ตอนที่ 9 : ข้าคืออดีตจอมมารกับการเยี่ยมเยือนเมืองใหม่
ตอนที่ 9
ข้าคืออดีตจอมมารกับการเยี่ยมเยือนเมืองใหม่
กิสเซลล่า : จะได้ไปเที่ยวเมืองใหม่แล้วดีใจรึเปล่ามิเกล
มิเกลล่า : แอ้ !
กิสเซลล่า : ถ้างั้นเราไปเดินเล่นหาซื้อเสื้อผ้ากับของเล่นใหม่ ๆ ให้ลูกกันเถอะนะ
มิเกลล่า : แอ้ !
กิสเซลล่า : มิเกลลูกพ่อ ทำไมเจ้าถึงน่ารักแบบนี้ ! //กอดแน่น//
บูชเชอร์ : เห่อลูกเกินเยียวยาแล้ว... //ส่ายหน้า//
++++++++++++++++++++++++++++++
เอวาไม่ได้ฆ่าพวกโจรทิ้งอย่างที่กิสเซลล่าเข้าใจ นักเวทย์ตาบอดเพียงจับพวกเขาไปมัดรวมกันทิ้งไว้ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หากโชคดีเมื่อพวกเขาไปถึงเมืองเฟรย่า และแจ้งทางการให้มาจับโจรพวกนี้ก็จะได้เข้าไปนอนในคุกเพื่อรอตัดสินความผิด แต่หากคืนนี้เกิดมีสัตว์ป่าออกมาล่าอาหารก่อนล่ะก็... นั่นก็เป็นเรื่องของโชคชะตาแล้ว
และเมื่อจบเรื่องระทึกแล้วบูชเชอร์ก็เรียกให้กิสเซลล่าขึ้นเกวียนเพื่อเดินทางต่อ แต่เมื่อเอวาจะก้าวขึ้นมา พ่อค้าหนุ่มกลับยกมือขึ้นห้ามทำให้เอวาที่เจอมือมาบังไว้ชะงักขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อยเมื่อโดนกีดกัน
“บูชเชอร์มีอะไรกับข้ารึเปล่าครับ ?” เอวาถามออกไปอย่างสุภาพอ่อนโยนอย่างเช่นทุกครั้ง
“เจ้าน่ะเป็นใครกันแน่ ถ้าไม่ยอมตอบตามความจริงข้าก็ให้คนน่าสงสัยอย่างเจ้าร่วมทางไม่ได้หรอก” ที่พวกโจรนี้โผล่มาแท้จริงก็เพราะพวกมันตามหาเหยื่อที่หนีไปอย่างเอวา ดังนั้นบูชเชอร์จะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นต้นเหตุของโชคร้ายครั้งนี้ก็ไม่ผิดนัก
เมื่อถูกคาดคั้นโดยไร้เสียงคัดค้านของกิสเซลล่าที่คงอยากให้ความจริงเกี่ยวกับตัวตนของเอวากระจ่างเช่นกัน เอวาก็ถอนหายใจอย่างยอมแพ้ มือบอบบางกำคทาไว้แน่นได้ตัดสินใจที่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้กับทั้งสองคนได้ฟัง
“ชื่อของข้าคือเอวาริสท์ บาเลน ลอเลไลน์ คลาวน์วิส ครับ”
กิสเซลล่าเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินนามสกุล ‘คลาวน์วิส’ หลุดออกมาจากปากของเอวา เพราะนั่นเป็นนามสกุลของพวกจอมเวทย์มนุษย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังพอตัว และยังเป็นตระกูลสำคัญที่ร่วมสร้างดาบศักสิทธิ์ที่ซาราสะใช้มาปราบเขาที่ปัจจุบันนี้กลายเป็นผนึกแข็งแกร่งที่ปกป้องแดนปีศาจเป็นอย่างดี
แม้ผู้คิดค้นจะเป็นพวกเผ่าเทพ แต่คนลงมือทำก่อรูปร่างออกมาล้วนเป็นฝีมือของมนุษย์ทั้งสิ้น ซาราสะเล่าให้ฟังว่าดาบศักสิทธิ์นั้นต้องใช้ปรมาจารย์ช่างตีดาบในตำนานถึงสามคนมาช่วยกันตีแร่ในตำนาน ‘โอริฮากอน’ ที่เป็นแร่เดียวที่จะสามารถทำร้ายผิวเนื้อของจอมมารด้วย และด้วยการตีดาบด้วยวิธีพิเศษที่ไม่มีใครรู้ถึงสามเดือนกว่าจะสร้างตัวดาบออกมาได้
จากนั้นจอมเวทย์ชั้นหัวกะทินับร้อยคนที่เกินครึ่งเป็นคนของคลาวน์วิชก็ร่วมพลังกันสร้างอักขระมนตราประทับลในตัวดาบให้ดาบนั้นมีพลังเวทมนตร์มหาศาลที่สามารถป้องกันพลังของจอมมารได้ ซึ่งความพยายามของเหล่ามนุษย์ไม่ได้สูญเปล่า เพราะเขาที่เป็นปราการด่านหน้าเคยโดนดาบนั้นฟันมาแล้วทีนึงขอบอกว่าเจ็บจนต้องลงไปดิ้นกับพื้นเชียวล่ะ
“และข้าเป็นหนึ่งในนักเวทย์ที่ร่วมสร้างดาบของผู้กล้าครับ”
...เยี่ยมจริง ๆ ต้องโชคดีขนาดไหนถึงได้มาเจอกับคนสร้างเครื่องมือไว้ใช้ฆ่าตนกัน ? ...
