DEEP LOVE : 03
ความจริงผมไม่ควรแปลกใจนะ…ที่ไอ้พวกนั้นมันไม่เชื่อว่าผมจะแต่งงาน ผมเองยังก็ยังงงๆ อยู่เลย ทำไมถึงตอบตกลงอาม่าโดยใช้เวลาคิดไม่ถึงเสี้ยวนาที ทั้งที่ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยมีเรื่องนี้อยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำ ประเด็นหลักอาจเป็นเรื่องธุรกิจ คนเราพอถึงวัยทำงานก็คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเงิน ประเทศนี้มันอยู่ยากขึ้นทุกวัน เงิน อำนาจ ต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่งถึงอยู่สบาย หรือบางทีอาจต้องมีทั้งสองอย่าง
AJD Group เป็นบริษัทขนส่งยักษ์ใหญ่ระดับต้นๆ ประเทศ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ดีมากอยู่แล้ว แต่ถ้าผมได้ถือครองหุ้นบางส่วน…ของ เรืองขจร บริษัทนำเข้า ส่งออกวัตถุดิบแปรรูประหว่างประเทศที่ติดอันดับต้นๆ ไม่แพ้กัน มันจะทำเงินให้ผมมากขนาดไหน ผมสามารถตัดขาคู่แข่งไปได้เกินครึ่งด้วยการดึง เรืองขจร มาเป็นดีลเลอร์ใหญ่และเซ็นสัญญาขึ้นตรงกับ AJD Group แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เมื่อก่อนมันเคยเป็นแบบนั้นนะ ตอนที่พ่อของลลิลลดายังมีชีวิตอยู่ แต่พอเปลี่ยนบอร์ดบริหาร ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด ความจริงไม่ใช่แค่ผม เราทุกคนล้วนมีส่วนได้เสียกับเรื่องนี้ทั้งนั้น
และประเด็นรองคือผมอยากเอาชนะยัยคุณหนูจองหองนั่น ลลิลลดา...
แต่ถ้าคิดอีกที…ตอนที่ผมตัดสินใจก็ไม่ได้คิดเรื่องธุรกิจมากขนาดจะยกให้เป็นประเด็นหลักหรอกนะ ยิ่งเห็นคุณหนูลลิล วิ่งแจ้นมาหาผม ท่าทีจะเป็นจะตาย ไฟในใจลุกโชนจนหาทางดับไม่ได้ ผมยิ่งลืมเรื่องธุรกิจไปสนิทเลย
ครืดดดด ครืดดดดด
ผมชะงักในจังหวะที่กำลังจะเปิดประตูรถซูเปอร์คาร์สีเทาดำคู่ใจ ก่อนจะพาดเสื้อแจ็คเก็ตไว้บนหลังคารถแล้วควักมือถือที่ยังคงสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนตัวโปรดออกมาดู
สายนี้จะปล่อยผ่านไม่ได้เด็ดขาด นายธารา อัครจินดา ผู้มีส่วนร่วมในการทำให้ผมเกิดมา
“มีอะไรให้รับใช้ครับ” ผมตอบรับอย่างใจเย็นพลางเอนหลังพิงรถ
[แกหายหัวไปไหนทั้งคืนฮะ!!] โทนเสียงที่ดังลอดออกมาส่งผลให้ผมต้องเคลื่อนโทรศัพท์ออกห่างหูเล็กน้อย แต่มันก็ยังได้ยินชัดเจนอยู่ดี แก้วหูเกือบแต่แล้วไม่ละ ดูจากอารมณ์ที่พุ่งพล่านขนาดนี้ คงไม่ใช่สายแรกแน่ๆ แต่ผมไม่ได้รู้สึกว่ามีสายเข้าเลยนะ ช่วงเวลาที่เมาหลับตั้งแต่รุ่งสางจนเลยมาครึ่งค่อนวัน
“ก็ไม่ได้หาย แค่เมา คิดถึงผมเหรอ”
[ไอ้ลูกเวร ฉันจะด่าแกยังไงดีนะ จะแต่งงานอีกไม่กี่วันนี้แล้ว ยังทำตัวเหมือนเด็กเหลือขอ ขี้เหล้า เมายาไปเรื่อยอยู่ได้] อะไรวะ…แค่กินเหล้าเมา มันกลายเป็นเรื่องผิดพลาดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ปกติผมก็ไม่ค่อยถูกกับพ่อเท่าไหร่นัก การโดนด่า เป็นเรื่องปกติมาก แต่นั่นมันช่วงก่อนที่ผมจะเรียนจบ ตั้งแต่ผมเริ่มเข้ามาดูแลธุรกิจเต็มตัว ท่านก็เลิกวุ่นวายกับผมเลย เรียกได้ว่าแทบจะไม่คุยกันเลยด้วยซ้ำ
“แม่บ้านทำอาหารไม่ถูกปากรึไงครับคุณพ่อ” ผมถามกลับน้ำเสียงยียวน แน่นอนผมต้องโดนด่า
[ไอ้แม็กซ์!! แกอย่ามากวนตีนฉันนะ!]
