CHAOTIC LOVE : 05
ปึงง!
ประตูรถที่เปิดคาไว้ถูกปิดกลับคืนอย่างแรงจนสะดุ้งไปตามๆ กัน เขาเหลือบมองฉันเล็กน้อยขณะเดินอ้อมไปขึ้นนั่งหลังพวงมาลัย ซูเปอร์คาร์คู่ใจพุ่งออกไปด้วยความเร็วในเวลาต่อมา
คุณหมอไวน์ยกไหล่ขึ้นหนึ่งทีก่อนจะเดินกลับเข้าไปด้านใน ทิ้งให้พวกเราอยู่กับความห่อเหี่ยวโดยเฉพาะฉัน…แต่ก็ไม่เป็นไร วันนี้ได้จับมือก็คุ้มแล้ว
แถมยังได้ใส่เสื้อของเขาด้วย
เสื้อ? ฉันมองตามไฟรถที่ไกลออกไป เพราะลืมเอาเสื้อคืนเจ้าของ แต่ก็ดี จะได้มีข้ออ้างเพื่อจะเจอเขาในครั้งต่อไป
“ฉันขอนั่งรถไปเป็นเพื่อนมันนะ” มิณบอกรุ่นพี่ยูตะ ก่อนที่เขาจะพยักหน้ารับและเดินตามคุณหมอไวน์ไป
ตอนนี้ก็เหลือแค่เราสองแล้ว
“มึงบอกพวกเขา?” ฉันถามพลางหรี่ตาจ้องเพื่อนรักอย่างจับผิด
“กูไม่ได้บอก เฮียหมอเป็นคนมาถามกูเอง”
“เขารู้ได้ไง” เป็นคำถามที่ฉันพึมพำกับตัวเอง พลางใช้ความคิดไปด้วยว่ามีโอกาสไหมที่เฮียฟิวส์จะพูดถึงฉันกับเพื่อนตัวเอง
ถ้าเป็นแบบนั้นก็แสดงว่า…ฉันมีสิทธิ์
“เพื่อน อาการมึงชัดขนาดนั้น ใครจะไม่รู้ นี่มึงไม่รู้ตัวเลยเหรอ ว่าสายตามึงมองเฮียฟิวส์แค่คนเดียวทุกครั้งที่เจอ” มันว่า คล้ายกับทั้งดึงสติและด่าในเวลาเดียวกัน นี่ฉันต้องชอบเขาถึงขั้นไหนวะ….เพราะที่มันพูดมาจริงทุกอย่าง ถ้างั้นวันนี้ที่พวกเขามีท่าทีและคำพูดแปลกๆ อ๋อ…เป็นแบบนี้นี่เอง โป๊ะอีกแล้วสินะ อยากเอาหัวโขกเสาให้ตายไปเลยจริงๆ
[Part Peerakan]
ผมใช้เวลาไม่นานก็พาตัวเองมาถึงบ้าน…บ้านขนาดกลาง แต่สำหรับผมมันใหญ่มาก...มากเกินกว่าที่จะอยู่คนเดียว บ้านที่มีครบทุกอย่าง แต่ไม่มีครอบครัว เพราะผมเสียพวกเขาไปจากอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ตั้งแต่ผมอายุไม่ถึงสิบขวบเลยด้วยซ้ำ ทั้งพ่อ แม่ และน้องสาว ทั้งสามคนเห็นแก่ตัวมากๆ ที่หนีไปอยู่สุขสบายพร้อมหน้าและทิ้งให้ผมอยู่คนเดียวบนโลกที่แสนกว้างใหญ่และเลวร้าย
ครอบครัวเดียวที่ผมมีอยู่ในตอนนี้ก็คือไอ้พวกแม่งนั่นแหละ ถึงจะช่วยให้คลายเหงาได้ ช่วยเหลือได้ในยามจำเป็น แต่มันทดแทนสิ่งที่ผมเสียไปไม่ได้เลย…
น่าแปลก…ที่การอยู่คนเดียวมันยิ่งทำให้ผมจมลึกอยู่กับความเจ็บปวด แต่ผมยังชอบการอยู่คนเดียว ชอบความเจ็บปวด ซึ่งนานวันเข้ามันเริ่มแปรเปลี่ยน
เป็นความชินชา
เหตุการณ์หลายอย่างที่ผมอยากจะลืม…มันก็ยิ่งตอกย้ำชัดเจนขึ้น ว่าไม่ควรมีใครเข้ามาอยู่ในชีวิตผมเลยสักคน
พรึ่บบบ!
ไฟทั่วทั้งบ้านถูกเปิดอัตโนมัติในตอนที่ผมก้าวขาผ่านวงกบประตู ทั้งชั้นล่างและชั้นบน ถึงผมจะชอบอยู่คนเดียวแต่ผมไม่ได้ชอบความมืดเลยสักนิด
ผมเดินตรงขึ้นบันไดมายังชั้นสองของบ้านซึ่งเป็นพื้นที่โล่งทั้งชั้นไม่มีการกั้นห้อง แต่ทุกส่วนยังถูกแบ่งเป็นโซนอย่างชัดเจน เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นล้วนแล้วแต่เป็นสีดำซะส่วนใหญ่ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้โต๊ะทำงานที่มีจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่สามจอตั้งหันหน้าเข้าหากันเป็นมุมพอดีให้ใช้งานได้สะดวก สายตาจับจ้องเส้นกราฟที่ปรากฏพร้อมรอยยิ้มมุมปาก สิ่งเดียวที่ทำให้นักเทรดอย่างผมมีความสุขสุดๆ ก็คือการวิ่งขึ้นของกราฟตัวช้อนซื้อไว้เนี่ยแหละ
แน่นอนถ้าพูดถึงการลงทุนก็ต้องหวังผลกำไร...
