บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 คนฉวยโอกาส

บทที่ 1 คนฉวยโอกาส

"แกเป็นไรวะไอ้จูน ทำไมทำหน้างั้น" ติวเตอร์เพื่อนสนิทคนเดียวของฉันเอ่ยขึ้นเมื่อฉันยืนแข็งทื่อมือทั้งสองข้างสั่นเทาหลังจากก้าวเข้ามาในบริษัทพีเจสปอร์ต

ก็ฉันตื่นเต้นนี่นามันเป็นงานแรกของฉันเลยนะ แล้วอีกอย่างมันก็เป็นงานที่ยากสุดๆเลยด้วย หลังจากที่ได้รับมอบหมายงานจากพี่จอยหัวหน้าที่บริษัทฉันกับเตอร์ช่วยกันหาข้อมูลสองคืนเต็มๆ

ตอนแรกพี่จอยให้สัมภาษณ์แค่นักแข่งรถที่ชื่อภาคินคนเดียวแต่อยู่ๆก็กลับคำบอกให้มาสัมภาษณ์ทั้งสามคนเลยทีเดียวแต่ขอเพิ่มบทสัมภาษณ์ของภาคินเป็นพิเศษเพราะช่วงเดือนหน้าเขาใกล้จะลงแข่งรอบชิงระดับประเทศเพื่อไปแข่งต่อในต่างประเทศ

หลังจากที่สืบประวัติและข่าวมาคร่าวๆก็ขนลุกใช่เล่น สามคนนี้ธรรมดาซะที่ไหน แต่ละคนนิสัยแตกต่างโดยสิ้นเชิง แล้วเด็กฝึกงานสองคนอย่างฉันกับเตอร์จะทำสำเร็จไหมเนี่ย TT

"เชิญด้านในได้เลยค่ะ" เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นทำให้ฉันหลุดจากภวังค์ความคิด ฉันสะบัดไล่ความกังวลออกไปเพราะตอนนี้มันถึงเวลาที่ฉันต้องจริงจังกับงานแล้ว

ถ้าฉันทำงานนี้ให้สำเร็จ คนที่เคยดูถูกฉันกับเตอร์ว่าเป็นเด็กฝึกงานไร้ประสิทธิภาพคงต้องถอนคำพูดและมองพวกฉันใหม่

"ลุย!" เตอร์บอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทำให้ฉันพยักหน้ารับพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าส่วนมืออีกข้างก็ค่อยๆหมุนลูกบิดประตูเข้าไป

ฉันเดินนำเข้ามาในห้องรับรองก็พบว่ามีผู้ชายหน้าตาดีสามคนกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าฉันเขามองด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ทำให้ฉันเดินเข้าไปหาและโค้งศีรษะลงอย่างนอบน้อมเพราะพวกเขาอายุมากกว่าฉันสามปี แล้วอีกอย่างถ้าพวกเขาเอ็นดูฉันกับเตอร์พวกเขาก็อาจจะให้ความร่วมมือในงานต่อๆไปก็ได้

"สวัสดีค่ะ / สวัสดีครับ" ฉันกับเตอร์ยกมือไหว้ตามมารยาทก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามพวกเขา

"เด็กใหม่หรอ" ผู้ชายคนที่ชื่อภูผาเอ่ยถามฉันด้วยท่าทีเป็นมิตรทำให้ฉันยิ้มตอบกลับไป ฉันศึกษาประวัติของพวกเขามาค่อนข้างละเอียดเลยรู้ว่าแต่ละคนคือใครและมีนิสัยเช่นไร

"ใช่ค่ะ พวกเราเป็นนักศึกษาฝึกงานค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ" ฉันบอกด้วยรอยยิ้มแต่อีกสองคนกลับนั่งนิ่งมีสีหน้าเบื่อหน่ายอย่างกับอมทุกข์มาสิบปี

สู้เว้ย!

"ฉันขอบรีฟคร่าวๆกับพวกคุณก่อนนะคะ ไอ้เตอร์! บรีฟสิเว้ยนั่งนิ่งทำไม" ฉันหันไปแว้ดใส่เตอร์ที่เอาแต่นั่งตัวแข็งทื่อมองทั้งสามคนด้วยความตื่นตระหนกโดยไม่พูดอะไรออกมา

"อะเอ่อ...คำถามจะมีสามช่วงนะครับ ช่วงแรกจะเป็นการแนะนำตัวเองธรรมดา ช่วงสองจะเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว ขอโทษนะครับอาจจะมีคำถามที่ถามถึงเรื่องครอบครัวพวกคุณสะดวกไหมครับ"

"สะดวก" ภูผาตอบ

"อืม" ภูริเอ่ยขึ้นอีกเสียง

"ไม่" ฉันสะดุ้งเมื่ออยู่ๆคนที่ขื่อภาคินก็เอ่ยเสียงดังแถมยังจ้องหน้าฉันกับเตอร์ด้วยแววตาแข็งกร้าว

"เอ่อ...ถ้าอย่างนั้น..." ฉันเอ่ยเสียงตะกุกตะกักเมื่อได้รับคำปฏิเสธ

จะทำยังไงดีล่ะ นี่เป็นคำถามที่พี่จอยอยากได้มากๆเลยนะ!

