บทที่ 4 สู่ไฮเปอร์เรี่ยน
ในยุคที่เธอจากมา ไฮเปอร์เรี่ยนคือประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เป็นสถานที่ที่รวบรวมวิทยาการทั้งอดีตและปัจจุบัน ตอนนี้ทั้งกลุ่มกำลังจะเข้าสู่เขตกำแพงเมือง นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าอย่างตื่นเต้นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่แคทเธอรีนจะได้เห็นเมืองใหญ่ในอดีต แม้ในปัจจุบันเธอจะยังไม่เคยไปแต่โฟรเซนก็ส่งภาพถ่ายตามสถานที่ต่าง ๆ มาให้ดูในเว็บไซต์สังคมออนไลน์ นึกแล้วก็ทำให้เธออดคิดถึงยุคที่ตัวเองจากมาไม่ได้
“พี่โฟรเซน” เจ้าของเสียงหวานพึมพำเมื่อนึกถึงคู่หมั้นที่ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง เธอจำได้ว่าตอนถูกรถชนตกสะพาน มีเสียงตะโกนเรียกชื่อเธอจากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบไปเลย
“เจ้าพูดถึงใครเหรอ” เฮเลนน่าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถามด้วยความอยากรู้ สามวันที่เดินทางมาด้วยกันทำให้สองสาวเริ่มสนิทกันมากขึ้นเนื่องจากนักเดินทางกำมะลอคนนี้เป็นผู้หญิงคนเดียวในขบวน ส่วนพวกข้ารับใช้ก็มีแต่สาวประเภทสองและทหารอารักขา
“...เมื่อกี้ว่าอะไรนะ” อีกฝ่ายสะกิดเธอรอบสอง เจ้าของทรงผมทวินเทลจึงได้สติ
“เจ้าพูดชื่อใคร ข้าได้ยินนะ โฟรเซนใช่ไหม”
“อ้อ ใช่ ๆ เขาเป็นคนสำคัญของข้าน่ะ” พูดถึงอีกฝ่ายทีไร หญิงสาวก็รู้สึกคิดถึงทุกที ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าสักวันตัวเองจะได้กลับไป
“เขาเป็นคนรักของเจ้า” เฮเลนน่าเห็นแววตาที่เพื่อนใหม่แสดงออกก็พอจะคาดเดาถึงความรู้สึกได้ “เล่าให้ฟังหน่อยสิ เจอกันได้ยังไงเหรอ”
“อันที่จริงเรื่องมันเริ่มตอนที่ข้ายังเด็ก น่าจะสักสิบขวบ” แคทเธอรีนเริ่มเล่าเรื่องพลางใช้มือทำท่าประกอบ “วันนั้น มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาเป็นแขกที่บ้านข้า ครั้งแรกที่เห็นหน้า ข้ารู้สึกถูกชะตากับเขามาก เขายิ้มให้ข้าแล้วทักทายว่าสวัสดีแคทเธอรีน พี่ชื่อโฟรเซน เราได้เจอกันแล้วนะ จะว่าอะไรไหมถ้าพี่จะขอเรียกว่า 'เคท' ข้ายิ้มแล้วพยักหน้าตกลง"
"เขาสุภาพใช่ไหม"
"ใช่ พี่เขาเป็นผู้ชายที่สุภาพมาก เราสองคนสนิทกันได้เร็ว ส่วนเรื่องรักกัน ข้าก็จำไม่ได้ว่าตอนไหน รู้อีกทีก็โดนพ่อแม่จับหมั้นแล้ว"
"อ้าว แล้วเจ้ามาเป็นนักเดินทางได้ไง" เฮเลนน่าไม่เข้าใจ อีกฝ่ายก็มีพ่อแม่แถมยังมีบ้านอีก แล้วเจ้าตัวคิดอย่างไรถึงออกมาตระเวนข้างนอกล่อพวกสัตว์ร้าย
