บทที่ 3 ออกเดินทาง
ภาพความฝันนั้นฉายให้เห็นเหตุการณ์บางอย่างที่เต็มไปด้วยบรรยากาศเศร้าหมอง ข่าวร้ายถึงการจากไปของเทพผู้นำและผู้สืบทอดทำให้ทุกคนเป็นกังวลถึงอันตรายที่กำลังเป็นภัยต่อโลกทั้งใบ พลันประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดออกแล้วชายคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามา เขากวาดสายตามองทุกคนก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าโลงศพของเทพทั้งสอง
“นายท่านกับท่านผู้สืบทอดสิ้นแล้ว” เสียงของเทพสูงวัยดังแว่วอยู่ทางด้านหลังก่อนที่เขาจะเดินมาโดยมีนักบวชที่เป็นเด็กหนุ่มคนสนิทช่วยพยุงมาด้วย “ภัยร้ายจากการทดลองที่ผิดพลาดของมนุษย์กำลังทำให้โลกนี้อาจถึงคราวล่มสลาย การจากไปของนายท่านและผู้สืบทอด ทำให้พวกเราเสียขวัญยิ่งขึ้นไปอีก”
“ถึงพ่อกับพี่ชายข้าสิ้นไป แต่ข้ายังอยู่ตรงนี้” ร่างสูงกล่าวเสียงเรียบก่อนจะหันกลับไปมองทุกคนในห้องโถง “ข้าจะเป็นผู้นำของเหล่าเทพแห่งแสง และพาทุกคนปกป้องโลกนี้ต่อไป ก่อนที่ ‘สิ่งนั้น’ จะกลืนกินโลก สวรรค์ส่งเรามาอยู่ที่นี่ในฐานะผู้พิทักษ์ ไม่ว่าจะเจอภัยแบบไหน เราก็ต้องสู้กับมัน”
“ท่านจะไปสู้กับ ‘สิ่งนั้น’ จริง ๆ หรือ”
“ใช่ ข้าจะสู้กับมัน” คนพูดกัดฟันกรอดพลางกำหมัดแน่น “จริงอยู่ที่ข้าไม่ได้เรียนรู้การเป็นผู้สืบทอดเลย แต่ในสถานการณ์นี้ ข้าจำเป็นต้องทำหน้าที่แทนท่านพ่อกับท่านพี่” เพราะไม่คิดว่าสักวันตัวเองจะก้าวมายืนอยู่ตรงนี้สักวัน เขาเป็นเทพที่เรียบง่ายและอยู่สงบ ๆ มาตลอด
“ถ้าท่านเลือกแบบนี้ เท่ากับว่าท่านพร้อมที่จะตายทุกเมื่อนะ”
“ข้ารู้และข้าก็ยอมรับ” ว่าที่ผู้นำของเหล่าเทพแห่งแสงกล่าวพลางสะกดอารมณ์ในใจไม่ให้เผลอแสดงออกมา เขาไม่เคยรู้ว่าจะต้องมาเป็นผู้นำดังนั้นความหวาดกลัวจึงเกิดขึ้น แต่เขาจะแสดงออกไปไม่ได้ เพราะแค่นี้เทพแห่งแสงทุกคนก็เสียขวัญมากพอแล้ว
สิ่งสำคัญต่อจากนี้คือการต่อสู้เพื่อปกป้องโลก!
