CHAOTIC LOVE : 07
[Part Peerakan]
11:20 น.
เสียงออดหน้าบ้านดังต่อเนื่อง สร้างความแปลกใจให้กับผมมาก เพราะปกติจะไม่มีใครมาหาผม ส่วนคนที่รู้จักบ้านผมก็มีแค่คุณอาฉัตรและไอ้พวกนั้น ซึ่งถ้าเป็นคุณอาก็จะโทรบอกก่อนเข้ามาเสมอ ส่วนไอ้พวกแม่งก็ตัดไปได้เลย เนื่องจากผมสั่งห้ามไม่ให้ใครมาเหยียบที่นี่เด็ดขาด
“มีของมาส่งครับ” เสียงตะโกนดังเข้ามาทั้งที่ผมยังเดินไม่ถึงประตูรั้วหน้าบ้าน ฝีเท้าจึงเร่งความเร็วขึ้นเล็กน้อย
“ไม่ได้สั่ง” ผมบอกพลางเหลือบมองถุงที่อยู่ในมือแกร็บผ่านช่องว่างของรั้วบ้าน
“คุณพีรกานต์ รึเปล่าครับ” คนส่งของเอ่ยถาม
“ครับ”
“ถ้างั้นก็ใช่แล้วละครับ ชำระเงินเรียบร้อยแล้วครับ ช่วยรับของด้วยครับ”
ผมลังเลเล็กน้อยก่อนจะเปิดประตูเล็กเพื่อรับของที่ถูกส่งมาจากไหนก็ไม่รู้ด้วยความจำใจ เพราะกลัวว่าจะเสียเวลาคนขับแกร็บ
จากนั้นก็เดินถือถุงอะไรสักอย่างเข้าบ้านแบบงงๆ ‘ไท่เหยียนติ่มซำ’
อาหาร...?
ผมหยิบกล่องอาหารที่ถูกแพ็กซ้อนกันมาอย่างดีประมาณสี่ชั้นออกมาจากถุง ตั้งไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเปิดออกดูทีละกล่อง
มันก็น่ากินอยู่หรอก แต่ใครจะกล้ากิน เกิดมียาพิษนี่ตายได้ง่ายๆ เลยนะ แต่จะว่าไปคนที่รู้รายละเอียดผมเยอะขนาดนี้ก็มีไม่กี่คนนะ
ติ๊ง…ติ๊ง
ผมละทิ้งความสงสัยไว้ตรงนั้น ก่อนจะเดินไปหยิบมือถือขึ้นมาดูการแจ้งเตือนจากข้อความที่โชว์ขึ้นหน้าจอ
[ติ่มซำจากร้านป๊าม้าเพลินเอง กินได้ค่ะ ปราศจากยาเสน่ห์แน่นอน]
[ทานให้อร่อยนะคะ ถือว่าแทนคำขอบคุณค่ะ]
เหอะ!!
ผมแค่นหัวเราะในลำคอก่อนเดินกลับไปยืนมองอาหารบนโต๊ะ เป็นของยัยหมาน้อยนั่นเองสินะ…จะไม่กล้ากินก็เพราะคำว่า ยาเสน่ห์ นี่แหละ เก่งถึงขั้นหาที่อยู่กับเบอร์ได้เลยเหรอวะ
สายตาไล่พินิจพิเคราะห์อยู่พักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจเดินไปหยิบตะเกียบในครัว
...ลองสักหน่อยคงไม่เป็นไรมั่ง
และสิ่งแรกที่ผมเลือกคีบขึ้นมาก็คงไม่พ้นของโปรดอย่าง ฮะเก๋ากุ้ง
“อือ ไม่เลวแฮะ”
จะว่าไปผมไม่ได้กินติ่มซำที่อร่อยขนาดนี้มานานมากแล้วนะ เพราะตั้งแต่ที่พ่อแม่ไม่อยู่ผมก็แทบไม่ทานอาหารนอกบ้านอีกเลย
เห็นอย่างงี้ส่วนมากผมทำอาหารกินเองตลอดนะ รู้สึกว่าควบคุมรสชาติที่ตัวเองชอบได้มากกว่า
จริงสิ…เธอบอกว่าเป็นร้านของที่บ้าน อ๋อ…นี่ซินะ สาเหตุที่หน้าเธอเหมือนซาลาเปา
หึ หึ และทำไมต้องหลุดขำทุกครั้งที่นึกถึงหน้ายัยหมาน้อยนั่นด้วยวะ!?
