บทที่ 1
ลลินทร์
“ที่รักจ๊ะ ผมกลับมาแล้วจ้ะ”
หนุ่มใหญ่รูปหล่อ ใส่แว่น ผมเรียบแปล้ ในสูทสีดำมาดนักธุรกิจอย่างหรู ร้องเมื่อเปิดประตูบ้านเข้ามา
“ที่รักคะ คิดถึงจังเลย คิดถึงคุณทั้งวันเลย”
สาวสวยรุ่นใหญ่ในชุดลายดอกไม้ วิ่งมากอดหนุ่มคนนั้น
“คิดทึ้ง...คิดถึง”
“อะแฮ่ม...พ่อกับแม่คะก่อนจะจูบกันน่ะปิดประตูบ้านเสียหน่อยก็ดีนะ”
ต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอเกลียดนิยายรักทั้งสองหันมายิ้มแหย ๆ หลังจากจูบแรกผ่านไป
“พ่อขอโทษนะลูก ก็แม่ของลูกน่ะสวยจนพ่ออดใจไม่ไหว”
วาจาพ่อทำให้ลลินทร์เบ้หน้า ขณะที่ ‘คนสวย’ ที่กล่าวถึงก็ทุบอกคนที่กอดอยู่เบา ๆ
“บ้า คุณนี่พูดจาอะไรก็ไม่รู้ อายลูกมั่ง เราแก่แล้วนะคะ”
“อะไรกัน ผมไม่เห็นว่าคุณจะแก่เลย คุณน่ะสวยเสมอ...”
เธอต้องรีบเลี่ยงไปก่อนที่จะโดนไอความหวานจากคู่รักวัยดึกเคลือบตัว
[“จ๋า...จ้ะ ได้จ้ะ เดี๋ยวพี่ไปรับนะ”]
ผู้ชายอีกคนตัวสูงรูปหล่อ ผิวขาวจัด เดินคุยโทรศัพท์ผ่านหน้าเธอไป
[“พี่ไม่นอกใจหรอก เราต่างหากล่ะ อย่าไปมองผู้ชายแปลกหน้ามากนักล่ะ เดี๋ยวเขาเข้าใจผิดแล้วมาจีบ ถึงตอนนั้นแล้วล่ะก็พี่จะลงโทษเสียให้เข็ด”]
คนพูดเข่นเขี้ยวแววตากรุ้มกริ่มก่อนจะรีบออกจากบ้านไปที่โรงจอดรถ
[“วันนี้คุณพ่อไม่ให้ไปเที่ยวกับพี่เหรอ แค่ไปดูหนังเนี่ยนะ”]
เสียงห้าวที่ฟังกี่ครั้งก็เหมือนตะคอก แต่เจ้าตัวยืนยันว่านี่เป็นเสียงพูดคุยปรกติตะโกนใส่โทรศัพท์
[“อะไรนะ ! คุณพ่อป่วยวันนี้ด้วยเหรอ”]
ลลินทร์พอจะเดาใบหน้าภายใต้หนวดเคราเฟิ้ม ลักษณะมหาโจรของเจ้าของเสียงได้ว่า กำลังโกรธเพียงใด
[“ได้ ๆ งั้นบอกคุณพ่อน้องนะว่าคืนนี้ระวังหน้าต่างประตูไว้ให้ดี บางทีตื่นมาแล้วลูกสาวอาจจะหาย เพราะพี่จะไปฉุด”]
ปลายสายโทรศัพท์ร้องกรี๊ดดังมาแว่วๆ ไม่รู้กรี๊ดตกใจหรือกรี๊ดดีใจกันแน่ที่พี่ชายหน้ามหาโจร พระเอกนิยายแนวตบจูบจะไปหา และแล้วหนุ่มทั้งสองก็ออกไปจากบ้านทั้งคู่
การใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางอะไรที่มากเกินไปมักให้ผลร้ายอยู่บ่อยครั้ง อย่างเช่นความหวานของความรัก ตั้งแต่จำความได้ลลินทร์เห็นพ่อกับแม่หวานกันตลอด ตั้งแต่ผิวยังเต่งตึงหนุ่มสาว จนผิวหย่อนคล้อยย่างเข้าสู่วัยชรา คำว่ารักลอยวนปะปนอยู่ในอากาศรอบบ้าน
พ่อกับแม่คุยกันได้เพียงคู่ก็จูบกันเสียแล้ว ยิ่งพี่ชายสองคนยิ่งแล้วใหญ่ มีแฟนก็ทั้งรักทั้งหวงแฟนจนน่ารำคาญ ทำตัวเหมือนพระเอกในนิยายของสำนักพิมพ์น้าสาวเปี๊ยบ รอบตัวเธอมีแต่คำว่ารักและความหวานจนเลี่ยน