เมื่อความฝันนั้นจางหายไป สาวน้อยจากโลกปัจจุบันจึงตื่นจากห้วงนิทรา แคทเธอรีนขยี้ตางัวเงียลุกขึ้นมานั่ง รอบกายยังคงไร้ซึ่งแสงแดด และนั่นทำให้เธอไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไร เนื่องจากไม่รู้ว่าตอนไหนเป็นเวลากลางวัน ห้องน้ำอยู่ไม่ไกลจากห้องโถงที่เธอใช้เป็นที่นอน ร่างบางจึงตรงไปล้างคราบสกปรกออกจากใบหน้าแล้วส่องกระจกดูร่างใหม่ชัด ๆ
“สีผมกับสีตาเหมือนเรา หน้าตาเหมือนคนอายุยี่สิบเศษ ๆ เธอก็ออกจะสวย แล้วทำไมมาเป็นขอทานได้ล่ะเนี่ย เอาเถอะ ขอทานบางราย เห็นซกมกไม่น่าเข้าใกล้ แต่พอจับอาบน้ำ ออร่าถึงออกก็มี” ตอนนี้เธอไม่ใช่เด็กสาวอีกแล้ว แต่กลายเป็นหญิงสาวผมยาวสีฟ้าอ่อนผู้มีใบหน้างดงาม พอถูคราบสกปรกออกก็มีผิวหนังขาวเนียน ถ้าร่างนี้เป็นลูกสาวตระกูลผู้ดี ผู้ชายคงมาแจกขนมจีบไม่เว้นวันแน่
“ถ้าอยากอาบน้ำ ก็อาบได้นะ แต่ต้องต้มน้ำก่อน ส่วนนี่เป็นเสื้อผ้าที่ข้าไม่ใช้แล้ว เจ้าจะเอาไปเลยก็ได้ ข้ายกให้” พี่สาวเจ้าของบ้านผู้ใจดีนำของมาวางไว้ที่โต๊ะหน้าห้องน้ำ แคทเธอรีนหันไปกล่าวขอบคุณก่อนจะถามกลับ
“พี่สาว ตอนนี้เป็นเวลาเท่าไรแล้วคะ”
“เมื่อกี้มีเสียงไก่ขัน น่าจะเป็นเวลาหกโมงเช้านะ”
“ขอบคุณค่ะ” อีกฝ่ายพยักหน้ารับจากนั้นก็เดินเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารเช้า ส่วนเจ้าของเรือนผมสีฟ้าอ่อนก็หันมาส่องกระจกพลางนึกถึงความฝันเมื่อคืน
แคทเธอรีนไม่รู้ว่า ‘สิ่งนั้น’ หมายถึงอะไร แต่จากการคาดเดา เรื่องราวน่าจะเกี่ยวกับเทพแห่งแสง เมื่อเป็นอย่างนี้เธอก็อาจหาคำตอบได้ว่าบันทึกที่สูญหายไปนั้นเขียนอะไรไว้บ้าง และหนึ่งในนั้นอาจมีเหตุผลที่ทำให้เธอย้อนเวลากลับมาในช่วงเวลานี้ก็ได้
เห็นทีคงต้องออกเดินทาง!
ความฝันนั้นทำให้เปลือกตาที่ปิดสนิทลืมขึ้นมองเพดาน นัยน์ตาสีทองนั้นสั่นระริกก่อนที่เขาจะลุกขึ้นมาถอนหายใจ เขาฝันถึงเรื่องนั้นอีกทั้งที่มันไม่เกี่ยวกับเขาเลย ชายหนุ่มลุกจากเตียงแล้วออกมายืนที่ระเบียง มองแสงไฟจากตะเกียงตามบ้านเรือนที่อยู่ไกลออกไป มันช่างสวยงามเหมือนดวงดาว เสียแต่ว่าหมู่ดาวที่แท้จริงไม่ปรากฏบนท้องฟ้ามานานแล้ว
“ท่านพี่มอสเวน”
“เจ้าเองเหรอ เดลลาโน่” คนพูดหันมาสบตากับน้องชายที่เดินมาหาตั้งแต่ตอนไหนไม่ทราบ เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้าเหมือนที่พี่ชายทำเมื่อครู่
“ท่านพี่มีเรื่องไม่สบายใจเหรอครับ”
“ข้าฝันน่ะ เกี่ยวกับความทรงจำของพ่อเรา” มอสเวนพ่นลมหายใจพรืดใหญ่จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เรื่องเทพแห่งความมืดไปถึงไหนแล้ว”