"สะดวกหมดทั้งสามคนนี่แหละ ไอ้คินเฮียขอร้องมึงแล้วนะเว้ย"

"ก็มันเป็นเรื่องส่วนตัวปะวะ"

"ถ้าอย่างนั้นคำถามไหนที่ไม่สะดวกก็ไม่ต้องตอบก็ได้ครับ"

"เอางั้นก็ได้ ให้ความร่วมมือหน่อยเหอะคินจะได้เสร็จไวๆ"

"ส่วนคำถามพาร์ทสุดท้ายจะเป็นความคาดหวังในอนาคตนะครับ มีการวางแผนใช้ชีวิตยังไงบ้าง ตอบได้ฟรีสไตล์เลยครับ"

"อืม"

"ถ้าอย่างนั้นก็ตามนี้นะครับ รบกวนพวกคุณช่วยติดอุปกรณ์กับไมค์ไว้ด้านหลังเสื้อด้วยนะครับ" เตอร์บอกอย่างใจเย็นและส่งอุปกรณ์ให้ทั้งสามคนติดไว้ที่ด้านหลังของเสื้อ

ส่วนฉันเองก็ได้แต่บีบมือตัวเองแน่นเมื่อเจอสายตาของคุณภาคินที่จ้องมองฉันราวกับจะฆ่ากัน นี่ฉันทำอะไรให้เขาไม่พอใจรึเปล่าเนี่ย

ฉันกับเตอร์ช่วยกันจัดการอุปกรณ์และตั้งกล้องก่อนจะเริ่มสัมภาษณ์โดยที่ฉันจะเป็นคนถามคำตอบอยู่หลังกล้องเพื่อให้พวกเขาตอบ การสัมภาษณ์ครั้งนี้จะเป็นแนวสบายๆที่อยากให้ผู้ถูกสัมภาษณ์รู้สึกผ่อนคลายมากที่สุด แต่ทำไมฉันถึงได้รู้สึกอึดอัดจังเลยนะ…

โอ๊ย! อยากกลับบ้านแล้วฮือออ

"พร้อมนะครับ สาม สอง หนึ่ง เริ่ม!" เมื่อเตอร์นับเวลาถอยหลังฉันจึงเริ่มถามคำถามแรกซึ่งเป็นคำถามการแนะนำตัวทั่วไป

"ช่วยแนะนำตัวกันสักนิดนึงนะคะสามหนุ่มนักแข่งรถสุดฮอตตัว ภ." ฉันเอ่ยอยู่หลังกล้อง แม้ว่าฉันจะไม่ได้ออกกล้องแต่ยังไงแล้วน้ำเสียงและท่าทางของฉันก็ต้องทำให้พวกเขาผ่อนคลายด้วย

"สวัสดีครับพวกเรา สามแสบตัว ภ. ครับ ภาคินครับ ภูริครับ ภูผาค้าบบ"

ฉันยังคงดำเนินการสัมภาษณ์ต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงคำถามพาร์ทสุดท้ายที่เป็นคำถามเกี่ยวกับความคาดหวังในอนาคตที่พวกเขาอยากจะทำมัน คำถามก่อนหน้านั้นพวกเขาทั้งสามคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีและตอบออกมาได้น่าประทับใจมาก ฉันไม่แปลกใจเลยนอกจากหน้าตาแล้วพวกเขายังมีความเป็นมืออาชีพมากๆ

แม้ว่าในตอนแรกจะทุลักทุเลไปหน่อยอะนะ

"มาถึงคำถามสุดท้ายแล้วนะคะ ในอนาคตวางแผนชีวิตกันยังไงบ้างคะ" เมื่อฉันเอ่ยจบกล้องก็แพลนไปที่ภาคินซึ่งเป็นคนแรกในการตอบคำถามนี้

"ผมยังไม่ได้วางแผนจริงจังเท่าไหร่นะครับ แค่คิดว่าอยากมีเงินเยอะๆ อยากสร้างครอบครัวที่อบอุ่น อีกประมาณสิบปีข้างหน้าผมอาจจะเลิกเป็นนักแข่งแล้วก็เลี้ยงลูกอยู่บ้านก็ได้ แต่มันก็ยังไม่แน่นอนผมขอแค่ทุกวันนี้ทำงานอย่างเต็มที่ก็พอแล้วครับ" ฉันชะงักไปกับประโยคที่เขาเอ่ย มันแสนจะเรียบง่ายแต่กลับลึกซึ้งคนอย่างเขาฉันไม่คิดเลยว่าจะมีมุมนี้กับเขาด้วย

