ตอนที่1: พสิษฐ์ วิฬาร์ภากร
“พี่ ‘พสิษฐ์’ วันนี้อย่าลืมมารับ ‘พลอย’ ที่กองถ่ายละครเวลา 6 โมงเย็นนะคะ พวกเราสองจะได้กลับบ้านไปหาคุณพ่อ คุณแม่และคุณปู่พร้อมกัน”
เสียงเจื้อยแจ้วและออดอ้อนดังออกมาจากโทรศัพท์มือถือราคาแพงของผม ‘พสิษฐ์ วิฬาร์ภากร’ ที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่กับน้องสาวสุดที่รักอยู่ที่บริเวณริมหน้าต่างห้องทำงานชั้นบนสุดของบริษัทส่งออกพืชผลทางการเกษตรรายใหญ่ของประเทศไทย 'บริษัทวิฬาร์ภากร'
และในระหว่างที่ผมกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่นั้น ผมได้ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อมองดูวิวทิวทัศน์ของตึกสูงระฟ้าและการจราจรที่แสนสับสนและวุ่นวายเบื้องล่าง
สำหรับผม 'พสิษฐ์ วิฬาร์ภากร’ เป็นชายหนุ่มอายุ 29 ปี หน้าตาหล่อเหลา โครงหน้าคมเข้มแบบไทยแท้ ดวงตากลมโตดูดุดัน นัยน์ตาสีดำและมีเส้นผมสีดำเงางาม คิ้วเข้ม จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง ผิวสีแทน หุ่นแซ่บกล้ามโต ส่วนสูง 185 เซนติเมตรและน้ำหนัก 75 กิโลกรัม
โดยปกติแล้วผู้คนภายนอกจะมองผมว่าเป็นคนนิ่ง ดุดัน และจริงจังกับงาน และด้วยบุคลิกที่ดูนิ่ง ดุดัน และจริงจังกับงานทำให้คนส่วนใหญ่เกรงกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้ จนทำให้ผมดูเป็นคนที่เข้าถึงได้ยากเป็นอย่างมาก
แต่ถึงอย่างนั้นเบื้องหลังของคนที่ดูนิ่ง ดุดัน และจริงจังกับงานอย่างผมกับพูดคุยและหัวเราะอย่างสนุกสนาน นอกจากนี้ยังติดนิสัยกวนประสาทและกวนเบื้องล่างเป็นอย่างมากเมื่อได้พูดคุยกับคนรู้จักที่สนิทสนมอย่างคนในครอบครัวหรือคนสนิท
“ได้สิไม่มีปัญหา ถ้างั้นวันนี้พี่จะออกจากบริษัทเร็วหน่อย ส่วนน้องก็เตรียมตัวรอได้เลย หลังจากที่พี่ไปรับน้องแล้ว พวกเราจะรีบเดินทางกลับบ้านทันที” ผมยกยิ้มที่มุมปากตอบ 'ยัยพลอย' น้องสาวของผมที่มักจะโทรมาพูดคุยกับผมอยู่เป็นประจำ
สำหรับน้องสาวของผมเธอมีชื่อว่า 'พลอยไพลิน วิฬาร์ภากร' หรือเรียกสั้นๆ ว่า 'พลอย' เธอเป็นสาวสวยระดับแนวหน้าของประเทศไทย อายุ 24 ปี หน้าตาน่ารักสดใส ดวงตากลมโตนัยน์ตาสีดำและเส้นผมสีดำยาวสลวยราวกับเส้นไหม คิ้วเรียวเล็กโก่งดั่งคันศร จมูกโด่งเชิดรับกับริมฝีปากอวบอิ่ม ผิวขาวสว่างมีออร่า ส่วนสูง 165 เซนติเมตร และน้ำหนัก 50 กิโลกรัม เธอมีนิสัยเร่งเริงสดใส อัธยาศัยดี และเข้ากับคนอื่นง่าย ดังนั้น เธอจึงมีคนรู้จักมากมาย
ปัจจุบันยัยพลอยประกอบอาชีพเป็นนักแสดง และตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นดาราที่โด่งดังสุดๆ คนหนึ่งในวงการเลยทีเดียว โดยหลังจากที่ยัยพลอยรับเล่นละครไทยย้อนยุค ย้อนกลับไปอยู่ในสมัยพระนครศรีอยุธยา