“ฝ่ายนั้นยังไม่มีความเคลื่อนไหวครับ” เดลลาโน่ไม่รู้ว่าเทพแห่งความมืดกำลังทำอะไรอยู่ แถมยิ่งเหตุการณ์สงบ ๆ แบบนี้ก็ยิ่งน่ากังวลด้วย
“ข้าไม่สบายใจ จนกว่าจะทำลายพวกเราได้ เขาไม่มีทางหยุดแน่” มอสเวนไม่คิดว่าหลังจากนี้ตัวเองจะนอนหลับ เทพแห่งแสงเช่นเขาต้องตื่นตัวอยู่ตลอด เผื่อว่าศัตรูลงมือก่อเรื่องตอนไหน เขาจะได้รีบไปจัดการ
“พรุ่งนี้เราค่อยคุยกันต่อ ไปพักเถอะท่านพี่ ท่านจำเป็นต้องฟื้นพลังให้มาก ๆ ข้าเชื่อว่าเขาต้องกลับมาพร้อมอำนาจที่มากกว่าคราวก่อนแน่”
“นั่นสินะ” มอสเวนเห็นด้วยกับน้องชาย เทพแห่งความมืดคงซ่อนตัวและพักฟื้นพลังอยู่แน่ ๆ เมื่ออำนาจหวนคืนมาแถมมากกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว ศัตรูตัวร้ายก็จะเคลื่อนไหวทันที
ศึกนี้คงยังไม่จบง่าย ๆ แน่!
พายุหิมะที่พัดกระหน่ำในดินแดนหนาวเย็นนั้นรุนแรงจนคนธรรมดาไม่สามารถออกมาเดินกลางแจ้งได้ แต่นั่นไม่เป็นปัญหาสำหรับสัตว์อสูรรับใช้อย่างมังกรน้ำแข็ง มันเดินย่ำไปบนเนินหิมะ เมื่อเห็นร่างสูงในชุดสีดำยืนหันหลังให้อยู่ มันจึงหยุดอยู่กับที่พลางค้อมศีรษะเล็กน้อย ทางด้านบุรุษผมสีขาวก็รู้ว่าสิ่งใดอยู่เบื้องหลัง เขาจึงเอ่ยขึ้น
“มีอะไร สโนว์”
"นายท่านไม่กลับไปพักหรือครับ"
“พายุหิมะแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก เพียงแต่มีเรื่องกวนใจทำให้ข้านอนไม่หลับ” เพราะอย่างนี้เขาถึงออกมาข้างนอก แล้วจ้องมองไปยังทิศที่ตั้งของเมืองใหญ่อันเป็นสถานที่พำนักของเทพแห่งแสงทั้งสาม “สักวัน ข้าจะฆ่าไอ้สามคนนั้น”
"แต่ว่าท่านเพิ่งฟื้นตัว ข้าเกรงว่าท่านจะยังไม่พร้อม..."
“ถ้าเจ้ากล้าพูดว่าข้ายังไม่พร้อม ข้าจะตัดลิ้นเจ้าแล้วโยนให้หมาป่าหิมะกินซะ” เทพแห่งความมืดเอ่ยเสียงเย็น ทำให้ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ต้องสงบปากสงบคำทันที “คอยดูเถอะ ข้าจะทำลายทุกสิ่งที่พวกมันสร้างมาให้สิ้นซาก คราวก่อนข้าแพ้ แต่คราวนี้ข้าจะไม่แพ้เด็ดขาด”
คราวนี้มังกรน้ำแข็งไม่พูดอะไร มันค้อมศีรษะเล็กน้อยเมื่อเจ้านายหันหลังเดินผ่านไป แรงลมที่พัดมานั้นทำให้ชายผ้าคลุมพลิ้วไหวไปตามสายลม เมื่อมองแล้ว เขาช่างดูเหมือนเทพผู้งดงามท่ามกลางความมืดและความหนาวเย็น แต่คงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นัก เพราะบรรยากาศรอบกายไม่เป็นมิตรเลย
สโนว์เดินตามหลังเจ้านายไปโดยรักษาระยะห่างที่คิดว่าเหมาะสม ชายหนุ่มผมสีขาวยาวสยายก้าวลงมาจากเนินหิมะ สัตว์ร้ายในดินแดนน้ำแข็งซึ่งกำลังฉีกเนื้อเหยื่อที่ล่ามาก็รีบหมอบลงกับพื้นอย่างหวาดกลัว และยิ่งไม่กล้ามองเมื่อเทพแห่งความมืดปรายตามา
พวกมันรู้ตัวดีว่าใครคือนายเหนือหัวในดินแดนนี้!