ยิ่งจำต้องมาทำงานกับน้าในการอ่านนิยายเป็นสิบๆ เรื่อง ฉากประเภทลิ้นชอนไช ขาเกี่ยวกระหวัดจึงหลอนอยู่ในหัว
...คิดว่าเรื่องความรักของคนในครอบครัวตนเองเลี่ยนแล้ว กลับต้องมาเจอพฤติกรรมของพระเอกนางเอกในนิยายที่ยิ่งเลี่ยนกว่า ต่อมเกลียดนิยายรักของลลินทร์จึงเริ่มทำงานมาจนถึงเดี๋ยวนี้
ยามเช้าในอีกอาทิตย์ต่อมา ก็มีข่าวล่ามาใหม่
“พี่ลิน รู้หรือยังมีข่าวว่าคุณชมพูรำเพยเขาจะส่งต้นฉบับให้เรา”
เด็กฝึกงานรีบเล่าทันทีเมื่อลลินทร์มาถึงโต๊ะทำงาน
“ใครน่ะ คุณชมพูรำเพย”
“โหย...พี่ สมเป็นเด็กเส้นหลานบก.จริงๆ ที่เขานินทาว่าพี่เกลียดเรื่องรักทั้ง ๆ ที่หน้าตาสวยนั่นเรื่องจริงไม่อิงนิยายใช่ไหมเนี่ย”
ลลินทร์ไม่ตอบ มือสาละวนกับการเปิดคอมพิวเตอร์
“ก็คุณชมพูรำเพยนักเขียนนิยายโรแมนซ์ไง นักเขียนผู้ลึกลับ ไม่เคยให้สัมภาษณ์กับใครมาก่อน” คนเล่าตาลอยเคลิ้มฝัน
“นิยายของเขาสนุกทุกเรื่องนะพี่ โดยเฉพาะฉากเลิฟซีน”
“เพ้อมากไปแล้วแก ฉากพวกนั้นมันก็มีแต่เข้า ๆ ออก ๆ มันจะสนุกได้ไง”
ลิลินทร์พูดแบบไม่คิดอะไรกับวิชาเพศศึกษาขั้นพื้นฐาน แต่เหล่าคนฟังกลับหน้าแดงเสียเอง
“บ้า...พี่นี่พูดอะไรก็ไม่รู้ลามก!”
เด็กฝึกงานทั้งหลายอายม้วนต้วนยืนบิดมือไปมา
“พอ ๆ ไปทำงานได้แล้วไป เช็คเมลแล้วก็ก็อปปี้นิยายที่ส่งมาพิจารณาลงแฮนดี้ไดร์ฟด้วย จะได้ช่วยกันอ่าน”
เธอโบกมือไล่ เด็กฝึกงานจึงวิ่งปรู๊ดไปทำหน้าที่อย่างรวดเร็ว
จนถึงช่วงบ่ายน้าเรียกประชุมคนในกองบก.และแจ้งข่าว
“มีเรื่องดี ๆ มาบอกนะจ๊ะ คุณชมพูรำเพยตกลงแล้วที่จะส่งต้นฉบับเรื่องใหม่ให้เรา”
เสียงฮือฮาดังขึ้น โดยเฉพาะนักศึกษาฝึกงานหน้าบานกันแทบปริ
“แล้วต้นฉบับมาแล้วหรือยังคะพี่”
“เรียบร้อยแล้ว สัญญาเพิ่งพิมพ์อุ่น ๆ จากเครื่องพรินท์พี่เอง”
เสียงกรี๊ดดังขึ้นเป็นคำรบที่สอง
“แล้วเขาจะเข้ามาสำนักพิมพ์เราไหมคะพี่ หนูอยากเจอตัวจริง อยากขอลายเซ็น”
“เขาบอกว่าจะเข้ามาจ้ะ” น้าอมยิ้มแปลกๆ “จะเข้ามาเร็วนี้ ๆ”
“ถามจริง คุณชมพูรำเพยที่ว่านั่นดังมากเลยเหรอ”
ลลินทร์อดที่จะหาคำตอบไม่ได้เมื่อเวลาพักกลางวันมาถึง เพราะดูเหมือนทั้งสำนักพิมพ์ตื่นเต้นเรื่องนี้เสียเหลือเกิน
“ดังสิพี่ แต่นิยายของเขาไม่ได้ทำเป็นละครเท่านั้นเอง เพราะบทเลิฟซีนมันร้อนแรง”
“ใช่ๆ”
เด็กฝึกงานหลายคนรับเป็นลูกคู่ เธอและเด็กฝึกงานมากินข้าวแกงที่ร้านประจำข้างออฟฟิศ
“แต่ไม่ใช่แค่นั้นนะ บทเศร้า ๆ ก็กินขาด ยิ่งตอนบรรยายตอนพระเอกอกหักนี่เล่นเอาน้ำตาซึม”
“จริงด้วย ยิ่งเรื่องอดีตฝันวันวาน ฉากที่นางเอกปฏิเสธรักพระเอกน่ะ หลอกให้พระเอกไปรอเก้อตั้งสามชั่วโมง”
คนได้ฟังอย่างเธอส่ายศีรษะระอา เพราะพล็อตน้ำเน่าแบบนี้อ่านมาไม่รู้กี่รอบแล้ว
“ตอนอ่านนะ หนูล่ะเกลียดนางเอกจัง แล้วก็สมน้ำหน้าที่โดนพระเอกแก้แค้นเอาคืน ตอนมาเป็นเจ้านายในบริษัท”
“ใช่ ๆ นางเอกใจร้ายสมควรโดนดี”
ลูกคู่รับอีกแล้ว ทำเอาลลินทร์รู้สึกว่าน้าช่างรับเด็กฝึกงานได้ตรงกับคอนเซ็ปสำนักพิมพ์จริง ๆ บ้านิยาย ช่างฝัน มโนเป็นตุเป็นตะ ทั้ง ๆ ที่นิยายเป็นเพียงเรื่องแต่งขึ้น แค่จินตนาการน้ำหมึกบนกระดาษ
“พูดถึงเรื่องผู้หญิงใจร้าย บก.เขาเล่าว่าพี่น่ะเป็นนักหักอกผู้ชายเหรอคะ” หัวข้อสนทนาเปลี่ยนมาที่เธออย่างฉับพลั
“จริงด้วย บก.เขาเล่าว่าตอนพี่อยู่ ม.ต้นขนาดผูกผมเปีย หน้าตามอมแมม ก็ยังเสน่ห์แรงมาก มีเด็ก ม.ปลายเขียนจดหมายรักถึงด้วยเหรอคะ”
ลลินทร์ข้าวแทบติดคอ น้าปากโทรโข่งช่างเล่าเสียจริง ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจจะลืมเรื่องน่าอายครั้งนั้นแล้วเชียว
“หักอกเขาชนิดเอาจดหมายไปปาหน้าเจ้าของ พี่โดนเพื่อนล้อทั้งโรงเรียนเลยพาลเกลียดนิยายรักไปเลยใช่ไหมคะ”
...และอีกหลายอย่างที่เด็กฝึกงานรุมกันถาม จนลลินทร์ต้องตีหน้ายักษ์ทำเสียงเข้มว่า
“เรื่องส่วนตัวขอไม่ตอบ ถ้าขืนใครยังถามอีกเวลาเขียนคอมเม้นท์ในใบผ่านการฝึกงาน จะบอกบก.ให้เขียนแย่ ๆ”
เสียงถามจึงเงียบลงได้บ้าง เหลือแต่อาการลอบยิ้มและหัวเราะคิกคัก เพราะรู้ความลับของสาวห้าวเสียแล้ว
บ่อยครั้งที่ลลินทร์คิดเหมือนกันว่านี่อาจจะเป็นสาเหตุหลักจริง ๆ ของอาการเกลียดนิยายรัก จดหมายรักประหลาดที่ได้มา บทกลอนชวนเลี่ยน พร่ำเพ้อพรรณนาอะไรก็ไม่รู้ แถมคนส่งยังเป็นหนุ่มตัวอ้วนโต หน้าสิวเขรอะ
จำได้ว่าหลังเกิดเรื่องเธอไม่ยอมไปโรงเรียนเป็นอาทิตย์จนอาจารย์ต้องมาตาม ส่วนคู่กรณีก็ได้ข่าวว่าย้ายโรงเรียนไป
กระนั้นเพื่อนก็ยังเล่าเรื่องหนุ่มคนนั้นมาเข้าหู
‘พี่เขาเสียใจมากนะแก เห็นเพื่อนเขาบอกว่าพี่เขาร้องไห้ด้วย แกน่ะใจร้าย’
หมอนั่นร้องไห้แล้วได้ย้ายโรงเรียน ส่วนเธอต้องทนโดนล้ออยู่เป็นปี
อยากจะถามนักว่าใครที่โชคร้ายกว่ากัน
เรื่องรักแสนหวานประเภทจดหมายรัก พระเอกสุดหล่อแบบในนิยายนั้นไม่มีอยู่จริง
...ที่เหลือทิ้งไว้มีแต่ความอับอาย ซ้ำยังโดนกล่าวหาว่าเป็นผู้หญิงใจดำ คนเจอมากับตัวอย่างลลินทร์เท่านั้นจึงจะซึ้ง