ผมสะบัดหัวไปมาเพื่อไล่ความคิดบ้าๆ ออกจากหัว ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเสิร์ชหาตามชื่อร้านที่เขียนไว้ข้างถุง
ร้านไม่ได้อยู่แถวนี้ด้วย…ไกลเหมือนกันแฮะ
นี่อย่าบอกนะว่าเธอสั่งมาส่งไกลขนาดนี้ เสียค่าส่งเท่าไหร่วะนั่น และด้วยนิสัยผมเป็นคนไม่ชอบรับของใครฟรีๆ อยู่แล้ว
ใครบ้างหว่านพืชไม่หวังผล ยัยหมาน้อยนี่ก็ด้วย
เอาเลขบัญชีมา ฉันจะโอนเงินให้ : De.FiEw
Plern_TA : ไม่รับคืนเป็นเงินค่ะ
Plern_TA : อร่อยไหมคะ
Plern_TA : ถ้าชอบเพลินพาไปกินที่ร้านได้นะ
Plern_TA : ป๊าม้าเพลินใจดีมากกก
ผมกดล็อกหน้าจอและคว่ำมือถือลงบนโต๊ะทันที เรื่องความอร่อยก็ไม่ปฏิเสธนะ…แต่ทำไมรู้สึกว่ายัยหมาน้อยทำเหมือนจะพาผมไปแนะนำกับทางบ้านเธอเลยวะ
บ้าฉิบ!!...ผมปล่อยให้เธอเข้ามาวุ่นวายในชีวิตได้ยังไง
20:15 น.
@Sosay Pub
ผมเปิดประตูเข้ามาในห้องรวมตัวประจำกลุ่มท่ามกลางเสียงโหวกเหวกโวยวาย
“อ้าวเฮีย กินไรมารึยังคะ” มิณเป็นคนเดียวที่เงยหน้าจากกล่องอาหารคุ้นตาบนโต๊ะแล้วทักทายผม จะด้วยมารยาทหรืออะไรก็ช่าง แต่ยังดีกว่าไอ้พวกเวรหลายตัวที่ไม่เงยหน้ามองสักนิด ซึ่งวันนี้มีแค่ มิณที่เป็นผู้หญิงคนเดียวนั่งอยู่ แน่นอนว่าถ้ามีมิณก็ต้องมีไอ้ยูตะ และยังมีไอ้หมอไวน์ ไอ้วาโยและไอ้ธาม สบายผมละวันนี้ ดูดบุหรี่ในนี่ได้ เพราะเฌอไม่ได้มาด้วย
ผมเดินเข้าไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟาที่ว่างข้างไอ้หมอไวน์ พลางเหลือบมองอาหารที่ตั้งเรียงรายบนโต๊ะ
“พอดีป๊าม้าเพลินเอาติ่มซำมาให้มิณเยอะเลย กินด้วยกันไหมคะ”
ว่าละ…ก็ว่าทำไมกล่องคุ้นจัง
“ไม่ได้…ได้คนเดียวหรอกเหรอวะ” ผมพึมพำกับตัวเองแต่มันคงดังเกินไปหน่อย จนทำให้มิณทักท้วงขึ้น
“เฮียว่าไรนะคะ”
“ไม่กิน” เพิ่งจะกินอีกรอบก็ก่อนออกมานี่เอง เยอะจัดเลย…ขนาดกินสองมื้อแล้วยังไม่หมด
“ทำไมอะ มึงชอบอันนี้ไม่ใช่เหรอ กูจำได้” ไอ้วาโยคีบฮะเก๋ากุ้งยื่นมาจ่อปากผม จนต้องเบี่ยงหน้าหนีและเสือกมาจดจำรายละเอียดชีวิตกูได้ดีซะด้วยนะ สมกับเป็นเพื่อนรักจริงๆ