“เดินทางดี ๆ นะ”
“ขอบคุณที่ช่วยเหลือนะคะ” เจ้าของทรงผมทวินเทลโบกมือลาให้เจ้าของบ้านผู้ให้ที่พักหลบภัยหนาว แถมก่อนแคทเธอรีนเดินทาง อีกฝ่ายยังใจดีแบ่งเสบียงและเสื้อผ้าให้ใส่ด้วย
“ระวังตัวด้วยนะ นอกเขตหมู่บ้านมีสัตว์ร้ายมากมาย เดินทางปลอดภัยล่ะ”
“ฉัน เอ่อ...ข้าจะระวังตัวค่ะ” เจ้าของเสียงหวานยิ้มฝืด ๆ ทั้งที่เริ่มเหงื่อตก แม้จะกลัวเรื่องสัตว์ร้ายแต่ก็ต้องเดินทางเข้าเมืองเพราะเธอต้องการรู้เรื่องยุคไร้แสงตะวันให้มากกว่านี้
'พี่สาวคนนั้นแถมแผนที่มาให้ด้วย ดีจริง ๆ' แคทเธอรีนเสกลูกไฟออกมาให้แสงสว่างนำทางเมื่อเดินออกจากเขตหมู่บ้าน เส้นทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยความมืด มองไม่เห็นอะไรเลย
การเดินทางในยุคนี้ลำบากพอสมควร เพราะสัตว์ร้ายที่เธอได้ยินมาจากพี่สาวคนนั้นทำให้มั่นใจว่าคนสติดีไม่มีทางไปไหนมาไหนคนเดียวเพราะอาจถูกฆ่าได้ แต่หญิงสาวคิดว่าเรื่องเอาตัวรอด ตัวเองก็น่าจะทำได้ ร่างบางเดินไปบนถนนที่ตลอดสองข้างทางเป็นหิมะที่ทับถมกัน ดูเหมือนว่าตั้งแต่เกิดยุคไร้แสงตะวัน ทุกคนจะเห็นหิมะและความมืดจนชินแล้ว
ปัญหาก็คือเราเองก็ไม่รู้ว่ามาไกลแค่ไหนแล้วนี่สิ แคทเธอรีนหันหลังกลับไม่ได้ เธอต้องเดินไปตามเส้นทางเรื่อย ๆ ยังดีที่สมัยมัธยม เคยมีกิจกรรมเข้าค่ายตอนกลางคืน เวลาไปไหนมาไหนคนเดียวท่ามกลางที่มืด เธอจึงเคยผ่านเหตุการณ์นั้นมาบ้าง
แต่ลึก ๆ ก็ยังกลัวอยู่เพราะที่นี่คือยุคไร้แสงตะวัน ไม่ใช่กลางคืนธรรมดา
กี๊ซ!