"ข้าอยากมาหาประสบการณ์น่ะ กำลังหาทางไปเมืองใหญ่ ๆ จนเจอเจ้านี่แหละ" แคทเธอรีนปั้นน้ำเป็นตัวเพื่อหลอกเพื่อนใหม่เพราะถ้าพูดความจริงออกไป นอกจากอีกฝ่ายจะไม่เชื่อแล้วยังหาว่าเธอบ้าแน่ "ว่าแต่เจ้ามาทำอะไรที่ไฮเปอร์เรี่ยนล่ะ"
"ข้ามาหาคู่หมั้น เขามีบ้านอยู่ที่ไฮเปอร์เรี่ยน" เฮเลนน่ากล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส พอหันไปมองหน้าต่างจึงเห็นกำแพงเมือง "ดูนั่น เราจะถึงที่หมายแล้ว"
"ไหน ๆ ดูด้วย" เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนรีบชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่าง ภาพที่เห็นคือกำแพงสูงห้าสิบเมตรที่ทอดยาวไปไกลสุดสายตา และมีบาเรียสีทองโปร่งแสงกางครอบอยู่ถัดไปอีกเล็กน้อย
เมื่อขบวนเดินทางมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง ทหารที่สวมชุดขนสัตว์เพื่อป้องกันความหนาวเย็นก็เดินมาตรวจตราตามหน้าที่ เมื่อไม่มีอะไรน่าสงสัย พวกเขาจึงปล่อยให้ขบวนเดินทางไปต่อได้ เสียงเปิดประตูที่ดังแว่วมาทำให้สองสาวโผล่หน้าออกมาดูจะได้เห็นภายนอกชัด ๆ รถม้าเคลื่อนผ่านประตูกำแพงสู่ช่องแคบบาเรียที่เปิดออกเพื่อให้คนเข้าไปด้านใน พลันความมืดและความหนาวเย็นก็หายไปแล้วแทนที่ด้วยความอบอุ่นจากแสงสว่างกับสายลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านมา
"ล้อเล่นใช่ไหมเนี่ย เมื่อกี้ยังมืดอยู่เลย"
"ท่าทางเจ้าคงเพิ่งเข้าเมืองครั้งแรก ดูตรงนั้นสิ" เฮเลนน่าชี้ต้นเสาสีทองที่สูงเป็นพันเมตร เหนือต้นเสาเป็นวัตถุทรงกลมขนาดใหญ่คอยกระจายคลื่นพลังไปทั่วบาเรีย "นั่นคือเสาพลังงาน ส่วนที่มันกลม ๆ ลอยอยู่เหนือต้นเสาคือดวงอาทิตย์จำลอง ทำหน้าที่ควบคุมฝนฟ้าอากาศให้เป็นไปตามฤดูกาล"
"บ้านเรือนเยอะแยะเลย พวกชาวบ้านไม่ใส่เสื้อกันหนาวด้วย" แคทเธอรีนมองบ้านเรือนที่สร้างจากหินแข็งแรงทนทาน ส่วนชาวบ้านชาวเมืองก็แต่งตัวธรรมดาเพราะอากาศในนี้อบอุ่น "ไฮเปอร์เรี่ยนเป็นเมืองใหญ่มาตั้งแต่พันปีก่อนแล้ว มิน่าล่ะ ปัจจุบันถึงเป็นประเทศอันดับหนึ่งของโลก"
"พึมพำอะไรอยู่เหรอ"
"ข้ากำลังคิดว่าน่าจะพาคนรักมาดูด้วยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก" สาวน้อยจากอนาคตรีบหาเหตุผลมาอ้างทันที
"คู่หมั้นข้าอยู่ในคฤหาสน์กลางเมือง ใกล้ ๆ นี่ก็เป็นวิหารที่ท่านเทพแห่งแสงทั้งสามพำนักอยู่" คำพูดของเฮเลนน่าทำให้แคทเธอรีนถึงกับหูผึ่ง เทพแห่งแสงทั้งสามพำนักอยู่ที่นี่ ไม่แน่ว่าเธออาจได้พบตัวเป็น ๆ คิดแล้วก็อยากจะกลับไปอวดเพื่อนสนิทในยุคปัจจุบันว่าเธอจะได้เจอสามพี่น้องเทพแห่งแสงแล้ว
"ว่าแต่เทพแห่งความมืดอยู่ไหนเหรอ"
"ข้าได้ยินผู้คนเขาลือกัน เห็นว่าน่าจะอยู่ที่ดินแดนหนาวเย็น"
