหวจะฝืนทำอะไรทั้งนั้น แต่เดินยังไม่ทันถึงขั้นสุดท้ายแสงสะท้อนจากรถหรูก็แยงตาซะก่อนแถมจอดเรียงรายเต็มพื้นที่ราวเป็นม๊อบบอดี้การ์ดมาปิดโรงงานซะอีก
"ไปจับตัวมา! " เพียงไม่กี่วินาทีร่างมิ้นท์ก็ถูกจับยัดเข้าไปในรถเก๋งคุ้นตา ช่วงนี้รถเลขทะเบียน '8กท888' ดูจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรกลับชาติมาเกิด ไม่ว่าจะหนียังไงก็หนีไม่พ้น
"ผมบอกว่าไปเดทกันไง ทำไมต้องให้รอ" เสียงทุ่มเอ่ยถามทั้งที่ก็เห็นว่ามิ้นท์เกาะขอบประตูแน่น มือปลดล็อกพัลวันพยายามจะหนีแต่ก็เปิดไม่ออก
"ใครบอกว่าฉันจะไปกับคุณ" เสียงเหวี่ยงพูดอย่างหงุดหงิด เธอไม่มองหน้าอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ยังคงพยายามเปิดประตูให้ได้
"หึ! ไม่ต้องลีลาหรอกคุณ ผู้หญิงคนไหนก็อยากไปกับผมทั้งนั้น" เสียงเคล้นทำราวสมเพชทำมิ้นท์หยุด เธอหันกลับมามองจดจ้องดวงตาดำขลับ เม้มปากหากันแน่นสะกดคำด่าไว้
"มั่นใจตัวเองไปไหมคุณ ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าคุณเองต่างหากที่อยากมากับฉัน"
มิ้นท์ไม่ยอมแพ้อีกแล้ว เธอปั้นหน้านิ่งแสยะยิ้มน้อยๆ ลอยหน้าลอยตาพูด พร้อมไขว่ไหล่แบบเหนือกว่า
"เอาตามที่คุณสบายใจเถอะ จะยังไงตอนนี้คุณก็อยู่กับผมแล้ว"
วาเลนซ์ยังคงหน้านิ่งไม่มีความเป็นมิตรให้เห็น มีเพียงน้ำเสียงช่วงปลายที่เบาบางลง ฟังแล้วไม่ใช่การกวนประสาทแต่เป็นคำสารภาพมากกว่า
แสงอาทิตย์ยามใกล้หกโมงยังสว่างจ้า ก้อนเมฆสีสดใสจับกลุ่มเป็นปุยขาวใหญ่ตัดกับสีส้มทองที่ขอบฟ้าทำให้เกิดความสวยงามอย่างประหลาด รถหรูที่เคยขับต่อกันเป็นขบวนแยกไปอีกทาง ตรงนี้เหลือเพียงวาเลนซ์กับมิ้นท์และเสียงทางข้างหน้าที่ดูยังไงๆ ก็ไม่ใช่ทางไปร้านอาหารแน่
"เราจะไปไหนกันคะ"
"ผมบอกคุณแล้วไงว่าไปเดท"
"แต่นี้มันชานเมืองแล้วนะคะ"
"แล้วใครเขาเดทกันที่วุ่นวายแบบนั้นเล่า"
ถึงจะเจอไม่กี่ครั้ง รู้จักกันได้ไม่นานแต่มิ้นท์ก็รู้ว่าขัดใจผู้ชายอย่างวาเลนซ์ไม่ได้ เขาคงได้ทำอย่างตามใจมาตลอดถึงได้ทำอะไรไม่คิดถึงคนอื่นแบบนี้ ความหนักอึ้งในหัวบวกกับความอ่อนล้าหลังจากผ่านการยืนถ่ายเอกสารมาทั้งวันทำให้มิ้นท์ไม่เหลือเอนเนอจี้ต่อสู้ อย่างน้อยผู้ชายคนนี้ก็รวยเขาคงไม่พาไปปล้นหรอก เธอคิดแค่นั้นแล้วก็ปล่อยตัวตามปกติ
