บท
ตั้งค่า

พี่สาวครับ 3

CRUSH ON YOU II STORY 3

วันต่อมา

ฉันตื่นแต่เช้าเพราะต้องมาให้อาหารจัมโบ้ที่บ้านข้างๆ และดูเหมือนว่าคุณป้าสมรกับคุณลุงรัตน์จะไม่อยู่กันอย่างที่ไทบอกจริงๆ ถุงกอล์ฟที่มักจะเห็นวางอยู่ตรงประตูทางเข้าบ้านเป็นประจำหายไป เดาว่าพวกท่านคงจะพากันไปเที่ยวสองคนเหมือนอย่างเคย

ระหว่างที่ฉันกำลังเก็บกวาดหน้าบ้านพวกท่านที่ตอนนี้มีใบไม้จากต้นมะม่วงร่วงกราวอยู่เต็มพื้นคอนกรีต ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูบ้าน หันไปมองก็พบว่าตอนนี้ไทตื่นแล้ว สภาพหัวยุ่งนิดๆ เรือนผมสีดำชี้โด่ชี้เด่ไม่เป็นทรง นัยน์ตาหรี่มองมาเหมือนแสบตากับแสงสว่างจ้าในตอนเช้า

ร่างสูงเดินออกมาหาพร้อมทั้งขมวดคิ้วมองเมื่อเห็นว่าฉันกำลังกวาดใบไม้ด้วยไม้กวาดทางมะพร้าวแบบมีด้าม ฉันทำเป็นไม่สนใจเรือนร่างโตเต็มวัยของน้องที่ตอนนี้ยิ่งเห็นก็ยิ่งคิดดีไม่ได้ โอเค… ฉันเวอร์จิ้นก็จริง แต่ก็ไม่ถึงขั้นอาโนเนะไม่รู้เรื่องใต้สะดืออะไรขนาดนั้นหรอก ยังไงก็อายุตั้งยี่สิบหกเข้าไปแล้ว

“นาไม่ไปแต่งตัวอะ? จะไปแล้วเนี่ย”

“ก็แต่งแล้วนี่ไง… ไทนั่นแหละทำไมไม่อาบน้ำอีก?”

ฉันหยุดกวาดพื้นแล้วหันกลับไปมองสภาพเจ้าตัวในกางเกงนอนขายาวตัวเดียว สภาพคนเพิ่งตื่นชัดๆ แล้วยังมีหน้ามาบอกให้คนอื่นรีบไปแต่งตัวอีก

“จะไปชุดนี้?” คนตัวสูงกว่าชำเลืองมองมา จนฉันถึงขั้นต้องก้มลงมองสภาพตัวเองอีกครั้ง

“ก็ปกติ” ฉันขมวดคิ้วใส่เด็กบ้าที่มองว่าการใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นเป็นเรื่องผิดปกติไปเสียแล้ว

“ก็นึกว่าต้องแต่งตัว…”

“จะไปไม่ไปอะ?” ฉันตัดบทขึ้นรู้สึกฉุนขึ้นมานิดๆ ฉันรู้หรอกว่าไทหมายถึงอะไร

โอเค… เขาคงคิดว่าเป็นผู้หญิงก็คงต้องแต่งตัวให้สวยๆ เวลาไปข้างนอก แต่ฉันเป็นคนที่ค่อนข้างจะเรียบร้อยมาก ไอ้พวกชุดประเภทที่เขาเรียกกันว่า ‘แซ่บ’ ไม่มีหรอก ก็ดูเอาสิ… ชุดนอนฉันยังเหมือนเด็กๆ อยู่เลย แต่ถึงจะทักมาแบบนั้นแต่ไทก็ไม่ได้พูดอะไรต่อทำเพียงแค่เดินกลับเข้าบ้านไป

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

และใช่แหละ… จริงๆ ฉันควรจะแต่งตัว หรือแต่งหน้าทำผมสักหน่อย…

ก็ใครมันจะไปคิดว่าการออกมาข้างนอกกับไทแล้วจะตกเป็นเป้าสายตาขนาดนี้ แค่ไทเดินผ่านไปตรงไหนก็มีแต่สาวๆ หันมามอง ถึงแม้เจ้าตัวจะใส่เพียงแค่เสื้อยืดกางเกงยีนขนาดพอดีตัวแต่ก็หล่อจัดออร่าพุ่งสุดๆ ในขณะที่ตอนนี้ฉันกลายเป็นเด็กกะโปโลคนหนึ่งที่เหมือนมาช่วยถือของมากกว่า

“นาว่าสีไหนดี?”

