CHANGE YOU เปลี่ยนเธอที่ร้าย ให้กลายเป็นที่รัก

111.0K · จบแล้ว
NAMIKA
80
บท
272
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

เป็นนักเขียน 100ล้านอยู่ดีๆ ทะลุมิติเข้าไปถูกยิงตายในฉากจบนิยายของคนอื่นซะงั้น และแทนที่ตายแล้วจะได้กลับบ้าน ดันย้อนกลับไปจุดเริ่มเรื่อง เพื่อเลี้ยงไอ้ตัวร้ายให้โตขึ้นมาฆ่าฉันรอบ 2 งั้นเหรอ? ไม่มีวัน! คำเตือน!! นิยายเรื่องนี้มีมาเฟียเลี้ยงแมว กรุณาเตรียมหัวใจไว้รับกับความน่ารักของทั้งคู่ด้วยนะคะ

นิยายรักโรแมนติกนิยายแฟนตาซีนิยายรักนิยายปัจจุบันรักหวานๆข้ามมิติมาเฟียแฟนตาซี เศรษฐีต่างโลก

INTRO…CHANGE YOU (1/3) ความในใจของนักเขียน

ณ. ปารีส ประเทศฝรั่งเศส

งานมหกรรมหนังสือระดับโลก

‘ดิฉันเชื่อว่านักอ่านทุกท่าน จะต้องมีนิยายในดวงใจกันอย่างน้อยคนละ 1 เรื่อง แม้แต่ตัวผู้ประพันธ์ผลงานเองก็ตามที ไม่อาจเลี่ยงได้ในสัจธรรมข้อนี้

ก่อนที่คุณจะเริ่มเขียนได้ คุณต้องผ่านการอ่านมาก่อนอย่างโชกโชน และโดยส่วนใหญ่ของคนที่เริ่มผันตัวมาเป็นผู้ผลิตผลงาน แทนการเป็นผู้บริโภคอย่างเดียวนั้น หลักๆ เลยคือพบเจอเนื้อเรื่องที่ไม่เป็นไปดั่งใจ

เราไม่สามารถแก้ไขผลงานของคนอื่นได้ แต่...เราสามารถสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้ด้วยมือของเราเอง

คุณสามารถรังสรรค์ผลงานของตนขึ้นมา ด้วยมือเล็กๆ ทั้งสองข้างของคุณ กับอีก 1 สมองที่ต้องใช้ในการจินตนาการขั้นสูงสุด ไหนจะคิดพล็อต กำหนดคาแรกเตอร์ตัวละคร วางโครงเรื่องอย่างละเอียด ผูกปมให้ซับซ้อนน่าติดตาม

มีเท่านี้ใช่ว่าจะเขียนมันออกมาได้จนจบ คุณยังต้องมีความมานะพยายาม มีความรับผิดชอบ มีระเบียบวินัยในตัวเองอย่างมาก และไหนจะต้องต่อสู้กับสภาวะอารมณ์ที่แปรปรวนของตัวเองอีก

เชื่อว่านักเขียนทุกคนต้องเจอกับเหตุการณ์นี้...สมองตัน

เมื่อคลอดผลงานที่กว่าจะเคี่ยวเข็ญจนจบได้ออกมาแล้ว ต้องมาลุ้นอีกว่าผลงานของคุณจะดังเป็นผลุแตก หรือจะแป่กเหมือนเป่าสาก ไม่มีใครรู้จุดจบถ้าเรายังเดินไปไม่ถึง

และการเขียนนิยายจบ ไม่ได้การันตีว่าคุณจะประสบความสำเร็จ หรือสามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดของอาชีพนักเขียนได้ในเรื่องแรกทันที

นอกเสียจากว่าคุณจะพกดวงมาเต็มปริบ หรือมีพรสวรรค์ทางด้านนี้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เรียกง่ายๆ ว่าปลดล็อกสกิลมือทองคำ ตั้งแต่ตอนที่ได้ออกมาจากท้องแม่นั่นแหละ

คุณยังคงต้องฝึกฝีมือ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ น้อมรับเสียงสะท้อนจากนักอ่าน และนำมาประยุกต์ใช้กับผลงานเรื่องต่อๆ ไป

การวางพล็อตจะต้องน่าสนใจ หากแนวเรื่องซ้ำซาก คุณต้องมีวิธีการถ่ายทอดออกมา ให้คนอ่านมองเห็นถึงความแตกต่างของนิยายเรา

ไม่ว่าจะเป็นภาษาที่ใช้บรรยาย มุกต่างๆ ที่สอดแทรกระหว่างการดำเนินเรื่อง เล่าความรู้สึกของตัวละครนั้นๆ ได้อย่างเห็นภาพ จนคนที่นั่งอ่านตัวหนังสือที่คุณเขียนหรือพิมพ์มันขึ้นมา ดำดิ่งไปกับความรู้สึกที่เราบรรยาย

ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยใช่ไหมคะ? กว่าจะมีผลงานแต่ละเรื่องออกมาให้ท่านนักอ่านได้รื่นรมย์กัน

ส่วนเป้าหมายสูงสุดของนักเขียนนั้น มันก็คือ ‘เงิน’ นั่นแหละค่ะ ไม่ต่างจากอาชีพอื่นๆ หรอก ทุกคนต้องกินต้องใช้ และเงินคือปัจจัยหลักในการดำรงชีวิต

แต่ก่อนที่เราจะได้รับเงิน เราจะต้องได้รับความชื่นชอบเสียก่อน การที่เราสามารถทำให้คนอ่านอินไปกับเรื่องราวของเราได้ และเมื่อไหร่ที่เขารู้สึกชื่นชอบผลงานของเราแล้ว เงินจะตามมาทีหลังเองค่ะ