“อ่ะๆ ว่ามาครับ เรื่องอะไร” ผมไม่อยากกลายเป็นลูกทรพีที่ทำให้พ่อตัวเองเส้นเลือดในสมองแตกหรอกนะ
[หนูลลิลอยู่ไหน]
“เอ้า! ไหงมาถามผม จะไปรู้ได้ไง”
[ก็หนูลลิลบอกกับอาม่าตั้งแต่เมื่อคืนว่าจะไปหาแก จนป่านนี้ยังไม่มีใครติดต่อได้ ถ้าไม่ได้อยู่กับแก แล้วน้องจะไปไหน]
คำตอบของพ่อทำให้ผมยืดตัวตั้งตรงทันที สัญชาตญาณร้องเตือนแปลกๆ
“ติดต่อไม่ได้…” ผมพึมพำกับตัวเอง พลางคิดย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืน จนแทบไม่ได้ฟังเสียงบ่นจากปลายสาย ก่อนจะคิดบางอย่างขึ้นมาได้
[ก็เพราะแกมัวแต่เมานั่นแหละ ไอ้…]
“เดี๋ยวผมจัดการเอง”
ติ๊ด!
ผมแทรกขึ้นก่อนที่พ่อจะพูดจบแล้วกดตัดสายทันที พ่อคงกำลังด่าผมยับผ่านโทรศัพท์ตัวเองอยู่ แต่ตอนนี้ต้องจัดการเรื่องยัยคุณหนูตัวแสบก่อน
ผมออกคำสั่ง
‘เที่ยวบินไปโอกแลนด์’
‘กำลัง…ค้นหา…เที่ยว…บิน…โอกแลนด์’
Siri จัดการแสดงผลที่ผมอยากรู้บนหน้าจอมือถือ
ไฟต์ถัดไป…หกโมงครึ่ง ตอนนี้ห้าโมงครึ่ง ยังพอมีเวลา ตอนนี้ผมแทบจะทำทุกอย่างในเวลาเดียวกัน เปิดประตูรถ จัดแจงความเรียบร้อยของตัวเองอยู่หลังพวงมาลัยหรือแม้กระทั่งใช้หัวแม่มือเลื่อนดูข้อมูลก่อนหน้า วันนี้ไม่มีไฟต์เช้า ภาวนาให้เธอจองไฟต์เมื่อคืนไม่ทันทีเถอะ ผมกดล็อกหน้าจอแล้วโยนไปเบาะข้างๆ มันคงตกอยู่ที่ไหนสักที่ในรถนี่แหละ ช่างมันก่อน
ฝันไปเหอะ…ว่าจะได้หนีไปมีชีวิตสงบสุข เธอไม่มีวันสงบสุขตั้งแต่…เราได้มีโอกาสกลับมาเจอกันอีกครั้งแล้ว ลลิลลดา