“เจ๊ชอบสีน้ำตาล”

“อืม…”

ฉันยืนกอดอกมองคนตัวสูงเลื่อนสายตามองตัวอย่างลายวอลเปเปอร์ตรงหน้าอย่างใช้ความคิด มันมีทั้งลายหินอ่อน กระทั่งลายกราฟฟิกก็ยังมี แต่แค่คิดว่าเราโตๆ กันแล้วน่าจะไม่มีใครเอาลายซูเปอร์ฮีโรไปติดเป็นวอลเปเปอร์หรอกมั้ง

“อันนี้เหรอ?” ไทหันมาถามความเห็นกันอีกครั้งพร้อมชี้นิ้วไปยังลายหินอ่อนสีน้ำตาลที่ว่า

“อือ สบายตาดีต่อสุขภาพ” ฉันพยักหน้ารับ “ห้องนอนก็ต้องดูโปร่งๆ โล่งๆ เข้าไว้สิ จะได้พักผ่อน”

“หืม…” ดวงหน้าหล่อชำเลืองมองมาแล้วยกยิ้ม “อายุเยอะขึ้นแล้วเป็นงี้กันทุกคนเหรอวะ…”

“เดี๋ยวเถอะ…”

“งั้นเอาอันนี้แหละ”

ไทไม่ได้สนใจกันแล้วแต่หันไปก้มๆ เงยๆ เลือกหาต่อ ฉันหมุนตัวดูรอบๆ ก็พบว่าใกล้กันมีเครื่องนวดวางขายอยู่ด้วย และเพราะว่าช่วงนี้มันเมื่อยขบเหลือเกินเนื่องจากเข้าสู่วัยทำงานเต็มตัวบางครั้งก็จะมีอาการออฟฟิศซินโดรมเข้าเล่นงานอยู่บ้างเลยสนใจเป็นพิเศษ

เชื่อไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าฉันถึงขั้นเดินไปอ่านดูที่ฉลากสินค้าว่าไอ้เครื่องนี่มันทำอะไรได้บ้าง และแค่อ่านสรรพคุณดูก็รู้สึกปวดช่วงระหว่างคอกับไหล่ขึ้นมาดื้อๆ ทั้งที่นาทีก่อนยังไม่รู้สึกอะไรแท้ๆ

“ไม่ต้องซื้อหรอก ไทนวดให้ได้นะ”

“…”

กล่องในมือฉันถูกดึงไปวางลงที่เดิมพร้อมกับร่างสูงที่หอบเอาวอลเปเปอร์ที่ตั้งใจจะมาหาซื้อม้วนอยู่ในข้อแขนเรียกได้ว่าเกือบจะเหมามาทั้งแผง เรียวคิ้วเข้มยักขึ้นข้างนึงอย่างกวนๆ เมื่อเห็นว่าฉันกำลังสนอกสนใจเครื่องนวดเพื่อสุขภาพนั่นไม่น้อย และเพราะถูกสายตาล้อเลียนมองมาทำให้ฉันต้องเบนสายตาหนีด้วยความอายอย่างเสียไม่ได้

“นาหิวข้าวมั้ย? กินข้าวกันไทเลี้ยงเอง”

“เจ๊จะให้น้องเลี้ยงได้ยังไง?”