“ลองดิ โคตรอร่อย” ไอ้ยูตะเสริมด้วยหน้าตาและท่าทางที่โคตรน่าหมั่นไส้ ผมแสยะยิ้มก่อนจะเผลอหลุดปาก
“กูได้กินก่อนมึงอีก”
“ฮะ!!” ทุกคนร้องทักเสียงลั่นอย่างพร้อมเพรียงจนผมสะดุ้งและเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพูดอะไรออกไป แต่ก็ไม่ทันแล้ว
“มึงเคยกินแล้วเหรอ” ไอ้วาโยทำหน้าตกใจ ทำไมผมรู้สึกถึงความปลอมในพวกแม่งนี่วะ เหมือนแกล้งตกใจ
“ร้านป๊าม้าเพลินนี่เหรอ แล้วเฮียรู้ได้ไงว่าเป็นร้านที่บ้านน้องมัน อีกอย่างร้านก็ไม่ได้อยู่แถวนี้ด้วยนะ แล้วเฮียไม่กินข้าวนอกบ้านไม่ใช่เหรอ” ไอ้ยูตะยังซักไซ้ต่อ ไอ้เหี้ยนี่ก็ขยันถามซะด้วยนะ…ดูเหมือนอาหารตรงหน้าจะหมดประโยชน์ละ เพราะไม่มีใครสนใจมันเลยสักนิด ผมกลอกตามองไล่เรียงแต่ละตัวที่ยังเอาแต่จ้องหน้าผมไม่ลดละ
“กะ…กูหมายถึงที่อื่นไง ที่ไหนๆ รสชาติแม่งก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ มึงจะตื่นเต้นอะไร!!” ผมข่มเสียงเข้มขณะตอบ พลางล้วงบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อขึ้นมาจุดสูบเพื่อกลบเกลื่อน แล้วเบือนหน้าไปทางที่ไม่มีคนนั่ง
“ร้อนตัวอะไรเราอะ อธิบายซะยาวเชียว แค่ถามเอง” ไอ้ยูตะแม่งยังจี้ไม่หยุด ผมพ่นควันสีขาวออกปากก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้ามัน
“จะแดกติ่มซำหรือตีนกู” พร้อมกับชี้มือที่คีบบุหรี่ลงด้านล่างให้มันเห็นภาพชัดๆ เพราะถ้ายังไม่หุบปาก มีโอกาสสูงมากที่มันจะได้ลิ้มลอง
“เกรี้ยวกราดฉิบหาย” มันก้มหน้ากับอาหารพลางบ่นอุบอิบ
ดูเหมือนป๊าไอ้ดินจะเคลียร์เรื่องเมื่อคืนจบแล้ว เพราะวันนี้ผับยังเปิดได้ปกติ ส่วนตัวมันก็คงไปอยู่กับลูกเมีย นี่แหละนะ…พอมีครอบครัว ชีวิตก็ถูกกักขังด้วยพันธะหลายๆ อย่างทันที
ว่าแต่ไม่เห็นมิณพูดอะไร
ยัยหมาน้อยไม่ได้ฝากเสื้อมาคืนผมหรอกเหรอวะ ดื้อด้านชะมัด วันนี้ต้องโผล่มาให้ผมรำคาญอีกแน่ๆ
ผมหยิบมือถือขึ้นมาเช็กการขึ้นลงของกราฟนิดหน่อย
“เออ พฤหัสนี้ กูจองลานกางเต็นท์ไว้ ไปออกแคมป์กัน นอนสักสองคืน” ไอ้วาโยพูดขึ้น ในขณะที่ทุกคนดูตื่นเต้น แต่หนึ่งในนั้นไม่ใช่ผมแน่นอน ถามว่าไปได้ไหม ก็ไปได้…แค่ไม่ได้อินขนาดนั้น