"ดินแดนหนาวเย็นเหรอ"
"ใช่ มันอยู่อีกฝั่งของทะเลโน้น แผ่นดินตรงนั้นปกคลุมไปด้วยหิมะ อากาศเย็นตลอดทั้งปี มีสัตว์ร้ายน่าสะพรึงกลัว ไม่มีมนุษย์คนไหนอาศัยอยู่ที่นั่น มีแค่เทพแห่งความมืดเท่านั้นที่พำนักอยู่" ปฏิกิริยาของเฮเลนน่ายามที่พูดถึงศัตรูของเทพแห่งแสงนั้นคือขนลุก ท่าทางเธอจะเสียวสันหลังไม่น้อยเมื่อกล่าวถึงตัวอันตรายระดับโลก
"เขามีมังกรด้วยหรือเปล่า" ภาพชายหนุ่มผมสีขาวผู้มาพร้อมกับมังกรน้ำแข็งปรากฏขึ้นในห้วงความทรงจำและนั่นทำให้เธอถามออกไป
“ใช่ เขามีมังกร และทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวจะเกิดพายุหิมะ ตามมาด้วยเสียงมังกรคำราม จากนั้นเขาก็จะขี่มังกรเหาะลงมาจากท้องฟ้า แต่หน้าตาเขาเป็นยังไง ข้าไม่รู้หรอก ข้าได้ยินคนเล่ามาอีกที”
“แล้วเทพแห่งความมืดน่ากลัวมากไหม”
“ถ้าไม่น่ากลัวแล้วจะใช่เทพแห่งความมืดเหรอ ถึงแม้ว่าจะเคยต่อสู้กับเทพแห่งแสงแล้วพ่ายแพ้ก็เถอะ แต่ตราบใดที่ยังกำจัดท่านเทพทั้งสามไม่ได้ เขาก็ไม่มีทางหยุด ตอนนี้ทำลายเสาพลังงานในเมืองอื่นไปไม่รู้กี่แห่งแล้ว ข้าสงสารผู้คนในเมืองนั้นจริง ๆ พอไม่มีเสาพลังงาน ทั้งเมืองก็จะตกอยู่ในความมืด เสี่ยงต่อการถูกสัตว์ร้ายโจมตี ข้าไม่อยากจินตนาการยามที่ตัวเองอยู่ที่นั่นเลย” เฮเลนน่ากอดตัวเองพลางก้มหน้ามองพื้นอย่างหวาดกลัว ในสมองคงกำลังจินตนาการว่าตัวเองยืนอยู่บนถนนในเมืองที่มืดมิด ไร้ซึ่งแสงสว่าง จากนั้นก็มีเสียงของสัตว์ร้ายคำรามดังแว่วมาให้สะดุ้งอยู่เรื่อย ๆ
“อีกนานไหมกว่าเราจะถึงที่หมาย” แคทเธอรีนไม่อยากให้หญิงสาวจิตตกจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย เฮเลนน่ากลับมาสู่โลกแห่งความจริงก่อนจะยิ้มกว้าง
“อีกไม่นานหรอก เดี๋ยวก็ถึงที่หมายแล้ว”
พายุหิมะที่อยู่ ๆ ก็พัดกระหน่ำอยู่ด้านนอกบาเรียภายในเมืองแห่งหนึ่งไม่ได้สร้างความหวาดกลัวให้ชาวเมืองที่เดินผ่านไปผ่านมาเลย ตราบใดที่ยังมีเสาพลังงานและดวงอาทิตย์จำลอง ความมืดและความหนาวเย็นก็จะไม่เข้ามาปกคลุมเมืองนี้ พลันเสียงคำรามของสัตว์อสูรก็ดังแว่วมาแต่ไกลทำให้ผู้คนหลุดสะดุ้งก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้า
ตูม!
พลังบางอย่างพุ่งชนบาเรียเต็มแรงก่อนที่รอยร้าวจะลุกลามไปทั่ว เสียงกระจกแตกดังก้องแล้วเกราะป้องกันสีทองก็ร่วงลงมาเป็นเศษกระจกชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทันใดนั้นมังกรน้ำแข็งแห่งดินแดนหนาวเย็นก็บินร่อนเข้ามา บนหลังมีชายหนุ่มผมยาวสีขาวในอาภรณ์สีดำนั่งอยู่
“ทะ... เทพแห่งความมืด!”
“กรี๊ด!”
“ว้าก!”
“หนีเร็ว!”