ฉันเงยหน้ามองไทที่เดินนำหน้ากันอยู่ คนตัวโตเอี้ยวใบหน้ามามองกันเล็กน้อยแล้วผุดยิ้ม ทั้งชะลอฝีเท้ารอเดินไปพร้อมกัน

“น้องแล้วยังไง? ไทมีเงินน่า”

“ไม่ต้องหรอก เจ๊เลี้ยงเอง”

“ไม่ได้… อย่างน้อยก็ถือว่าเลี้ยงขอบคุณที่วันนี้นามาช่วยไง”

“…เอางั้นก็ได้”

สุดท้ายแล้วฉันก็จำใจต้องยอมรับข้อเสนอ ว่ากันตามจริงต่อให้ฉันจะทำงานแล้วแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีเงินใช้จ่ายเท่าคนข้างๆ อยู่ดี และถึงแม้เราจะอยู่บ้านติดกัน แต่บ้านไทก็เรียกได้ว่ารวยกว่ากันมาก เพราะธุรกิจส่งออกของที่บ้านในช่วงหลังกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด เห็นว่าคุณป้าสมรกำลังดีลซื้อบ้านเดี่ยวหลังละห้าสิบล้านเมื่อเร็วๆ นี้ด้วยซ้ำ

ไทเองก็ได้อภิสิทธิ์เรื่องเงินไปเต็มๆ เพราะเป็นลูกชายแค่คนเดียว ไม่ต้องดูจากอะไรหรอก ในขณะที่บ้านฉันยังใช้รถญี่ปุ่นธรรมดา แต่ไทที่เป็นแค่นิสิตปีสี่ตอนนี้มีรถราคาสี่ห้าล้านเอาไว้ขับไปไหนต่อไหน เรื่องข้าวของเครื่องใช้เองก็เหมือนกัน ในขณะที่ตอนนี้ฉันยังใส่เสื้อผ้าธรรมดาราคาหลักร้อยหลักพัน แต่เสื้อยืดตัวเดียวของเจ้าตัวก็ปาไปครึ่งแสน

อืม… ก็เรียกได้ว่าขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกถ้าจะเลี้ยงข้าวกันสักมื้อ เพราะงั้นฉันไม่ต้องคิดอะไรให้มากความจะดีกว่า

เราเดินเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นเจ้าหนึ่ง โชคดีที่วันหยุดของฉันเป็นวันธรรมดาที่คนอื่นเขาทำงานกัน เลยไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ เราเลือกนั่งกันด้านในสุดเพราะฉันไม่อยากให้คนอื่นมองมาเท่าไหร่

“นากินอะไร?” คนตัวโตเปิดเมนูพร้อมทั้งเอ่ยถาม

“เอาข้าวหน้าปลาซาบะย่างเกลือค่ะ” ฉันหันไปบอกพนักงานพร้อมทั้งตอบไทไปในตัว เจ้าตัวยกยิ้มนิดๆ โดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง

“เอาเหมือนกันครับ” ว่าแล้วก็ปิดเมนูลงยื่นกลับไปส่งให้พนักงานที่ตอนนี้ดูเหมือนตาจะลอยๆ เพราะเจอดาเมจคนหล่อยิ้มให้

หลังจากนั้นเราก็ได้แต่นั่งเงียบกันอยู่หลายอึดใจ ฉันพยายามจะไม่สนใจสายตาที่กำลังมองมาเงียบๆ กับรอยยิ้มที่ยังคงคลี่อยู่อย่างนั้น แต่เพราะไทเอาแต่มองกันอยู่ได้เลยจำต้องเงยหน้าขึ้นสบตา

“มีอะไร?”

“เปล่า… แค่รู้สึกว่านายังหน้าเหมือนเดิมเลย โกงอายุฉิบ”

“ไทต่างหากที่โตเกินอายุ”

“หืม? โตเกินยังไง? ยี่สิบสองนี่ไม่เด็กแล้วนะนา”

“…”

“โตเต็มที่แล้วด้วย”

“…”

คนตรงหน้ายิ้มกว้างจนเห็นไรฟันเรียงตัวสวยราวกับกำลังสื่อถึงอะไรบางอย่าง และเป็นฉันเองที่ต้องหลบสายตาไทอีกรอบ ไอ้เด็กบ้า… ไม่ต้องบอกก็รู้หรอกโตไปทั้งตัวขนาดนี้…

“นา”

“อือ”

“ไนน์มันเป็นไงบ้าง?”