พีพีเอ็น เป็นบริษัทของ ตระกูล ภูริศิรินันท์ ซึ่งพ่อเป็นประธานใหญ่และพอท่านเสีย ทุกอย่างถูกโยนเป็นกรรมสิทธิ์ของผมในทันที แต่ผมยกให้คุณอาฉัตร น้องสาวคนเดียวของพ่อเป็นคนดูแลต่อ ซึ่งท่านมีครอบครัวแต่ไม่มีลูก สุดท้ายทุกอย่างก็จะกลายมาเป็นของผมอยู่ดี
ความจริงคือผมไม่ได้สนใจหรืออยากได้ เพราะทุกอย่างที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้มันมากพอที่ผมจะใช้ไปได้ทั้งชีวิต แต่ถ้าเลือกได้ผมขอเป็นคนที่ไม่มีอะไรแต่มี
ครอบครัวจะดีกว่า
ผมยังควบคุมดูแลเรื่องการลงทุนกับหุ้นของบริษัททั้งหมดอยู่เบื้องหลัง และผมได้กำไรจากพวกมันมากพอที่จะไม่ต้องไปมีส่วนร่วมในบริษัท
“...!?” คิ้วหนาขมวดมุ่นทันทีที่เจอความผิดปกติบางอย่างของข้อมูลลูกค้าบางคน
ผมหยิบมือถือขึ้นมาต่อสายหาผู้ช่วยคนสนิท ‘ไอ้เต’ มันอายุน้อยกว่าผมสองปีแต่เก่งฉิบหาย จนได้ก้าวกระโดดขึ้นมาเป็นหัวหน้าฝ่ายเรื่องการลงทุนของ พีพีเอ็น ภายในสองปีที่เข้ามาทำงาน
มันปล่อยให้ผมรอสายอยู่พักใหญ่…
[ไม่แหกตาดูเวลาบ้างเลยเหรอครับเจ้านาย] นี่แหละ ลูกน้องผม…รับสายปุ๊บด่านำมาก่อนเลย
“ถ้าพูดขนาดนี้ไม่ต้องเรียกกูเจ้านายก็ได้มั่ง” ผมแดกดัน แต่มันก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไร
[อ้าว พูดเองนะ]
“ทะลึ่งละไอ้เวร”
ที่เราสนิทกันเพราะมันเป็นน้องรหัสตอนอยู่มหาวิทยาลัย และผมเองที่เป็นคนแนะนำให้มันมาสมัครที่ พีพีเอ็น
[ก็โทรมาซะดึกเลย ผมไม่ใช่แวมไพร์อย่างเจ้านายนะครับ คนบ้าอะไรไม่หลับไม่นอน] มันบ่นปนเสียงหาวนอนไม่หยุด
“อย่าพูดมาก กูมีเรื่องด่วน” ผมรีบเข้าเรื่องก่อนที่ไอ้ลูกน้องเวรจะหลับคาสาย
[ครับๆ ว่ามา]
“พรุ่งนี้ หาข้อมูลของลูกค้าที่ชื่อ เจนิสา นิโคลาส ให้กูที ลูกค้าที่เข้ามาลงทุนใหม่” ข้อมูลของเธอมีน้อยมากในระบบและผมมีลางสังหรณ์ใจแปลกๆ เธอชื่อคล้ายกับใครบางคนที่ผมเคยรู้จัก
[มีอะไรรึเปล่าครับ]
“เขาลงทุนแปลกๆ เลือกลงแต่ตัวที่กราฟมันพุ่ง ลงหนักซะด้วย”
[ครับ พรุ่งนี้ผมจัดการให้]
ทันทีที่มันตอบรับผมก็กดตัดสาย แต่ยังจดจ่ออยู่ที่ฐานข้อมูลลูกค้า เจนิสา…
เรื่องนี้เป็นอะไรที่ซีเรียสมากๆ ถ้าเป็นไปอย่างที่ผมคาดการณ์ เธอเสี่ยงจะล้มละลายถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งสิ่งนี่ พีพีเอ็น ยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด มันจะเสียหายตามกันไปหมดทุกส่วน เสียชื่อ เสียลูกค้า เสียความน่าเชื่อถือ รวมไปถึงผู้ถือหุ้นหลายๆ คนก็จะพากันถอนหุ้นออก ผลกระทบมากมายจะตามมา หุ้นของ พีพีเอ็น จะดิ่งลงเหว พนักงานอีกหลายร้อยชีวิตก็จะซวยไปด้วย
ภาวนาอย่าให้ เจนิสา เป็นคนเดียวกับที่ผมคิด…ไม่งั้นต่อจากนี้คงมีเรื่องให้ปวดหัวตามมาอีกเพียบ
ลืมเรื่องใช้ชีวิตสงบสุขไปได้เลย...