เสียงแหลมสูงดังแว่วมาแต่ไกลทำให้หญิงสาวหลุดสะดุ้ง ในสมองของเธอเดาว่านั่นน่าจะเป็นเสียงสัตว์ร้ายแต่มันดังมาจากที่ไกล ๆ ตามมาด้วยเสียงกระทบกันของโลหะ แสดงว่าต้องเกิดเรื่องอะไรสักอย่าง ด้วยความอยากรู้ทำให้สาวน้อยจากอนาคตวิ่งตามเสียงไป จุดเกิดเหตุอยู่บนเส้นทางที่เธอต้องเดินผ่าน และนั่นทำให้เธอพบกับขบวนเดินทางที่กำลังถูกสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายต้นไม้โจมตี
'อย่าไปยุ่งดีกว่า ไม่ใช่เรื่องของเรา' ในยุคไร้แสงตะวัน แค่ใช้ไฟส่องทางระหว่างไปไหนมาไหนก็ลำบากมากพอแล้ว ถ้าจะให้เธอไปช่วยคนพวกนั้นสู้กับสัตว์ร้ายก็คงลำบาก เพราะขนาดพวกเขายังทำได้แค่ก่อไฟรอบ ๆ ขบวนเพื่อป้องกันพวกมันเท่านั้น
"ในยุคนี้มีตระกูลใหญ่มากมาย และพวกเขาเหล่านั้นมีหน้าที่ใช้พลังปกป้องโลก ตระกูลโฟติเน่ของเราก็เช่นกัน หากเห็นผู้อื่นเดือดร้อน ไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ เราก็ต้องหยิบยื่นน้ำใจช่วยเหลือบ้าง"
คำสอนของผู้ใหญ่ในตระกูลผุดขึ้นมาในห้วงความคิด หญิงสาวที่กำลังเดินหนีถึงกับชะงักเท้า เธอสะบัดหัวไล่คำพูดเหล่านั้นออกไป แต่ก็อดคิดถึงมันไม่ได้อยู่ดี
“ช่วยก็ได้” แคทเธอรีน โฟติเน่ ทายาทคนโตของหนึ่งในกลุ่มตระกูลใหญ่แห่งโลกอนาคตตัดสินใจหันหลังเดินกลับ เธอสลายลูกไฟเวททิ้งแล้วหาทางลัดเลาะตามพุ่มไม้เข้าไปใกล้ ๆ ขบวนเดินทาง แสงไฟที่ลุกไหม้นั้นสว่างพอให้เธอเห็นสัตว์ร้ายที่รายล้อมคนพวกนั้น ร่างบางย่องไปหยิบดาบจากศพที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อนจะพุ่งออกไป
ฉัวะ!
สัตว์ประหลาดต้นไม้ตัวหนึ่งถูกตัดผ่าครึ่งพร้อมกับการปรากฏตัวของหญิงสาวผมสีฟ้าอ่อน ทุกสายตาตวัดมาหาเธอทันที แคทเธอรีนไม่รอช้า ใช้เวทสายลมเพิ่มความเร็วในการหลบหลีกกระสุนใบไม้ที่พุ่งมาด้วยความเร็วสูง มือขวาสะบัดดาบปัดป้อง เธอวิ่งซิกแซ็กเข้าประชิดปีศาจต้นไม้แล้วตวัดดาบฟัน จากนั้นก็หายไปโผล่ที่อื่น ภายในเวลาไม่กี่นาที พวกสัตว์ร้ายก็นอนตายในสภาพเหมือนต้นไม้ถูกโค่นลงมา
“โชคดีนะ ที่พ่อส่งเราไปเรียนฟันดาบมาก่อน” เธอมองดาบในมือที่ไร้ความคมไปแล้ว จากนั้นก็ทิ้งลงพื้นก่อนจะหันไปหาขบวนเดินทาง
“เจ้า... เจ้าเป็นใคร!” ทุกคนหันดาบชี้มาทางเธออย่างพร้อมเพรียง แคทเธอรีนถึงกับของขึ้นเพราะอุตส่าห์ช่วยไว้ ยังหาเรื่องเนรคุณมองเป็นศัตรูอีก