“…”

กระแสเสียงของไทเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถึงแม้ปากจะยังยิ้มแต่ฉันก็สัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดบางอย่าง และก็อย่างที่รู้กันว่าทั้งสองคนคงจะมีปัญหาอะไรบางอย่างที่ไม่อยากบอกให้ที่บ้านรู้ ฉันเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จะถามยังไม่กล้าเลย

“ก็สบายดี… พักหลังไม่ค่อยกลับบ้านหรอก ติดเที่ยว”

“อืม… แล้วปล่อยพี่สาวอยู่บ้านคนเดียว?”

“เจ๊โตแล้วดูแลตัวเองได้”

“โตแล้วยังไง? ผู้หญิงตัวเล็กๆ อยู่บ้านคนเดียวยังไงก็อันตรายอยู่ดี”

“ก็อยู่มาหลายปีแล้ว”

“ก็ถ้ามีอะไร… เรียกไทได้ตลอด ยังไงก็กลับมาอยู่บ้านแล้ว”

“อือ”

บทสนทนาของเราจบลงแค่นั้น ฉันไม่ต้องทนมองสายตาแปลกๆ ของไทอีก เพราะพนักงานยกอาหารมาเสิร์ฟ เราสองคนนั่งกินกันไปคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ส่วนใหญ่เป็นเขามากกว่าที่ถามนั่นถามนี่ไม่หยุด ระยะเวลาสามสี่ปีที่ไม่ได้เจอกันก็ดูเหมือนจะค่อยๆ ต่อกันติดทีละน้อย

อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็เริ่มจะพูดคุยโต้ตอบได้แบบที่ไม่ต้องกระอักกระอ่วนเหมือนวันแรก แต่ก็ยังไม่ชินกับรูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนไปของไทอยู่ดี

หลายชั่วโมงต่อมา

ตอนนี้ฉันรับบทเป็นนางติดวอลเปเปอร์ นั่งอยู่บนบันไดทรงเอคอยรับแผ่นวอลเปเปอร์มาจากไทที่กรีดตัวแผ่นเพื่อให้รับกับช่วงมุมผนังห้องมาส่งให้ แม้ว่าฉันจะนั่งอยู่ข้างบนแต่แค่ไทยืนเต็มความสูงก็หัวก็อยู่ระดับเอวฉันแล้ว นัยน์ตาคมกริบจ้องมองมาเงียบๆ ทุกครั้งที่ฉันตั้งอกตั้งใจติดแผ่นต่อไปให้เท่ากันกับแผ่นก่อนหน้า

“ตรงนี้จะเสร็จแล้ว ไทไปตัดแผ่นใหม่เลย” ฉันบอกพร้อมทั้งผุดตัวลุกขึ้นยืนเพราะเหลือแค่แปะมุมบนเสร็จก็จะเสร็จไปมุมหนึ่ง

ไทไม่ได้ตอบอะไร และฉันเองก็ไม่ได้หันไปมอง คงเป็นเพราะยืนบนบันไดแบบไม่มั่นคงพอทั้งยังไม่ได้ใส่รองเท้า สุดท้ายก็เหมือนเท้าฉันจะหลุดจากตีนบันไดข้างหนึ่ง

“ว้าย!”

“นา!”

ตัวฉันเอียงไปด้านข้างเพราะไม่สามารถทรงตัวด้วยเท้าข้างเดียวได้ เท้าที่หลุดจากตีนบันไดทำให้หน้าแข้งกระแทกเข้ากับอลูมิเนียมอย่างแรง และก่อนที่ร่างกายจะร่วงลงบนพื้นอ้อมแขนของคนที่ยืนอยู่ข้างล่างก็รีบคว้าเอวไว้ได้อย่างทันท่วงที

ไทเซไปนิดหน่อยในขณะที่ฉันลืมตัวกอดบ่ากว้างเอาไว้ บันไดสั่นไหวเพียงแค่เล็กน้อยก่อนจะนิ่งสนิทเหมือนเดิม แต่เป็นเราสองคนที่ชะงักค้างแทน เท้าฉันถูกวางลงบนพื้นช้าๆ ทั้งที่เรายังกอดกันอยู่ในสภาพหมิ่นเหม่ ใบหน้าห่างกันแค่ฝ่ามือเดียว