“ดีเลย ไปก่อนมิณาเปิดเทอมจะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องเรียนเนอะ” ไอ้ยูตะบอกกับมิณน้ำเสียงตื่นเต้นสุด ก่อนจะได้รับการตอบกลับแบบห้วนๆ
“อือ”
“ใช่ กูจะได้เอาโรสไปด้วย” ประโยคแรกของไอ้ธามหลังจากที่มันนั่งเงียบอยู่นาน จนผมลืมไปแล้วว่ามีมันอยู่ด้วย
“แล้วมึงบอกหมดยัง” ไอ้หมอไวน์หันไปถามตัวตั้งตัวตีของเรื่อง เวลาทำอะไรไม่เคยปรึกษาเพื่อนฝูงหรอก จองเสร็จแล้วค่อยมาบอก เป็นแบบนี้ตลอด
“บอกแล้วก็มีแต่ไอ้ดินกับหนูดาแหละที่ไม่ได้ไป” ไอ้วาโยตอบกลับไอ้หมอก่อนจะหันไปบอกน้องสะใภ้ตัวเอง
“ชวนเพลินไปด้วยดิ”
ประโยคของมันส่งผลให้ผมละความสนใจจากหน้าจอมือถือทันที
“จะชวนคนนอกไปทำไมวะ”
“มึงก็ใจแคบเกิน เพลินมันก็มีแค่เพื่อนแค่มิณปะ แล้วถ้ามิณไปตั้งสามวัน น้องมันก็จะเหงา” ไอ้หมอไวน์หันกลับมาสวนทันควัน
“แล้ว?” ยังไงก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเราอยู่ดี เธอจะมีเพื่อนไม่มีเพื่อน กลายเป็นความรับผิดชอบของพวกเราไปตั้งแต่ตอนไหน
“มึงจะไปไม่ไป” ไอ้วาโยปิดจบด้วยการยิงคำถามให้ผมเลือก นั่นแปลว่ายังไงมันก็ยืนยันจะเอาคนนอกไปด้วย
“ถ้ามีคนนอกกูไม่ไป” ผมว่าพลางก้มลงกับหน้าจอมือถือตัวเองต่อ
“งั้นแล้วแต่มึง” ไอ้หมอไวน์กระแทกเสียงใส่ผม ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
“แต่กูจองแล้ว ไปไม่ไปเสียเท่าเดิม” ไอ้วาโยบอกและปิดท้ายด้วยประโยคของมิณ
“งั้นเดี๋ยวมิณลองชวนมันนะ”
ยัยหมาน้อยไม่มีทางปฏิเสธอยู่แล้ว…เรื่องนี่ผมมั่นใจพันเปอร์เซ็นต์
21:33 น.
“เยส!” เสียงไอ้ยูตะดีใจในตอนที่ได้ดาวเพิ่ม
“เดี๋ยวผมไปรับโรสก่อน” ไอ้ธามว่าพลางเก็บมือถือใส่กระเป๋าและเดินตรงออกจากห้อง
“ฝากรับหนูเฌอมาด้วยดิ” ไอ้วาโยเงยหน้าบอกไอ้ธาม ก่อนจะก้มลงกับมือถือตัวเองต่อ
“มาต่อ”
แต่ถ้าไอ้ธามออกไป ทีมก็ยังขาดอีกคน
“เอาใครเข้าอีกคน” ไอ้หมอไวน์พูดแทนผมไปหมดละ และนี่คือสาเหตุที่ผมดูพูดน้อย เพราะพูดไม่ทันพวกแม่ง
“ผมมี น้องมันออนพอดีเลย” ไอ้ยูตะเสนอ ไม่นานช่องสี่เหลี่ยมเล็กที่ว่างก็ปรากฏโปรไฟล์ของคนที่ไอ้ยูตะเชิญเข้ามา