และหลังจากที่ละครเรื่องนี้ออกอากาศ มันสามารถเรียก เรทติ้งจากคนดูได้อย่างถล่มทลาย จนทำให้ช่วงเวลาที่ละครฉายถึงกับทำให้ถนนโล่งเพราะผู้คนต่างเฝ้ารออยู่หน้าจอเพื่อดูละครเรื่องนี้กันเลยทีเดียว และนั่นทำให้ยัยพลอยที่รับบทเป็นนางเอกของเรื่องดังเป็นพลุแตก
และเพราะเรทติ้งที่ถล่มทลายของละครเรื่องนี้ ทำให้ผู้จัดละครรีบเขียนบทละครและถ่ายทำละครภาค 2 ต่อทันที นอกจากนี้ยังสร้างภาพยนตร์อีก 1 เรื่องที่ดัดแปลงเนื้อหาบางส่วนมาจากละครเรื่องนี้ และนั่นทำให้ยัยพลอยช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลากลับบ้าน เพราะต้องรีบถ่ายทำละคร ถ่ายทำภาพยนตร์ และออกโปรโมทตามสื่อต่างๆ อยู่เสมอๆ
และการที่เธอโทรมาหาผมในครั้งนี้เป็นเพราะว่าละครภาคต่อที่เธอกำลังถ่ายทำอยู่นั้นได้ปิดกล้องลงแล้ว และเธอจะได้พักผ่อนเป็นเวลา 1 สัปดาห์ หลังจากผ่านการโหมงานถ่ายละครมาอย่างต่อเนื่องอย่างหนัก และใช้โอกาสนี้กลับมาพักผ่อนอยู่กับครอบครัว ก่อนที่จะกลับไปลุยงานถ่ายทำภาพยนตร์ต่อ
“แล้วพี่โทรบอกคุณแม่หรือยังคะ ว่าวันนี้พวกเราจะกลับไปนอนค้างที่บ้าน” ยัยพลอยถามต่อ
“พี่โทรบอกคุณแม่แล้วล่ะ และคุณแม่ฝากบอกมาด้วยว่าให้พวกเรารีบกลับบ้านเพราะคุณแม่จะเตรียมของกินของโปรดเอาไว้ให้พวกเราทั้งสองคนที่บ้านแล้ว” ผมยกยิ้มที่มุมปาก
“ค่ะพี่ อ่อ...แล้วพูดถึงเรื่องของกิน พี่พสิษฐ์ได้กินของกินที่น้องส่งไปให้หรือยังคะ” ยัยพลอยหัวเราะเบาๆ และถามผมอย่างสนใจ
“อืม เรียบร้อยแล้วล่ะ” ผมนึกขำสิ่งที่ยัยพลอยเรียกว่าของกินและส่งมาให้ผม เนื่องจากเดือนที่ผ่านมายัยพลอยมีโอกาสออกไปถ่ายทำละครที่ต่างจังหวัด และในช่วงเวลานั้นเองที่เธอได้ซื้อของกินแปลกๆ และส่งมาให้ผมได้กิน ไม่ว่าจะเป็นงูสิง จิ้งจก ตุ๊กแก เขียด หรือ แมลงแปลกๆ ที่ผมไม่รู้จัก
“แล้วเป็นยังไงบ้างคะ หลังจากที่ได้กินของที่น้องส่งไปให้” ยัยพลอยถามอย่างมีความหวัง
“เหมือนเดิม” ผมยิ้มและตอบคำถามของยัยพลอย ก่อนจะหันหน้าออกไปมองวิวนอกหน้าต่างอีกครั้ง
“ถ้างั้นพี่ก็อย่าไปคิดมากนะคะ เอาไว้น้องจะหาเวลาว่างหลังจากถ่ายภาพยนตร์เสร็จออกไปตามหาของกินแปลกๆ ส่งไปให้พี่กินอีกนะคะ” ยัยพลอยหัวเราะอย่างสดใส
“ได้เลย แต่ขออันที่มันกินได้จริงๆ นะไม่ใช่ส่งมาแกล้งพี่” ผมหัวเราะ
“ได้ค่ะพี่ ว่าแต่พี่คะ ถ้างั้นน้องขอวางสายก่อนนะคะ ถึงคิวถ่ายละครฉากสุดท้ายแล้ว ยังไงเย็นนี้อย่างลืมมารับน้องให้ตรงเวลานะคะ” ยัยพลอยย้ำผมอีกครั้ง
“โอเคครับ คุณน้องสาวคนสวย” ผมยกยิ้มที่มุมปากก่อนกดวางสาย
จากนั้นผมได้ยืนดูวิวตึกสูงระฟ้าอยู่นานเกือบ1นาที ก่อนจะเดินย้อนกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานอีกครั้ง เพราะดูจากกองเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะแล้ว ดูเหมือนว่าวันนี้ผมคงต้องรีบอ่านและตรวจเอกสารเหล่านี้ให้เสร็จก่อนที่จะกลับบ้านซะแล้ว อีกอย่างผมไม่อยากหอบงานเหล่านี้กลับไปทำที่บ้านให้คุณแม่คนสวยของผมบ่น