กิสเซลล่ายกขึ้นปิดหน้ากุมขมับที่จู่ ๆ ก็เต้นตุ้บ ๆ ขึ้นมาจนเขารู้สึกตึงหัวไปหมด พอเงยขึ้นมองหน้าแสนซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราวของเอวาแล้วคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่รู้ว่าเขาคือจอมมาร ดังนั้นกิสเซลล่าจึงขอปิดปากเงียบความจริงเรื่องตัวตนของเขาแล้วกัน
“เอ่อ...ท่านเอวาริสท์ท่านจะเดินทางไปซาเทียทำไมเหรอครับ ?”
“เรียกข้าว่าเอวาเฉย ๆ ก็ได้ครับท่านกิสลี่” เอวายิ้มอ่อนโยนให้กับกิสเซลล่าที่ได้แต่ผงกหัวลงน้อย ๆ ด้วยความหวาดหวั่นอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อดันต้องอยู่ต่อหน้าคนสร้างอาวุธในตำนานที่มีพลังฆ่าจอมมารได้จริง ๆ ... ถึงจะเป็นแค่หนึ่งในร้อยคนที่ร่วมสร้างก็เถอะ
“สำหรับสาเหตุที่ทำไมข้าถึงต้องการไปซาเทียก็เพราะมีคนบอกข้าว่าที่นั่นมีจอมมารอาศัยอยู่ครับ”
เฮือก !
กิสเซลล่าถึงกับสั่นสะท้านเมื่อเป้าหมายของอีกฝ่ายดันพุ่งตรงมาที่เขาเต็ม ๆ แต่ที่น่าตกใจกว่าคือใครกันที่รู้ถึงการมาของเขา ? นอกจากซาราสะ เหล่าเพื่อนจอมมาร และประชากรของเขาแล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องที่เขาหนีมาอยู่ที่แดนมนุษย์อีกแล้ว... หรือจะมีใครคิดทรยศเขากัน ?
อดีตจอมมารรีบส่ายหัวไล่ความคิดติดลบของตนทิ้งไป เขาไม่เชื่อว่าคนที่เขาไว้ใจจะทรยศตน ญาติผู้พี่ของเขาจะไม่ปล่อยให้เรื่องอันตรายเกิดขึ้นกับเขาจากทางฝั่งตัวเองเด็ดขาดดังนั้นจะต้องมีคนสืบรู้จากทางอื่นเป็นแน่ เมื่อปลุกปลอบใจตนเองได้เช่นนั้นกิสเซลล่าจึงพยายามปรับเสียงตนให้เคร่งขรึมซ่อนความขลาดกลัวของตนไว้แนบเนียน
“ท่านเอวา พอจะบอกข้าได้ไหมขอรับว่าท่านรู้ข่าวเรื่องนี้มาจากไหน เรื่องมีจอมมารมาอาศัยอยู่นั้นอันตรายมากหากคนในเมืองซาเทียรู้เข้าจะสร้างความหวาดกลัวให้ชาวเมือง และทำให้เมืองเสียชื่อได้นะขอรับ” คำพูดของกิสเซลล่าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงในเมืองที่ตนอาศัยอยู่ทำให้เอวานั้นซาบซึ้งในความรักบ้านเมืองของอดีตจอมมาร แต่กับบูชเชอร์แล้วเขากลับได้รับสายตาทิ่มแทงกลับมาเสียอย่างนั้น
“ขอโทษครับข้าไม่สามารถบอกชื่อของผู้ที่บอกข้าได้ แต่ว่าคน ๆ นั้นไม่ได้มีเจตนาจะให้เมืองของพวกท่านเสียหายแน่นอน”