‘กวางน้อยในป่าใหญ่’
นี่ไอ้ยูมันชวนเด็กประถมมาเล่นด้วยรึไงวะ เห็นชื่อแล้ว…เตรียมดาวลดรอเลย
“โหลๆ” ไอ้ยูตะทักทายสมาชิกใหม่ที่เพิ่งเข้ามาหมาดๆ ให้ช่วงที่เรากำลังเลือกตัวเล่น
[ค่าาาาา] เสียงหวานคุ้นหูตอบกลับมา
“เพลินเหรอ” ชัดเจนในประโยคคำถามของมิณ ว่าละ…เสียงคุ้นฉิบ
“อือ น้องมันเล่นเก่งอยู่นะ ผมเคยลงด้วยกันหลายแมทละ” ไอ้ยูตะครางตอบมิณและไม่ลืมอวดสรรพคุณผู้ลงเล่นใหม่ให้พวกผมฟัง
[รุ่นพี่อย่าคุยเยอะ เดี๋ยวรอบนี้แพ้นี่อายเลยนะ] ยัยหมาน้อยกรอกเสียงกลับมา ตอนนี้เราเล่นด้วยกันทั้งหมดเลยมีแค่เครื่องไอ้ยูตะที่เปิดไมค์และลำโพงเพื่อสื่อสารกับคนเดียวที่ไม่ได้อยู่ในห้องนี้
“เฮียชวนมันเลยดิ” มิณเปรยๆ ให้ไอ้วาโยพูดเรื่องไปออกแคมป์ห่าเหวอะไรของมันนั่นแหละ
“เออ เพลินพฤหัสนี้ไปออกแคมป์ด้วยกันไหม”
[ไปได้เหรอคะ] น้ำเสียงคนถูกชวนคือตื่นเต้นสุด
“เขาก็ชวนอยู่นี่ปะ” มิณตอกกลับเพื่อนตัวเอง
[ไปๆๆ] กะไว้แล้วว่าเธอไม่มีทางปฏิเสธ
[ฟรุ๊ตตี้ ไปนอนกับม้าไหม เพลินอย่าเล่นจนดึกนะลูก] มีเสียงผู้หญิงที่คิดว่าน่าจะเป็นแม่ของเธอแทรกเข้ามาก่อนที่ยัยหมาน้อยจะตอบรับ
[ค่าาา]
“เอ้า มึงกลับบ้านไง๊?” มิณเอ่ยถาม นั่นจึงเป็นตอนที่ผมเหลือบมองหน้าคนถามเล็กน้อย ก่อนจะหลุบตาหลบแทบไม่ทัน เพราะเหมือนมิณเองก็เหล่มอง
ผมอยู่
[อื้อ ม้าบังคับมา] ถึงว่าวันนี้ไม่เห็นแม้แต่ข้อความ ไม่งั้นคงส่งมาให้ผมลงไปเอาเสื้อแล้ว ผมขมวดคิ้วมุ่นที่ความคิดผมส่งไปถึงมิณได้เฉย เพราะเธอพูดขึ้นในตอนที่ผมกำลังคิดพอดีเลย
“ถึงว่า ทำไมคืนนี้เงียบเลย”
[คิดถึงกูละสิ ตอนแรกว่าจะอยู่สักสองวัน แต่คงต้องกลับพรุ่งนี้ละ เดี๋ยวเตรียมตัวไม่ทันไปแคมป์] ปลายสายตอบกลับ ส่งผลให้ผมชะงักไปในทันที ทั้งที่รู้ว่ายัยหมาน้อยถามมิณ แต่มันเหมือนผมจะร้อนตัวนิดหน่อย
“ไม่เคยคุยกัน?” ผมว่าน้ำเสียงหงุดหงิดพลางเหลือบมองหน้ามิณ
คนถูกคาดโทษเม้มริมฝีปากแน่นก่อนหันไปหาไอ้ยูที่นั่งอยู่ข้างๆ ส่งสายตาให้แฟนตัวเองช่วย คิดได้ไงว่ามันจะช่วยได้ มันก็ทำได้แค่หันมาจูบหน้าผากทีหนึ่งเพื่อปลอบโยนแล้วหันไปเล่นเกมต่อ