วันนี้อิมก็ขอจบการกล่าวเปิดงานไว้เพียงเท่านี้ ขอให้ทุกท่านเลือกสรรหนังสือที่ชื่นชอบ ของนักเขียนในดวงใจกันตามสบายเลยนะคะ

ขอบคุณค่ะ’

แปะ แปะ แปะ

เสียงปรบมือดังกระหึ่มลั่นฮอลล์ พร้อมกับเสียงโห่ร้องชื่นชมในคำกล่าวสุนทรพจน์ เปิดงานมหกรรมหนังสือระดับโลก ที่มาจัดแสดง ณ ประเทศฝรั่งเศส

ซึ่งฉันต้องถ่อสังขารบินไกลจากประเทศไทยมาถึงที่นี่ ในฐานะนักเขียนซึ่งเป็นดาวรุ่งที่สุดอยู่ในขณะนี้ และได้รับคำเชิญจากผู้จัดงานโดยตรง ทำให้ฉันที่ค่อนข้างรักสงบและไม่ค่อยชอบเดินทาง ปฏิเสธคำร้องขอนี้ไม่ได้

เอาตรงๆ นะ เหตุผลหลักๆ เลยคือตัวเลขที่แสดงในข้อความแจ้งเตือนเงินเข้า มันบีบบังคับให้ฉันต้องมา

“ตายแล้วคุณน้องอิม พูดได้ดีมากเลยค่า พี่เอกกี้รู้สึกจับใจมาก”

พี่เอกที่ชอบเรียกตัวเองว่าเอกกี้ แต่ฉันมักชอบเรียกเขาว่าพี่อักลี่ (UGLY) หนุ่มออกสาววัย 30 ต้นๆ ที่ บก. ลงทุนจ้างมาในราคาค่าตัวซึ่งแพงหูดับตับไหม้ ให้มาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของฉัน เดินเข้ามาขนาบข้างพร้อมทั้งอวยกันยกใหญ่ หลังจากที่เท้าฉันก้าวลงจากเวที

ความจริงชีวิตนักเขียนไม่จำเป็นต้องมีผู้จัดการส่วนตัวก็ได้ แต่เนื่องจากช่วง 1 ปีที่ผ่านมานี้ ฉันออกงานอีเวนท์ มากกว่าการนั่งเคาะนิ้วอยู่หน้าคอมตัวเก่งเสียอีก

บางวันมีมากถึง 3 งาน ซึ่งฉันเองเป็นคนที่ไม่ค่อยเก่งเรื่องการสนทนากับคนแปลกหน้าสักเท่าไหร่ ขนาดคุยกับรู้จัก ฉันยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรด้วยซ้ำ ทำให้พี่เอกถือกำเนิดขึ้นในฐานะผู้จัดการส่วนตัว

“อย่าแสดงค่ะพี่อักลี่ อิมรู้ว่าพี่ตอแหล” ฉันหันไปเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่งอย่างรู้ทัน ก่อนโยนไมค์ที่ถือลงมาด้วยให้เขา โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะรับ หรือปล่อยให้มันร่วงหล่นลงพื้น

ก็อย่างที่เห็น...ฉันเป็นคนค่อนข้างปากหมา พูดจาไม่เอาหน้าใครทั้งนั้น จะหัวดำหัวขาว ถ้าทำตัวไม่ถูกใจหรือพูดจาไม่เข้าหู ปากหมาๆ ของฉันก็จะไล่เห่าไม่เลือกหน้า

แต่ฉันก็ยังรู้จักกาลเทศะนะ ไม่ด่าคนอื่นไปทั่ว ถ้าไม่มีใครมาทำอะไรให้ฉันไม่สบอารมณ์ก่อน

รอยยิ้มกว้างอย่างเสแสร้งเมื่อครู่หุบลงทันที พี่เอกเหลือกตามองบนพร้อมเบะปากเล็กน้อย ก่อนปรับสีหน้าให้เป็นปกติ และเดินตามหลังฉันมาติดๆ

“จะกลับโรงแรมเลยไหมคะคุณน้องอิม หรือจะอยู่เดินชมงานก่อน?” ถึงจะไม่อยากเสวนากับฉันสักเท่าไหร่ แต่เพราะเงินตอบแทนที่ถูกเสนอให้สูงลิบลิ่ว เขาจึงจำใจต้องทำหน้าที่นี้ต่อไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ทำอย่างกับไม่รู้สันดานกันนะคะ ทนอยู่ด้วยกันมาร่วมปีแล้วแท้ๆ น่าจะต้องเดาได้แล้วว่าอิมอยากกลับ”

ฉันชักสีหน้าใส่อย่างหงุดหงิด แม้อากาศจะกำลังเย็นสบายไม่ได้ร้อนเหมือนบ้านเรา แต่เพราะผู้คนที่มาร่วมงานในวันนี้ล้นหลามมาก ทำให้ฉันรู้สึกเวียนหัว และอยากออกไปหาพื้นที่โล่งๆ เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์

“ค่ะๆๆๆ กลับค่ะกลับ เดี๋ยวน้องอิมรออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ พี่เอกกี้ขอไปตามหาคนขับรถก่อน พอดีไม่ได้ขอเบอร์ติดต่อเขาเอาไว้”

ประโยคแกมคำสั่งถูกเอ่ยออกมาจบ ร่างสูงโปร่งค่อนไปทางผอมก็สาวเท้าเดินลิ่วหายไปในดงผู้คน