ความวุ่นวายครอบงำทั้งเมืองในเวลาอันรวดเร็ว ทว่าบุรุษผู้ทรงมังกรกลับไม่สนใจเสียงร้องโวยวายของผู้คน เขาสั่งให้ข้ารับใช้มุ่งตรงไปยังเสาพลังงานพลางบินหลบห่าธนูที่พุ่งขึ้นมาจากเบื้องล่างด้วยฝีมือของทหารประจำเมือง
“เกะกะ” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ เขาชูมือขึ้นฟ้า หอกน้ำแข็งนับร้อยปรากฏขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า ก่อนที่มันจะพุ่งลงไปถล่มบ้านเรือนด้านล่างทันทีที่เขาตวัดมือลง
ความโกลาหลมีมากขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อสิ่งก่อสร้างทั่วเมืองพังเสียหาย ทหารประจำเมืองจำเป็นต้องหันไปช่วยดูแลคนที่บาดเจ็บ เทพแห่งความมืดและข้ารับใช้จึงอาศัยจังหวะนี้ตรงไปยังเสาพลังงานที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง
“ทำลายมันซะ สโนว์”
"รับทราบ"
มังกรน้ำแข็งอ้าปากกว้าง พลันสายพลังไอเย็นก็หลั่งไหลมารวมกันจากทั่วทุกสารทิศจนกลายเป็นลูกพลังขนาดใหญ่ สโนว์ปล่อยอำนาจนั้นออกไปพุ่งชนเสาพลังงาน ระเบิดไอเย็นทำให้เป้าหมายถล่มลงมาพร้อมดวงอาทิตย์จำลองซึ่งกลายเป็นน้ำแข็งและแตกกระจายทันทีที่กระแทกพื้น แสงสว่างที่เคยปกคลุมทั้งเมืองจางหายไปแล้วแทนที่ด้วยความมืดและความหนาวเย็น เทพแห่งความมืดไม่สนใจเสียงกรีดร้องของผู้คนนอกจากสั่งให้ข้ารับใช้พาไปที่อื่น
“ไปได้แล้ว”
"จะดีหรือครับ" มังกรน้ำแข็งรู้สึกไม่ดีเมื่อเห็นผู้คนมากมายตกอยู่ในความหวาดกลัว มันไม่ชอบเหตุการณ์แบบนี้เลย เทพแห่งความมืดชำเลืองมองเบื้องล่างก่อนจะกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“ช่างหัวมันสิ”
คฤหาสน์ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองไฮเปอร์เรี่ยนคือจุดหมายปลายทางที่เฮเลนน่าพาแคทเธอรีนมา และนั่นทำให้หญิงสาวผู้มาจากอนาคตเข้าใจแล้วว่าคนที่เธอเข้าไปช่วยไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาจริง ๆ แถมฝ่ายชายวิ่งมากอดเฮเลนน่าด้วยความเป็นห่วงก็ไม่ใช่ผู้ดีทั่วไปด้วย
“เฮเลนน่า! ข้าเป็นห่วงแทบแย่!” ร่างสูงจับคู่หมั้นสาวหมุนตัวไปมาหลังได้ข่าวว่าขบวนเดินทางถูกสัตว์ร้ายโจมตี
“อาชิลาส ข้าไม่เป็นไรจริง ๆ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก โน่นไง คนที่ช่วยข้าไว้” หญิงสาวบุ้ยใบ้มาทางเจ้าของทรงผมทวินเทลที่ยังยืนนิ่ง “แคทเธอรีน มาทางนี้สิ”
“...” คนถูกเรียกเดินเข้าไปหาโดยไม่รู้ตัว
“สวัสดี ข้าชื่ออาชิลาส ไคโรเชล บุตรชายของดยุกแห่งไฮเปอร์เรี่ยน ยินดีที่ได้รู้จัก แล้วก็ขอบคุณที่ช่วยคู่หมั้นของข้า” ชายหนุ่มผมสีดำยาวระคอ นัยน์ตาสีน้ำตาลแดง เขากล่าวทักทายเพื่อนใหม่ของคู่หมั้นพลางขอบคุณที่ช่วยเหลือคนรักให้ปลอดภัย
“สวัสดีค่ะ ข้าชื่อแคทเธอรีน โฟติเน่ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” เจ้าของเสียงหวานจับมือทักทายกับคนตรงหน้า อาชิลาสยิ้มรับก่อนจะผายมือไปด้านหลัง