“แล้วไม่ทราบว่าท่านจะตามหาจอมมารเพื่ออะไรบอกได้ไหม” ได้โปรดว่าอย่าบอกว่าจะไปกำจัดจอมมารเชียว เขาเพิ่งเสียเงินไปกับการซื้อบ้านใหม่ เขายังไม่อยากรีบย้ายบ้านเร็ว ๆ นี้
“ข้า... ข้า...” เอวาอึ่กอั่ก สีหน้าดูหนักใจเล็กน้อยจนเผลอก้มหน้าลงมือบอบบางทั้งสองกำไม้เท้าไว้แน่นก่อนที่เจ้าตัวจะตอบออกมาด้วยเสียงเบาหวิว “ข้าอยากเป็นลูกน้องของท่านจอมมารครับ”
“แค่ก ๆ !” คราวนี้กิสเซลล่าไม่สามารถคงความสุขุมได้อีกต่อไปอดีตจอมมารถึงกับสำลักน้ำลายตัวเองจนตัวงอ
“มะ...เมื่อกี้ข้าว่าข้าได้ยินอะไรผิดไปรึเปล่า ?” บูชเชอร์ยกมือขึ้นแคะหูตัวเอง เขาคิดว่าตัวเองต้องมีขี้หูเกาะเต็มแน่ ๆ ถึงได้ยินความต้องการอันแสนพิลึกพิลั่นนี้
“ข้าพูดจริงนะครับ ! ข้าอยากเป็นลูกน้องท่านจอมมารจริง ๆ นะ !”
คนสร้างดาบจอมมารอยากจะเป็นลูกน้องจอมมารใครมันจะเชื่อได้ลงค๊อ !
“เป็นลูกน้องจอมมารไม่ดีหรอกขอรับ เงินเดือนก็ให้น้อยแต่งานกลับท้วมหัว อีกทั้งจอมมารส่วนมากก็ขี้เกียจทำงานราชการกัน ดังนั้นถ้าท่านอยากจะเป็นลูกน้องจอมมารที่ได้สวัสดิการเลี้ยงดูอย่างดี ท่านคงต้องเข้าไปเมืองหลวงของแดนปีศาจ และเข้าทำงานในหน่วยของจอมมารบาปแห่งความหยิ่งทระนงท่านลูซิเลียส ลูซิเฟอร์ ไพรด์ เท่านั้น
แต่ว่าการเดินทางเข้าแดนปีศาจไม่ใช่เรื่องง่ายตอนนี้มีผนึกจากดาบวิเศษอยู่ทำให้ไม่มีใครเข้าไปยังดินแดนนั้นได้ และต่อให้เข้าไปได้กงศุลแดนปีศาจก็เขี้ยวลากดิน และเฮียบมากหากพวกเขาเจอมนุษย์หลุดเข้าไปล่ะก็มีแต่จะจับไปลบความทรงจำ และส่งท่านกลับมาที่ชายแดนมนุษย์สถานเดียว ซึ่งทำให้ท่านเสียเวลาโดยเปล่า ข้าว่าอย่าไปลำบากเป็นลูกน้องจอมมารเนี่ยดีที่สุดแล้วขอรับ !”
ไอ้นี่ก็สร้างชื่อเสียให้จอมมารแบบไม่คิดหน้าคิดหลังเลยโว้ย !
บูชเชอร์เอามือขึ้นก่ายหน้าผากเพลียใจทั้งว่าที่ลูกน้องจอมมาร กับเจ้าจอมมารที่เล่นสาธยายความเลวร้ายของระบบราชการตัวเองแบบไม่มีกั๊ก แต่กิสเซลล่าลืมไปหรือเปล่าว่าเรื่องราวในแดนปีศาจนั้นเป็นเรื่องลึกลับ เล่นพูดเหมือนรู้ดีแบบนี้มันก็...
“ท่านกิสลี่รู้ดีเกี่ยวกับปีศาจจัง หรือว่าท่านรู้จักกับจอมมารที่อาศัยอยู่ในเมืองซาเทียใช่ไหมครับ !”
ความแตกเต็ม ๆ !