“วางอาวุธ” เสียงหวานของสตรีสูงศักดิ์ที่ก้าวลงมาจากรถม้าทำให้ทุกคนหันไปมองด้วยความตกใจ หญิงสาวผมสีแดงหยักศกยาวสยาย นัยน์ตาสีม่วง เธอสวมชุดกระโปรงยาวและมีรังสีของหญิงสูงศักดิ์ทำให้แคทเธอรีนอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองพบกับผู้ดีมีตระกูลในยุคนี้เข้าแล้ว
“คุณหนู”
“ไม่ได้ยินหรือไงว่าข้าสั่งอะไร”
“ครับ” ทหารคุ้มกันรีบลดดาบและบรรยากาศคุกคามลงทันที ทางด้านเจ้าของทรงผมทวินเทลก็ทำอะไรไม่ถูกเมื่ออีกฝ่ายก้าวออกมาหลังจากกองไฟดับลงแล้ว เหลือเพียงแค่คบเพลิงและตะเกียงเวทมนตร์เท่านั้นที่ให้แสงสว่าง
“ขอบพระคุณสำหรับความช่วยเหลือค่ะ ถ้าไม่ได้ท่านช่วยไว้ เราทุกคนคงไม่รอด” หญิงสาวเดินมาใกล้ ๆ พลางยกชายกระโปรงแล้วย่อตัวทำความเคารพ
“เอ่อ... ข้าเป็นนักเดินทางแล้วบังเอิญผ่านมาเห็นเข้าน่ะค่ะ”
“ข้าชื่อ เฮเลนน่า คาลิโลป ข้ากำลังเดินทางไปที่ไฮเปอร์เรี่ยน ไม่ทราบว่าท่านนักเดินทางต้องการสิ่งใด ก่อนเดินทางต่อ ข้าจะได้ตอบแทน”
“ไฮเปอร์เรี่ยน?” แคทเธอรีนจำได้ว่าในยุคปัจจุบันที่นั่นคือประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และเธอก็กำลังเดินทางไปเมืองใหญ่อยู่พอดี การไปที่นั่นอาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่จะทำให้เธอรู้จักยุคไร้แสงตะวันมากขึ้นก็ได้
“หรือว่าท่านนักเดินทางจะไปที่ไฮเปอร์เรี่ยนเหรอคะ” เฮเลนน่าถามขึ้นเพราะได้ยินอีกฝ่ายพูดชื่อประเทศนี้ขึ้นมา “ถ้าไม่รังเกียจจะมาด้วยกันก็ได้นะคะ ถือว่าเป็นการตอบแทนสำหรับความช่วยเหลือ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอรบกวนด้วยนะคะ ฉัน เอ๊ย! ข้ากำลังหาทางไปที่นั่นอยู่พอดี” หญิงสาวยังคงเผลอหลุดใช้สรรพนามในโลกปัจจุบัน แม้เฮเลนน่าจะสงสัยนิดหน่อยเพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนแต่เธอก็ไม่คิดจะถาม “ข้าชื่อ แคทเธอรีน โฟติเน่ ขอรบกวนท่านเฮเลนน่าอีกครั้งนะคะ”
“เรียกเฮเลนน่าเฉย ๆ ก็พอค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
'มีเครื่องทุ่นแรงแล้วเรา' หญิงสาวแอบดีใจเงียบ ๆ ขณะเดินทางตามหลังผู้สูงศักดิ์ไปขึ้นรถม้า ในสมองก็กำลังจินตนาการถึงประเทศนั้นในยุคอดีตว่าจะมีหน้าตาอย่างไร เพราะในยุคปัจจุบัน เธอเห็นภาพถ่ายทางโทรทัศน์ ที่นั่นเป็นเมืองที่เจริญมาก
ในอดีต ไฮเปอร์เรี่ยนจะยิ่งใหญ่สมชื่อหรือเปล่านะ