ลมหายใจเจือกลิ่นบุหรี่กำลังเป่ารดที่ข้างแก้ม นัยน์ตาสีอ่อนจ้องตากันเงียบๆ ฝ่ามือหนาอยู่ต่ำลงไปจากทรวงอกแค่นิดเดียวเท่านั้น ไทกลืนน้ำลายเล็กน้อยแล้วรีบปล่อยร่างฉันให้เป็นอิสระ

เราสองคนหันหน้ากันไปคนละทิศละทางเพราะความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นมาแบบกะทันหัน ข้างแก้มฉันร้อนผ่าวขึ้นมาจนต้องหันหลังหนีหลบซ่อนดวงหน้าที่ตอนนี้คงจะแดงปลั่ง

“เดี๋ยวไทขึ้นไปติดเองก็ได้ นาก็ติดอันที่ติดถึงก็แล้วกัน” หลังจากกระอักกระอ่วนกันอยู่นาน ไทก็เริ่มเดินไปหยิบชิ้นใหม่มาส่งให้เพื่อทำลายสถานการณ์ตึงเครียด

“อือ เดี๋ยวเจ๊ติดตรงนั้นแล้วกัน”

“โอเค”

ฉันเองก็ไม่อยากจะทำให้บรรยากาศมันอึดอัดเลยทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น อุณหภูมิห้องเย็นฉ่ำแต่กลับมีเหงื่อเปียกชื้นผุดซึมตามกรอบหน้า เรื่องเมื่อครู่ยิ่งตอกย้ำว่าระหว่างเราไม่ใช่พี่ชายน้องสาวกันอีกแล้ว มันมีเส้นบางๆ คาบเกี่ยวกันอยู่ในแง่ของชายหญิง

และฉันก็อดที่จะกลัวใจไทขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ… แต่ไทเป็นหนุ่มแล้ว และโตเต็มที่แบบที่เจ้าตัวคุยโว นึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่าผ่านผู้หญิงมากี่คน… ในขณะที่ตัวฉันเองยังเป็นเด็กที่ก็คงโตแค่อายุอย่างที่น้องมันบอก

ที่สำคัญ… ไทเป็นผู้ชาย…

แต่เหตุการณ์ก็ดำเนินต่อไปไม่ได้มีการสัมผัสใกล้ชิดกันเกิดขึ้นอีก เว้นแค่สายตาเราทั้งคู่ที่เอาแต่สลับกันแอบมองอีกฝ่าย และก็มีหลายจังหวะที่ได้สบตากันจังๆ มันก็คงจะดีถ้าเกิดว่าเราไม่พากันหลบสายตาแล้วหันหน้าหนีไปคนละทิศละทาง

RRRR

เสียงเรียกเข้าจากวิดีโอคอลดังขึ้น ฉันยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมามองก็พบว่าเป็นบาสที่โทรเข้ามาเหมือนทุกวันที่ไม่ได้เจอกัน ไทไม่ได้หันมามองเจ้าตัวกำลังนั่งยองๆ กรีดวอลเปเปอร์แผ่นสุดท้ายอยู่ตรงกลางห้อง และเพราะไม่ได้คิดอะไรทำให้ฉันตัดสินใจกดรับสายแฟนตัวเอง

“อือ… ว่าไงบาส”

‘เจ๊ทำอะไรครับ? กินข้าวรึยัง?’

ใบหน้าหล่อยิ้มหวานส่งมาให้ผ่านหน้าจอ ในขณะที่ฉันพยายามไปยืนหลบมุมหันหลังให้ประตูห้องนอนเพื่อที่คนในสายจะได้มองไม่เห็นสภาพห้องนอนที่ไม่ใช่ของฉันอย่างที่เคย

“อีกสักพัก… บาสอยู่ไหน?” ฉันเลิกคิ้วถามบ้างเมื่อเห็นว่าด้านหลังของเจ้าตัวดูเหมือนจะเป็นเลาจน์โรงแรม

‘ผมมารับเพื่อนจะไปเที่ยวกัน’

“เที่ยวทุกวันเลย… พรุ่งนี้ไม่มีเรียนเหรอ?”