สำหรับผมในตอนนี้ ผมดำรงตำแหน่งเป็นประธานของ 'บริษัทวิฬาร์ภากร' บริษัทส่งออกพืชผลทางการเกษตรรายใหญ่ของประเทศไทย
โดยพืชผลทางการเกษตรเหล่านี้ ผมรับซื้อมาจากเหล่าเกษตรกรโดยตรงไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง และนั่นก็ทำไปเพื่อช่วยเหลือและเพิ่มรายได้ให้กับเหล่าเกษตรให้มีรายได้และกินดีอยู่ดีมากยิ่งขึ้น
เพราะการที่บริษัทของผมเข้าไปรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกรโดยตรงไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางที่กดราคาพืชผลทางการเกษตรให้ต่ำลง ทำให้เหล่าเกษตรกรเหล่านี้มีรายได้เพิ่มขึ้นและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
หลังจากที่บริษัทของผมเข้าไปรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรมาแล้ว ผลผลิตทางการเกษตรเหล่านี้จะถูกส่งออกไปขายยังต่างประเทศ ทั้งในทวีปเอเชียอย่างประเทศจีนและประเทศญี่ปุ่น ทวีปยุโรปอย่างประเทศอังกฤษและประเทศเยอรมัน ทวีปอเมริกาอย่างประเทศอเมริกา ประเทศบราซิลและประเทศแคนาดา
ส่วนเงินที่ได้มาส่วนใหญ่จะนำมาใช้ในการพัฒนาและวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร นอกจากนี้ยังใช้พัฒนาบริษัทวิฬาร์ภากรให้เจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น
ผ่านไป 2 ชั่วโมง หลังจากที่ผมนั่งทำงานและตรวจงานอย่างยาวนาน ในที่สุดก็มาถึงช่วงพักกลางวัน ผมเดินไปหยิบกล่องอาหารที่เตรียมเอาไว้ออกมา ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวที่ตั้งอยู่ภายในห้องทำงานแห่งนี้
และก่อนที่ผมจะแกะกล่องอาหารออกมากิน ผมได้หยิบเอากระดาษแผ่นเล็กที่วางอยู่ข้างๆ กล่องอาหารขึ้นมาอ่าน โดยกระดาษแผ่นเล็กแผ่นนี้เป็นกระดาษที่จดบันทึกรายละเอียดของวัตถุดิบและส่วนผสมต่างๆ ที่ใช้ในการทำอาหารกล่องนี้ขึ้นมา
และหลังจากที่ผมได้อ่านรายการวัตถุดิบและส่วนผสมต่างๆ ที่ใช้ในการทำอาหารกล่องนี้เรียบร้อยแล้ว ผมจึงเปิดกล่องและเริ่มกินอาหารกลางวันนี้ทันที
ส่วนเหตุผลที่ทำให้ผมต้องบันทึกรายละเอียดของวัตถุดิบและส่วนผสมต่างๆ ของอาหารที่ผมกินว่ามีอะไรบ้างนั้นมันมีเหตุผลของมันอยู่
“คุณดวงหทัยครับ รบกวนคุณเข้ามาหาผมในห้องทำงานหน่อยครับ” ผมกดโทรศัพท์เรียกเลขาส่วนตัวที่นั่งอยู่หน้าห้องทำงานของผมให้เข้ามาหาผมภายในห้องทันที หลังจากที่ผมกินข้าวเสร็จและกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานเรียบร้อยแล้ว
“รับทราบค่ะ คุณพสิษฐ์” น้ำเสียงสุขุมดังออกมาจากปลายสาย และผ่านไปได้ไม่นานประตูหน้าของผมก็ถูกเปิดเข้ามาโดยเลขาส่วนตัวของผม