ป้ายตามทางบอกว่าข้างหน้าคือ 'พัทยา' ทะเลใกล้กรุงที่มิ้นท์อยากมาแต่ไม่มีโอกาสเลย คนจนก็แบบนี้แหล่ะหายใจเข้าออกไม่เรื่องงานก็ใช้หนี้ ถ้าไม่ใช่เทศกาลสำคัญๆ ที่ไม่ได้มาแน่
"ไกลไปไหมคุณ พรุ่งนี้ฉันต้องทำงานเช้านะ" สีหน้ามิ้นท์ตื่นเต้นกับทะเลตรงหน้ามาก แต่ยังวางฟอร์มเป็นบ่นทั้งที่ไม่เหลือความอยากกลับบ้านแล้ว
"ผมก็ทำเหมือนกัน และผมก็หิวแล้วด้วย" วาเลนซ์ตอบ โปกมือเรียกบริกรมาสั่งอาหาร
"ฉันก็หิว เรากินกันก่อนเนอะ ค่อยเถียงกันต่อ" มิ้นท์พูดอย่างลืมตัว ส่งยิ้มเป็นมิตรที่สุดตั้งแต่นั่งรถมา พอได้เมนูอาหารความหิวก็ยิ่งทวีคูณอะไรๆ ก็ดูน่ากินไปหมด มิ้นท์สั่งอาหารทะเลหลายอย่าง คุยจ้ออารมณ์ดีในขณะที่วาเลนซ์เอาแต่เงียบรับฟังและพยักหน้าอมยิ้มตอบ
"กินเสร็จฉันขอเดินเล่นหน่อยนะคะ ดูซิตรงนั้นมีโปะที่ยื่นไปกลางทะเลด้วย เสียดายเราไม่ได้มาตอนเช้านี่มันมืดไปหมดแล้ว" มิ้นท์ขออนุญาต เธอคงลืมไปแล้วว่าตอนแรกถูกบังคับมา
"เดินแค่ชายหาดก็พอมั้ง น้ำเริ่มขึ้นแล้วเดี๋ยวจะอันตราย" วาเลนซ์ตอบ น้ำเสียงตอนนี้ไม่ได้แข็งอย่างตอนแรก อีกทั้งสีหน้าก็เปื้อนรอยยิ้มตลอด ทั้งยังพูดแสดงความเป็นห่วงด้วย
"ก็ได้ค่ะ แค่นี้ก็พอแล้ว ดูซิลมเย็นมากเลย"
อาการอิ่มท้องอิ่มใจคงเป็นอย่างนี้แหล่ะ แม้จะเริ่มต้นไม่ดีนักแต่พอได้กินอาหารอร่อยๆ เสียงธรรมชาติสวยงาม ฟังเสียงคลื่นเสียงลมจากคนไม่รู้จักก็เริ่มรู้จัก จากคนไม่รู้ใจก็เริ่มรู้ใจ
มิ้นท์และวาเลนซ์เดินเล่นริมหาดจนพลบค่ำ ตอนนี้ไม่เหลือแสงสว่างแล้ว เหลือเพียงความมืดกับทางกลับบ้านที่ยาวไกล
ความมืดเข้าแทนที่ ดวงตามิ้นท์เหม่อลอยอีกครั้ง เธอก้มหน้านิ่งอยู่นานก่อนจะค่อยๆ เอียงหน้า สบตาแล้วแสยะยิ้ม วาเลนซ์เพียงยิ้มตอบ เขายังตั้งใจขับรถไปตามทางทอดยาวปล่อยให้ฝ่ามือบางวางค้างตรงต้นขา ใบหน้าสวยเคลื่อนเข้ามาใกล้ กระซิบเรียกหาซ้ำๆ "คุณท่านคะ"