“ตอนนี้ไม่มีจอมมารอาศัยอยู่ในเมืองซาเทียหรอกนะ” กิสเซลล่าตอบหน้าตาย ความจริงที่เขาบอกไปเพียงครึ่งหนึ่งนั้นสร้างความผิดหวังให้กับเอวาเป็นอย่างมาก ใบหน้าหมองเศร้าของเด็กหนุ่มที่ดวงตาสองข้างปิดสนิท
“จอมมาร...ไม่อยู่แล้วจริง ๆ งั้นเหรอ” เอวาพึมพำออกมา ก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาปรับสีหน้าที่ผิดหวังให้กลับมาเป็นมุ่งมั่นเช่นเดิม “ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องลองเสี่ยงเดินทางไปแดนปีศาจจริง ๆ เสียแล้ว”
“เดี๋ยวก่อน ข้าบอกแล้วไงขอรับว่าท่านเข้าแดนปีศาจไม่ได้ ต่อให้เข้าได้ก็...” กิสเซลล่าพยายามจะเกลี้ยกล่อมเอวาแต่เด็กหนุ่มกลับโพล่งขึ้นมา ด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้า และเจ็บปวดที่ทำให้กิสเซลล่าต้องตกตะลึงแทน
“ข้ารู้ดีครับว่ามันอาจจะเสียเวลาเปล่า แต่ถ้าข้าไม่ไปตามหาจอมมาร ชีวิตของข้าก็ต้องจบสิ้นในไม่ช้าอยู่ดี”
เอวาเงยหน้าขึ้นตรงด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ดวงตาที่ปิดสนิทค่อย ๆ ปรือขึ้นทีละน้อยเพื่อเผยบางอย่างให้คนทั้งสองได้เห็นถึงความจริงใต้เปลือกตาของนักเวทย์หนุ่ม ที่ภายในดวงตาที่ควรจะมีนัยตาขาว และดำอย่างปกติ
แต่ดวงตาของเอวากลับมีม่านหมอกสีขาวปกคลุมจนมองไม่เห็นสีใด ๆ ในดวงตาคู่นั้น แต่ด้วยดวงตาของจอมมารสิ่งที่เขาเห็นคือหมอกพวกนั้นคือสายโซ่นับร้อยที่ลงอักขระเล็กละเอียดทับซ้อนกันถี่ยิบ เป็นกรงขังที่ปิดผนึกการมองเห็นของเด็กหนุ่มต่างหาก
“นี่เจ้า... ถูกเผ่าเทพสาปอย่างงั้นเหรอ ?”
เอวายิ้มน้อย ๆ เมื่อมีคนมองออกถึงคำสาปที่ตนได้รับ เด็กหนุ่มหลับตาลงเพื่อปิดสภาพไม่น่ามองนั้นลง ก่อนจะเอ่ยพูดขึ้นต่อ
“นี่เป็นคำสาปจากเผ่าเทพก็จริง แต่ผู้ที่ใช้คำสาปกับข้าคือลูกพี่ลูกน้องของข้าเอง คำสาปนี้ไม่ใช่เพียงแต่ทำให้ข้ามองไม่เห็นแต่มันจะทำลายเวทมนตร์ออกไปจากความทรงจำอย่างถาวรเมื่อข้าใช้เวทย์นั้นออกไปครับ”
เอวายิ้มเศร้า มือบอบบางยกขึ้นแตะที่ขอบดวงตาที่ถูกสาปของตนอย่างแผ่วเบาด้วยความสมเพชในความโง่เขลา เพราะเชื่อใจจึงถูกช่วงชิงทั้งการมองเห็น และเวทมนตร์ที่เปรียบดั่งชีวิตของเขาด้วยวิธีการแสนเลือดเย็น โดยไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายนั้นเกลียดชังเขามาตั้งแต่ต้น...
“เมื่อเวทมนตร์ทั้งหมดที่ข้ารู้หมดลง ชีวิตของข้าจะดับสูญลงเมื่อนั้น และที่พึ่งสุดท้ายที่จะช่วยข้าได้มีเพียงท่านจอมมารเท่านั้นครับ...”