“คุณพสิษฐ์ มีอะไรหรือเปล่าคะ” 'ดวงหทัย' หรือ 'ดวง' หญิงสาวแสนสวย ใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน สวมแว่นตากรอบเล็กเข้ากับใบหน้า คิ้วเรียวเล็กโก่งดั่งคันศร จมูกโด่งเชิดรับกับริมฝีปากบาง รูปร่างเซ็กซี่หน้าอกและสะโพกกลมโต สวมเสื้อเชิตสีขาว สวมกระโปรงสั้นเหนือเข่าสีดำ และสวมรองเท้าส้นสูงสีดำ ใช้ดวงตาอันโฉบเฉี่ยวของเธอจ้องมองมาที่ผมทันที หลังจากที่เธอเดินมาถึงโต๊ะทำงานของผมเรียบร้อยแล้ว
“วันนี้ผมรบกวนคุณดวงหทัย ช่วยแจ้งคณะกรรมการบริหารบริษัทของเราแต่ละฝ่ายหน่อยครับว่า ผมได้ตรวจงานและอ่านรายงานความก้าวหน้าของแต่ละฝ่ายเรียบร้อยแล้ว และให้แต่ละฝ่ายเตรียมตัวนำเสนอแผนการดำเนินงานและเตรียมนำเสนองบประมาณของครึ่งปีหลังของแต่ฝ่ายให้ผมทราบภายในการประชุมวันพุธหน้าได้เลยครับ
แล้วในวันพรุ่งนี้กับวันมะรืน ผมจะไม่เข้าบริษัท ถ้าหากมีเรื่องเร่งด่วนให้คุณดวงหทัยโทรติดต่อผมได้ที่เบอร์ส่วนตัวของผมได้โดยตรงเลยนะครับ ส่วนงานที่ไม่เร่งด่วน รบกวนคุณดวงหทัยนำมาวางไว้ที่โต๊ะทำงานของผมได้เลย ถ้าหากผมกลับมาที่บริษัทแล้ว ผมจะรีบตรวจและเซ็นเอกสารให้เร็วที่สุดครับ” ผมเงยหน้าจากกองเอกสารขึ้นมามองเลขาสาวสวยของผม ก่อนจะสั่งงานเธออย่างรวดเร็ว และด้วยความเป็นมืออาชีพของคุณดวงหทัย เลขาส่วนตัวของผม ทำให้เธอรีบจดบันทึกสิ่งที่ผมพูดออกมาได้อย่างรวดเร็ว
“รับทราบค่ะ คุณพสิษฐ์” คุณดวงหทัย เลขาสาวสวยของผมยิ้มออกมาเต็มใบหน้า หลังจากที่เธอได้จดบันทึกสิ่งที่ผมพูดเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“เอ่อ ผมมีเรื่องจะรบกวนคุณดวงหทัยอีกเรื่อง” ผมพูดต่อทันที หลังจากที่เห็นว่าคุณดวงหทัยได้จดสิ่งที่ผมพูดไปก่อนหน้านี้เสร็จแล้ว
“เรื่องอาหารของคุณพสิษฐ์หรือเปล่าคะ ถ้าเป็นเรื่องนั้นเดี๋ยวอาทิตย์นี้ดวงจะโทรไปยกเลิกเมนูอาหารของวันพรุ่งนี้และวันมะรืนกับทางร้านให้เองค่ะ ส่วนอาหารของอาทิตย์หน้า ดวงจะวางแผนและสั่งซื้อโดยให้ทางร้านอาหารแจกแจงรายละเอียดของวัตถุดิบและส่วนผสมต่างๆ มาโดยละเอียดให้เหมือนเดิมนะคะ” คุณดวงหทัยยิ้มออกมาทันที เนื่องจากเรื่องอาหารการกินต่างๆ ของผม ถูกเลขาสาวสวยคนนี้จัดการให้เช่นเดียวกัน
และถึงแม้ว่าคุณดวงหทัยจะไม่เข้าใจและสงสัยว่าทำไมทุกครั้งที่ผมสั่งซื้ออาหารเข้ามากิน ผมจะต้องให้ทางร้านค้าแจกแจงรายละเอียดของวัตถุดิบและส่วนผสมเหล่านี้โดยละเอียดให้ผมรู้ก็ตาม แต่เธอก็ไม่ได้ซักถามเเละยังคงทำหน้าที่ของเธอได้เป็นอย่างดี
“ขอบคุณครับ เอ่อ...เรื่องสุดท้ายในสุดท้ายของสุดท้ายในวันนี้ ผมรบกวนคุณดวงหทัยออกไปซื้อกาแฟที่ร้านพี่ขวัญเรือนมาให้ผมหน่อย พอดีผมรู้สึกว่าอ่านงานเอกสารเยอะๆ แล้วมันง่วงน่ะครับ ผมกลัวว่าช่วงบ่ายผมจะไม่สามารถอ่านเอกสารเหล่านี้ไหว” ผมยกยิ้มที่มุมปากส่งไปให้คุณดวงหทัย จนทำให้เธอถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ
“อ่าว ยอดมนุษย์อย่างคุณพสิษฐ์มีคำว่าไม่ไหวด้วยเหรอคะ ดวงเห็นว่าคุณพสิษฐ์ทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่ยอมหลับยอมนอน ยังไม่เห็นเจ็บเห็นป่วยอะไรเลย” คุณดวงหทัยหัวเราะ
“คุณดวงหทัยพูดอย่างกับว่าผมเป็นซูเปอร์แมน ผมเองก็ยังเป็นคนอยู่นะครับ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ใช่คนธรรมดาแต่เป็นคนหล่อแบบสุดๆ มันก็ต้องมีง่วงนอนกันบ้างแหละครับ” ผมยักคิ้วกวนประสาทส่งไปให้คุณดวงหทัย
“คร่าาา ได้เลยค่ะ คุณพสิษฐ์รูปหล่อ!!! แล้ววันนี้คุณพสิษฐ์ ผู้หล่อเหลาอยากดื่มกาแฟแบบไหนคะ ดวงจะได้ให้พี่ขวัญเรือนเตรียมเอาไว้ให้ แล้วก็จดรายละเอียดวัตถุดิบและส่วนผสมเตรียมไว้ให้เลย” คุณดวงหทัยมองมาที่ผมอย่างเหนื่อยใจเพราะความกวนประสาทของผม
"คิดสิ คิดสิ คาปูชิโ..."
"หยุดเลยค่ะ หลุดร้องเพลงนี้ แล้วช่วยเอาเพลงนี้ออกไปจากหัวของดวงด้วยค่ะ" ดวงหทัยห้ามผมร้องเพลงที่กำลังดังในแอปต๊อกแต๊กทันที และนั่นทำให้ผมหัวเราะออกมาอีกครั้ง
“ถ้างั้นเอาแบบเดิมก็ได้ครับ พี่ขวัญเรือนจะได้ไม่ต้องลำบากจดรายละเอียดวัตถุดิบและส่วนผสมให้ผม” ผมตอบคุณดวงหทัย
และเนื่องจากว่าอาหารที่ผมกินทุกอย่างจะต้องได้รับการจดบันทึกรายการวัตถุดิบและส่วนผสมอย่างละเอียด ดังนั้น เครื่องดื่มอย่างกาแฟที่ผมดื่มก็ต้องได้รับการจดบันทึกรายการวัตถุดิบและส่วนผสมอย่างละเอียดเช่นเดียวกัน
และถ้าหากว่าผมต้องไปขอจดบันทึกรายการวัตถุดิบและส่วนผสมอย่างละเอียดของอาหารที่ผมได้กินอย่างนี้ทุกๆ ร้านที่ผมไป มันจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากเกินไป และเจ้าของร้านเหล่านั้นมักมองมาที่ผมว่าเป็นคนแปลกประหลาดและเรื่องมาก
ดังนั้น ผมจึงตัดปัญหาด้วยการสั่งอาหารและเครื่องดื่มกับร้านประจำที่สนิทสนมกับทางครอบครัวของผมมากกว่า และร้านกาแฟของพี่ขวัญเรือนเองก็เป็นหนึ่งในร้านประจำของครอบครัวของผม
“ได้เลยค่ะ ถ้างั้นคุณพสิษฐ์ ผู้หล่อเหลารอดวงสัก 30 นาทีนะคะ” คุณดวงหทัยพูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานของผมไปอย่างรวดเร็วและรีบออกไปซื้อกาแฟมาให้ผมทันที เพื่อที่เธอจะได้กลับมานั่งทำงานในส่วนของเธอต่อให้เสร็จ
และหลังจากที่คุณดวงหทัยได้เดินออกจากห้องทำงานแล้ว ผมได้หันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้งเพื่อจ้องมองท้องฟ้า และคิดถึงเรื่องราวบางอย่างอยู่เงียบๆ
โดยเรื่องราวที่ผมกำลังคิดอยู่นี้มันเป็นเรื่องที่สำคัญต่อตัวผมและครอบครัวของผมเป็นอย่างมาก และหลังจากที่ผมคิดอยู่นานกว่า 3 นาที ผมก็ตั้งสติให้กลับมาจดจ่ออยู่กับงานและเริ่มต้นทำงานของผมอีกครั้ง