‘ตื่นไปเรียนได้ไม่ต้องห่วง นี่ใคร?’ คนหล่อยิ้มกว้างจนฉันหลุดยิ้มตามไปด้วยกับนิสัยที่ก็เป็นอย่างที่เจ้าตัวว่าจริงๆ ถึงบาสจะเที่ยวแทบทุกคืน แต่การเรียนก็ออกมาดีอย่างไม่น่าเชื่อ

“มีอะไรรึเปล่า…” ฉันเอ่ยถามเข้าประเด็น เพราะเห็นไทชำเลืองมองมาเงียบๆ

‘ไม่มีอะไรหรอก… คิดถึง…’

“…”

‘อยากกอด’

คนในสายกระซิบบอกพร้อมทั้งยิ้มกว้าง แต่เพราะฝั่งฉันมันเงียบมากทำให้อีกคนได้ยินคำที่บาสพูดไปด้วย ไทชะงักไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้หันกลับมามอง แต่ฉันเองที่ลุกลี้ลุกลนจนพูดตะกุกตะกักออกไป

“จะ… เจ๊ก็คิดถึง แต่ไว้ค่อยคุยนะ จะไปอาบน้ำ”

‘อืม… งั้นฝันดีล่วงหน้านะครับเจ๊นา รักเจ๊นะ’

“อือ รักเหมือนกัน”

ปลายสายตัดไปแล้ว แต่ฉันยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาเสียอย่างนั้นที่มีคนอื่นได้ยินบทสนทนาแบบที่คู่รักเขาคุยกัน ไทผุดตัวลุกขึ้นยืนพร้อมวอลเปเปอร์ชิ้นสุดท้ายที่ตัดเสร็จแล้วหันมาพยักหน้าเรียก

“นาติดตรงนี้ให้หน่อย มือนาเล็กกว่าน่าจะติดง่าย”

“อือๆ”

ฉันโยนโทรศัพท์ทิ้งไว้บนเตียงเดินเข้าไปหาร่างสูงที่อยู่ตรงมุมสุดของห้อง เพราะชั้นวางของติดผนังมีช่องด้านหลังที่มีระยะห่างจากกำแพงแค่เล็กน้อยทำให้ฉันต้องไปช่วยติด ยังไงข้อแขนฉันก็น่าจะสอดเข้าไปได้ ในขณะที่แขนแบบผู้ชายซึ่งมีเส้นเลือดปูดโปนเต็มไปหมดแบบไทไม่น่าจะเหมาะเท่าไหร่

แต่เพราะต้องยื่นแขนเข้าไปด้านในทำให้ฉันต้องตะแคงตัวเข้าไปใช้ความรู้สึกสัมผัสเอา โดยที่หันหน้าออกมาลำตัวด้านหน้าแนบสนิทชิดกับผนัง

“ไทมองให้”

ร่างสูงของไทเดินมาเบียดยืนอยู่ข้างกัน ชะโงกข้ามหัวไปมองด้านหลังของชั้นวางของพร้อมทั้งกำกับว่าฉันจะต้องขยับมือขึ้นหรือลง

และตอนนี้… กลิ่นน้ำหอมของคนตรงหน้าทำให้ฉันถึงกับต้องกลั้นหายใจ แผงอกของไทเบียดมาที่ใบหน้าฉันจนสัมผัสได้ถึงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ แต่ดูเหมือนคนตัวโตจะไม่ได้สนใจทำเพียงแค่อยากให้ไอ้วอลเปเปอร์เฮงซวยนี่ติดให้ตรง แต่ฉันกลับรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาทั้งอย่างนั้น

รู้สึกว่ามันใกล้เกินไป…

“ได้แล้วนา”

“อือ”

เราสองคนสบตากันในจังหวะที่ไทขยับตัวออกเล็กน้อย สายตานิ่งสนิทก้มมามองกันโดยปราศจากคำพูด ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ ลูกกระเดือกคนตรงหน้าขยับเล็กน้อยเหมือนกำลังกลืนน้ำลาย มือฉันเลื่อนออกมาจากหลังชั้นวางของช้าๆ หลุบตาลงต่ำ ในขณะเดียวกันไทก็ถอยห่างออกไปเม้มริมฝีปากเบนสายตามองไปทางอื่น

ระยะห่างระหว่างเราแคบลงไปอีกขั้น… แต่แคบลงแบบนี้ไม่รู้เหมือนกันว่ามันดีหรือมันไม่ดี…

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel