ลวงรัก 6 ผมธนิน…ผัวคุณไง
หลายวันต่อมา
หลังจากวันนั้นฉันก็ไม่ได้เจอกับคุณธนินและผู้หญิงที่อ้างตัวว่าเป็นแม่ฉันอีกเลย เธอคงจะคิดได้แล้วล่ะมั้งว่าไม่ควรเอาฉันไปสวมรอยแต่งงานแทนพี่นก
ดีแล้วล่ะ ฉันจะได้ไม่ต้องลำบากใจ เพราะถึงแม้ฉันจะเคยบอกว่ารู้สึกเสียใจที่แม่ไม่มารับฉันไปอยู่ด้วยตอนที่พ่อเสีย แต่เอาเข้าจริงๆ หากแม่กับพี่นกต้องถูกตามล่า ฉันก็คงจะทนอยู่เฉยไม่ได้
ส่วนคุณธนินเขาก็คงจะรู้ตัวแล้วว่าวันนั้นเขาทักคนผิด โชคดีมากที่เรื่องในห้องลองชุดไม่เป็นข่าวหลุดออกไป ไม่อย่างนั้นฉันคงได้ถูกตราหน้าว่าเล่นชู้กับสามีชาวบ้านแน่ๆ
“เนตรทำไมหน้าซีดจัง ไม่สบายหรือเปล่า?” ฝุ่นทักขึ้นหลังจากที่เราเพิ่งเดินลงจากตึกคณะ
“เปล่านะ หน้าเนตรซีดมากเลยเหรอ”
“อื้อ เนตรไหวไหม ฝุ่นว่านั่งพักก่อนเถอะ”
“เนตรไม่…” ฉันยังพูดไม่ทันจบก็ถูกฝุ่นจูงมือพามานั่งพักที่โต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้
พอได้พักแล้วก็รู้สึกดีขึ้นเหมือนกันนะ มันเหมือนหายใจได้โล่งและเต็มปอดมากขึ้น ใต้ต้นไม้นี่อากาศดีจริงๆ
“เป็นไงบ้าง ดีขึ้นไหม” ฝุ่นยื่นมือมาอังที่หน้าผากฉันอย่างเป็นห่วง
“ดีขึ้นแล้ว จริงๆ เนตรก็ไม่ได้เป็นอะไรเลย ฝุ่นไม่ต้องกังวลนะ”
“แน่ใจ? ช่วงนี้ฝุ่นว่าเนตรดูแปลกๆ ไปนะ”
“ปะ…แปลกยังไงเหรอ”
“ก็ดูเหนื่อยง่ายกว่าเมื่อก่อน เวลากินข้าวก็จะอ้วกตลอดเลยนี่นา แล้วบางทีถ้าตากแดดนานๆ หรือเดินจนเหนื่อยมากๆ เนตรก็จะหน้าซีดเหมือนคนป่วยเลย”
“….” ฉันได้แต่นั่งก้มหน้าเงียบๆ เพราะทุกคำที่ฝุ่นพูดมาเป็นเรื่องจริงทั้งหมด แต่ที่ฉันไม่ยอมรับก็เพราะไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วง
ช่วงนี้ฉันเป็นอะไรก็ไม่รู้ มันเหนื่อยๆ เพลียๆ ตลอดเวลา นอนเท่าไหร่ก็นอนไม่อิ่ม แถมบางทีอาหารที่กินก็เหม็นจนชวนอ้วก หรือว่าฉันจะไม่สบายใจจริงๆ นะ
“ฝุ่นว่าเนตรลองไปหาหมอหน่อยดีไหม จะได้รู้ว่าเป็นอะไร” สีหน้าของฝุ่นในตอนนี้ดูเป็นห่วงฉันมากๆ ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกดีนะที่ได้มีเพื่อนที่จริงใจแบบฝุ่น
“เอาไว้ถ้ายังไม่ดีขึ้นแล้วเนตรจะไปนะ^^” ฉันคลี่ยิ้มบางๆ ให้เพื่อน เพราะไม่อยากให้ฝุ่นเป็นห่วงฉันจนเก็บเอาไปคิดมาก
จากนั้นเราก็แยกย้ายกันกลับบ้าน พอกลับมาถึงฉันก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปทำงานที่ร้านของเฮียเป๊ก วันนี้ลูกค้าเยอะมาก ฉันเดินจนแทบไม่ได้หยุดพักเลย
“เนตรโต๊ะสองด่วนเลย” เสียงเฮียตะโกนเรียกขณะที่ฉันกำลังล้างจาน ฉันเป็นต้องรีบล้างมือแล้วเอาข้าวขาหมูไปเสิร์ฟ
ทว่าในระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้น จู่ๆ ก็รู้สึกว่าหูมันอื้อขึ้นมา สมองโล่งโปร่ง ร่างกายเบาหวิวแล้วจากนั้น…
เพล้งงงง!!
“เฮ้ย! เนตร! เนตร!”
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
ฉันค่อยๆ ได้สติกลับมา ก่อนจะพยายามเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ พอกวาดมองไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ที่บ้านของเฮียเป๊ก
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะเนี่ย…
ฉันดันตัวลุกขึ้นนั่งช้าๆ แล้วทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก่อนจะจำได้ว่าฉันกำลังจะเดินไปเสิร์ฟข้าวขาหมูให้ลูกค้าแล้วหลังจากนั้นโลกมันก็หมุนจน…
อ่า…ฉันเป็นลมหมดสติไปสินะ
“อ้าวเนตร ฟื้นแล้วเหรอ” เจ๊เภาเมียของเฮียที่เพิ่งออกจากครัวรีบตรงมาถามฉันที่นั่งอยู่บนโซฟาห้องนั่งเล่น
พอดีห้องครัวกับห้องนั่งเล่นเฮียอยู่ติดกันน่ะ
“ดีขึ้นแล้วค่ะเจ๊ ขอโทษนะคะที่เนตรเป็นภาระให้” นี่เพิ่งจะสามทุ่มเอง ปกติร้านเฮียปิดเกือบห้าทุ่ม แต่เพราะฉันเป็นลมเฮียเลยต้องปิดร้านไวกว่าปกติ
แล้วแบบนี้จะไม่ให้รู้สึกผิดได้ยังไง…
“ภารงภาระอะไรกัน เจ๊บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าคิดแบบนี้” เจ๊เภาทำเสียงดุ
ฉันได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลับไป ถึงเจ๊จะบอกแบบนั้นแต่ฉันก็อดเกรงใจไม่ได้หรอก
“เจ๊ให้เฮียต้มข้าวให้อยู่ รอกินก่อนสิแล้วค่อยกลับ หรือจะอยู่นอนที่นี่สักคืนก็ได้นะ เผื่อกลางค่ำกลางคืนเป็นอะไรขึ้นมาจะได้ช่วยเหลือกันทัน”
“ไม่เป็นไรค่ะเจ๊ เดี๋ยวเนตรกลับเลยดีกว่า พอดีมีรายงานต้องทำน่ะจ้ะ” ฉันเลือกที่จะโกหกออกไป เพราะไม่อยากรบกวนเจ๊กับเฮียไปมากกว่านี้
พ่อฉันสอนเสมอว่าให้รู้จักเกรงใจคน โดยเฉพาะคนที่ดีกับเรามากๆ หากไม่คอขาดบาดตายก็อย่าทำให้เขาเดือดร้อน
“งั้นรอเอาข้าวต้มกลับไปกินสิ ห้ามปฏิเสธนะ ไม่งั้นเจ๊ตีจริงๆ ด้วย” เจ๊เภาพูดดักราวกับรู้ทันว่าฉันต้องปฏิเสธ ก่อนจะลุกเดินเข้าไปในครัว
ฉันทำได้แค่นั่งรอเจ๊เอาข้าวต้มออกมาให้ โดนพูดดักไว้หมดแล้วนี่นา ใครจะกล้าปฏิเสธกันล่ะ
รอไม่นานเจ๊ก็ออกมาพร้อมกับถุงข้าวต้ม รวมไปถึงพวกยาสามัญที่จำเป็นต่างๆ
“เจ๊เอาไรมาเยอะแยะคะเนี่ย”
“เอาหน่าๆ เผื่อกลางคืนปวดหัวหน้ามืดอีกจะได้มียากิน เอาไปๆ” เจ๊ว่าพร้อมกับพยายามยัดถุงพวกนั้นใส่มือฉัน ฉันจึงต้องรับไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้
เป็นอย่างที่ฉันบอกไหมล่ะว่าเจ๊กับเฮียใจดีเสมอ
“ขอบคุณนะจ๊ะเจ๊”
จากนั้นฉันก็กลับห้องพักของตัวเองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านของเฮีย พอกลับมาถึงก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเพราะที่หน้าห้องมีซองเอกสารสีน้ำตาลถูกสอดเอาไว้อยู่ใต้ประตู
ฉันไขกุญแจเปิดประตูแล้วหยิบมันเข้ามาในห้อง ก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟาแล้วชั่งใจว่าจะเปิดดูดีหรือเปล่า ฉันไม่เคยสั่งอะไรเลย และก็ไม่น่าจะมีใครส่งอะไรมาให้ฉันได้
แต่ชื่อตรงหน้าซองก็ระบุชื่อฉันอย่างชัดเจน แปลว่าก็ต้องส่งมาให้ฉันน่ะสิ
งั้นคงไม่เป็นไรหรอกถ้าจะเปิดดู…
เมื่อคิดได้แบบนั้นฉันจึงเปิดซองนั่นออกมาดู ข้างในใส่กระดาษสีขาวเอาไว้ ฉันค่อยๆ หยิบออกมาอ่าน ก่อนที่หัวใจกระตุกวูบอย่างรุนแรงเมื่อเห็นข้อความนึงบนเอกสารที่ระบุไว้ชัดเจนว่า…
นางสาวเนตรชนก ระวีแสง เป็นบุตรสาวของนางชนกนันท์ พรศิริโดยสายเลือด
ผะ…ผลตรวจดีเอ็นเอนี่มันอะไรกัน…
ถึงแม้ก่อนหน้านี้ฉันจะบอกว่าแนวโน้มที่ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นแม่แท้ๆ มีค่อนข้างสูง ทว่าพอได้เห็นหลักฐานที่ยืนยันชัดเจนแบบนี้แล้วทำไมฉันถึงยังตกใจและรู้สึกทำตัวไม่ถูกแบบนี้ก็ไม่รู้
ครืด~ ครืด~
ระหว่างนั้นโทรศัพท์มือถือของฉันก็สั่น พอหยิบขึ้นมาดูก็ปรากฏว่าเป็นข้อความจากเบอร์แปลก ฉันลังเลเล็กน้อย แล้วกดเปิดอ่าน
‘เนตรอ่านผลตรวจแล้วใช่ไหมลูก แม่เป็นแม่ของหนูจริงๆ นะ หนูตัดสินใจได้หรือยัง เดี๋ยวอีกสองวันแม่จะแวะไปหานะลูก’
เฮ้อ…
หายไปตั้งหลายวันฉันก็นึกว่าแม่จะล้มเลิกความคิดนี้แล้วซะอีก ทำไมถึงอยากให้ฉันไปสวมรอยแต่งงานแทนพี่นกนักนะ…ทำไมไม่ยอมบอกว่าที่สามีของพี่นกไปตรงๆ
ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ
สองวันต่อมา
แม่มาหาฉันที่ห้องตามคำที่บอกจริงๆ แต่มาในสภาพที่…ทำเอาฉันตกใจและช็อกสุดชีวิต
“ทำไมเขาต้องทำกับแม่ถึงขนาดนี้ด้วยคะ” ฉันร้องถามด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าแม่มีรอยฟกช้ำตามใบหน้าและตามร่างกายอยู่หลายจุด
“ก็แม่บอกเนตรแล้วไงลูกว่าถ้ายกเลิกหรือเลื่อนงานแต่งแม่กับพี่นกก็จะโดนอะไรแบบนี้..”
“แล้วตอนนี้พี่นกอยู่ที่ไหนคะ” ที่ฉันถามเพราะวันนี้แม่มาคนเดียว พี่นกไม่ได้มาด้วย คงไม่ได้โดนซ้อมหนักจนถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาลหรอกใช่ไหม
“นกไม่เป็นอะไรลูก มันแค่สั่งสอนแม่เพื่อบีบให้พี่นกไม่เลื่อนงานแต่ง เนตรช่วยแม่นะลูก แค่สวมรอยแต่งงานแทน แล้วจากนั้นแม่จะหาจังหวะพาเนตรออกมาเอง”
“….”
หลายวันหลังจากนั้น
ฉันมองคฤหาสน์หลังใหญ่ตรงหน้า ขณะที่รถตู้คันหรูกำลังเลี้ยวเข้าไปจอดด้วยความตื่นเต้นปนประหม่า ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างเหนื่อยหน่าย
ใช่ค่ะ สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจตอบตกลงช่วยแม่กับพี่นก
ฉันไม่มีทางเลือกจริงๆ เพราะถ้าฉันไม่ยอม แม่กับพี่นกก็ต้องถูกซ้อม และที่แย่ไปกว่านั้นคือถ้าพี่นกไม่ได้ไปผ่าตัด อาการของเธอก็จะแย่ลงเรื่อยๆ และอาจร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต
แล้วแบบนี้จะให้ฉันปฏิเสธได้ยังไง
แม้การหลอกลวงจะไม่ใช่สิ่งที่สมควรทำ แต่ฉันก็พิจารณาดูแล้วว่ามันไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย ฉันแค่สวมรอยแต่งงานแทนในช่วงที่พี่นกทำการผ่าตัดและรักษาตัว พอเธอดีขึ้นและสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ทุกอย่างก็เป็นอันจบ
ครืด~
“เชิญครับคุณเนตร” ประตูรถถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงของผู้ชายคนนึงที่เพิ่งวิ่งออกมา
“ขะ…ขอบคุณค่ะ” ฉันกล่าวขอบคุณแล้วหันไปมองแม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ แม่ยิ้มแล้วพยักหน้าให้ฉันเบาๆ เป็นการบอกให้ฉันลงไป
“รีบกลับมานะคะ”
“จ้ะ”
จากนั้นฉันก็ก้าวขาลงจากรถ กำลังจะเดินอ้อมไปเอากระเป๋าเสื้อผ้าที่อยู่ทางด้านหลัง ทว่าผู้ชายคนที่เปิดประตูให้ก็ชิงถือเข้าไปให้ซะก่อน
ฉันพยักหน้าแทนคำขอบคุณแล้วรีบเดินตามเขาเข้าไป เมื่อมาถึงข้างในฉันก็กวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยความอึ้งปนชื่นชม คฤหาสน์หลังนี้ทั้งกว้างใหญ่ แถมยังตกแต่งอย่างสวยงาม ดูสบายตา ไม่ให้ความรู้สึกอึดอัดดีแฮะ
“กลับมาแล้วเหรอ” ระหว่างนั้นเสียงทุ้มเส้นหนึ่งก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ฉันตกใจรีบหันไปมองแต่เพราะเขายืนใกล้ฉันมากจึงทำให้ใบหน้าของฉันกระแทกเข้ากับแผงอกแกร่งอย่างจัง “ตกใจอะไร หรือว่าไปทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีมา?”
ฉันเงยหน้ามองเจ้าของคำพูดนั้น ก่อนที่ดวงตาจะเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดชีวิต หัวใจกระตุกวูบรุนแรงและดิ่งลงสู่เหวลึก
“คะ…คุณ…คุณธนิน!”
“ใช่ ผมธนิน…ผัวคุณไง”
“!!!”