เอวาเม้มริมฝีปากตัวเองที่สั่นระริกน้อย ๆ ด้วยความสะเทือนใจจากความทรงจำครั้งเก่า ก่อนที่เด็กหนุ่มจะโค้งตัวลงแสดงเจตนารมย์ที่ไม่มีวันเสื่อมคลายของตนให้ทั้งสองได้รับรู้ และเข้าใจเขาเพียงเล็กน้อยก็ยังดี
“เพราะฉะนั้นได้โปรดอย่าได้บอกว่าสิ่งที่ข้าทำมันไร้ประโยชน์เลย” เพราะเขาไม่ต้องการอยู่เฉย ๆ และรอวันตายอย่างไร้ค่าไปวัน ๆ
เมื่อเอวาเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาเด็กหนุ่มก็ยังตามเดินทางไปกับขบวนส่งสินค้าอยู่ดี เพราะแม้ว่าจอมมารจะไม่ได้อยู่ในเมืองซาเทียตามที่เจ้าตัวเข้าใจแบบผิด ๆ ไปแล้ว แต่เอวาก็ตั้งใจจะทดแทนคุณกิสเซลล่าที่เคยช่วยตนไว้อยู่ดี และแล้วในเช้าวันรุ่งขึ้นขบวนเกวียนสินค้าของบูชเชอร์ก็เข้าเขตเมืองเฟรย่าได้อย่างปลอดภัยด้วยดี
บูชเชอร์ตั้งใจจะรีบไปจัดการส่งสินค้าให้เรียบร้อยแล้วจะรีบเดินทางกลับทันที เพราะเขาเสียดายเงินหากจะต้องแวะค้างอ้างแรมที่โรงแรมในเมืองเฟรย่าที่บูชเชอร์บ่นทุกครั้งว่ามันแพงเกินไป ดังนั้นคืนนี้พวกเขาจะพักนอนในป่ากันอีกครั้ง และกลับสู่ซาเทียโดนสวัสดิภาพราว ๆ ช่วงพลบค่ำ
เอวาขอตัวไปแจ้งทางการเรื่องพวกโจรป่าที่จับได้ให้ทหารไปจัดการ เห็นว่าทางการมีรางวัลจับพวกโจรด้วยเอวาจึงตั้งใจจะไปรับเงินนั้นเพื่อที่จะนำมาเป็นของเส้นให้หัวหน้าคณะอย่างบูชเชอร์อารมณ์ดีซึ่งก็นับว่านักเวทย์ตาบอดได้จับจุดได้อย่างดีเพราะบูชเชอร์เห็นดีเห็นงามมากจริง ๆ
และสุดท้ายคือตัวเขา กิสเซลล่าที่จำต้องรับผิดชอบปากท้องของทุกคนแทนเจ้าตัวเล็กที่ทำลายเสบียงจนเรียบ อดีตจอมมารจึงต้องกระเต็งเจ้าตัวน้อยออกไปซื้อของกินสำหรับการเดินทางในช่วงบ่ายวันนี้ หลังจาเลือกซื้ออาหารจนเสร็จแล้ว กิสเซลล่าจึงใช้โอกาสนี้สำรวจเมืองเฟรย่าด้วยความสนใจไปด้วย
ที่นี่มีสินค้าหน้าตาแปลก ๆ ที่ไม่มีขายในเมืองซาเทีย ทำให้อดีตจอมมาร และทารกน้อยเพลิดเพลินไปกับการชมข้าวของต่าง ๆ เป็นที่น่าเอ็นดูที่ชวนให้ดูน่าเป็นห่วงน้อย ๆ เพราะร่างใหญ่ของอดีตจอมมารทำให้คนที่เดินผ่านไปหวาดกลัวเหลือเกินว่าเขาจะทำให้เด็กน้อยบาดเจ็บเพียงแค่การจับ หรือขยับเพียงนิดเดียว...
“จอมมาร ? นั่นเจ้าคือจอมมารใช่ไหม ?”
กิสเซลล่าสะดุ้งเมื่อจู่ ๆ ก็มีคนเรียกเขาด้วยตำแหน่งที่อาจทำให้หลายคนเข้าจับเขาไปแขวนคอ อดีตจอมมารหันหัวจะแก้ตัวว่า ‘ท่านจำคนผิดแล้ว !’ ร่างใหญ่ของเขากลับโดนดึงเข้าไปสวมกอดอย่างแนบแน่น ท่ามกลางสายตาของประชาชีที่จ้องมองกันด้วยสายตาตะลึงไปตาม ๆ กัน
“จอมมารข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน !”
...ไอ้หมอนี่มันเป็นใครกันเนี่ย !...
+++++++++++++++++++++++++++++++++
ใครบังอาจมาแต๊ะอั๋งท่านพ่อออออ !!! มิเกลเอาปีกตบหน้ามันเลยลูก !!!