“เข้าไปข้างในกันเถอะ พ่อแม่ข้าเป็นห่วงเจ้ามาก ท่านเทพแห่งแสงก็อยู่ให้กำลังใจด้วย ไปพบพวกเขาหน่อย” หนุ่มผมดำจูงมือคู่หมั้นสุดที่รักกลับเข้าไปในคฤหาสน์โดยมีทหารอารักขาเดินตามอยู่ห่าง ๆ เฮเลนน่ากวักมือเรียกเพื่อนใหม่ แคทเธอรีนจึงวิ่งตามไปด้วย
'จำได้ละ คฤหาสน์หลังนี้ พี่โฟรเซนบอกว่าเป็นบ้านของประธานาธิบดีแห่งไฮเปอร์เรี่ยน' เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้ามองภาพการตกแต่งภายในตัวอาคารอันสวยงาม พื้นกระเบื้องเงาวับ ต้นเสาและผนังเป็นหินอ่อนที่แกะสลักลวดลายแปลกตา เพดานตกแต่งด้วยโคมไฟระย้าราคากี่ล้านก็ไม่ทราบ ข้าวของเครื่องใช้เป็นเฟอร์นิเจอร์ชั้นดี มีหุ่นอัศวินถือธงตั้งอยู่เรียงรายตลอดสองข้างทาง แคทเธอรีนทำได้แค่เก็บอาการอยากวิ่งไปตรงโน้นตรงนี้เพราะอาจถูกมองว่าเสียมารยาท และเฮเลนน่าจะพลอยเสียหน้าไปด้วย
“มาแล้วเหรออาชิลาส พ่อกับแม่เจ้าเพิ่งออกไปธุระข้างนอกเมื่อครู่นี้เอง” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นก่อนที่แคทเธอรีนจะตวัดสายตาไปมอง เธอเห็นชายหนุ่มผมสีทองยาวประบ่า นัยน์ตาก็เป็นสีทองเช่นเดียวกัน เขาสวมชุดสีขาว และนั่นทำให้ออร่ารอบกายเจิดจ้ายิ่งขึ้นไปอีก
ถ้าพาออกไปเดินนอกกำแพง คงไม่ต้องพึ่งพาคบเพลิงแล้ว!
“ท่านมอสเวน” ว่าที่ดยุกคนต่อไปค้อมศีรษะอย่างนอบน้อม ผู้มาใหม่ยิ้มรับก่อนจะเบนสายตามาทางเฮเลนน่าที่ยกชายกระโปรงเล็กน้อยพลางย่อตัวลง
“กลับมาอย่างปลอดภัยแล้วก็ดี ท่านดยุกกับดัชเชสเป็นห่วงเจ้ามากนะ คุณหนู”
“ตอนนี้ข้ามาถึงแล้วนะคะ” หญิงสาวผมสีแดงกล่าวจบก็หันไปเรียกเพื่อนใหม่ที่ตอนนี้สติบินออกจากร่างไปแล้ว “แคทเธอรีน นี่คือท่านมอสเวน หนึ่งในสามเทพแห่งแสงที่คอยปกป้องดูแลเราจากความมืด”
“...” เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนยืนนิ่งเพราะตอนนี้กำลังเข้าสู่ห้วงความคิด ภาพในความฝันปรากฏขึ้นอีกครา ชายคนนี้คือพี่ใหญ่ในบรรดาสามพี่น้องเทพแห่งแสงที่ต่อสู้กับเทพแห่งความมืด แต่นั่นไม่สำคัญเท่าใบหน้าของเขาที่เหมือนใครบางคนราวกับพิมพ์เดียวกัน
“แคทเธอรีน” เฮเลนน่าสะกิดร่างบางที่เอาแต่ยืนจ้องหน้าคนอื่น
“พี่โฟรเซน...” เธอหลุดพูดชื่อคู่หมั้นราวกับละเมอ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหน้ามอสเวนชัด ๆ เขาเหมือนผู้นำตระกูลอินเซนิโอมาก นอกจากหน้าเหมือนแล้ว แม้แต่เสียง บุคลิก ท่าทาง และบรรยากาศที่แผ่ออกมาก็เหมือนจนเธอนึกว่าเป็นโฟรเซนจริง ๆ
“สวัสดี ข้าชื่อมอสเวน ยินดีที่ได้รู้จัก เจ้าคือคนที่ช่วยเฮเลนน่าใช่ไหม” เสียงของเทพแห่งแสงทำให้แคทเธอรีนได้สติอีกครั้ง “การกระทำของเจ้าเป็นสิ่งที่ดี ขอให้เจ้านำความดีงามนั้นแบ่งปันแก่ผู้อื่น แล้วพรแห่งแสงจะอยู่กับเจ้าไปอีกนานเท่านาน”
“...ขอบคุณค่ะ” แคทเธอรีนค้อมศีรษะเล็กน้อยพลางมองตามหลังร่างสูงที่เดินจากไป แผ่นหลังของเขาช่างเหมือนโฟรเซนไม่มีผิด นึกแล้วก็อดคิดถึงไม่ได้ ไม่รู้ว่าป่านนี้ที่โลกปัจจุบัน คนรักของเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง
ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าพระเจ้าจะใจดีส่งเธอกลับไปหาโฟรเซนเร็ว ๆ