"แล้วคุณภูริล่ะคะได้วางแผนอนาคตไว้ยังไงบ้างคะ..." ฉันหันไปถามภูริหลังจากที่ภาคินเอ่ยจบและตามด้วยภูผา ซึ่งใช้เวลาไม่นานเพียงสิบนาทีการสัมภาษณ์ก็เสร็จเรียบร้อย

"ฝากติดตามผลงานของพวกเราด้วยนะครับ" ทั้งสามคนเอ่ยปิดรายการก่อนที่เตอร์จะส่งสัญญาณมือนับถอยหลังและในที่สุดก็เสร็จสิ้น

"คำถามที่จะสัมภาษณ์มีเพียงเท่านี้ครับ เอ่อแต่คุณภาคินครับผมขอรบกวนสัมภาษณ์คุณเพิ่มเติมหน่อยนะครับ เรื่องที่คุณจะลงแข่งแมตช์สำคัญในเดือนหน้า"

"ไม่ว่าง" ฉันกับเตอร์มองหน้ากันพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ

แต่คำถามพาร์ทส่วนตัวของเรามันสำคัญมากเลยนะ...

"ขอเวลาไม่นานเลยค่ะคุณภาคิน แค่สิบห้านาทีเท่านั้นค่ะ นะคะคุณภาคิน"

"อยากสัมภาษณ์ก็ไปนัดวันอื่น วันนี้ฉันไม่ว่างแล้ว" เขาตอบเสียงนิ่งและลุกขึ้นหยิบเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำขึ้นมาใส่

"ตะแต่..."

"ไม่เป็นไรจูน เราส่งคลิปสัมภาษณ์นี้ให้พี่จอยไปก่อน แล้วก็ค่อยนัดอีกรอบก็ได้"

"เอางั้นหรอ..."

"เอ่อ...ขอบคุณพวกคุณมากเลยนะคะที่สละเวลาให้สัมภาษณ์กับทิงเกอร์เบลนิวส์" ฉันหันไปขอบคุณกับทั้งสามคนซึ่งพวกเขาเองก็พยักหน้ารับยกเว้นแต่นายภาคิน!

นี่เขาจะหยิ่งไปถึงไหนเนี่ย!!

"ปีสี่แล้วใช่ไหมเนี่ย" ภูผาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นว่าฉันกับเตอร์กำลังช่วยกันเก็บของ

"ใช่ค่ะ^^"

"ฝึกงานก็สู้ๆนะ ได้ข่าวว่าฝึกงานกับบริษัทนี้โหดใช้ได้"

"เหนื่อยงานไม่เคยท้อ มีแต่เหนื่อยคนนี่แหละค่ะ" ฉันตอบออกไปตามตรงตั้งแต่ฉันเข้ามาฝึกงานก็เจอกับคำดูถูกสารพัด ความโหดที่ว่าก็คือคนไม่ใช่งาน คนที่บริษัทไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันทำไมถึงชอบดูถูกเด็กฝึกงานกันนะ

"หิวข้าวว่ะ ไปหาไรกินกัน" เตอร์บอกเมื่อเก็บของเสร็จเรียบร้อย

"ไป~ หิวแล้วเหมือนกัน" ฉันบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนลงพร้อมกับเข้าไปกอดแขนเตอร์อย่างที่เคยทำ

ฉันกับเตอร์เราเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนประถมแล้วฉันกับมันบ้านอยู่ใกล้กันไปโรงเรียนพร้อมกันแถมเข้ามหา'ลัยก็ยังเข้าคณะเดียวกันอีกจนคนรอบข้างมองว่าฉันเป็นแฟนมันไปแล้ว

แต่ว่าเตอร์น่ะมีแฟนแล้วสวยมากซะด้วยเรียนอยู่คณะบริหารแฟนเตอร์ก็ฝึกงานเหมือนกันเลยทำให้ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอกันสักเท่าไหร่

ส่วนฉันน่ะหรอ โสดวนไปจ้าาาา

"ขอตัวก่อนนะคะ" ฉันบอกอย่างนอบน้อมก่อนจะเดินออกจากห้องรับรอง ในที่สุดงานวันนี้ก็เสร็จสักที งานแรกของฉันผ่านไปได้ด้วยดี พรุ่งนี้ต้องเอาไปอวดพี่จอยสักหน่อยแล้วสิ ><

"แกอยากกินไร" เตอร์ถามฉันหลังจากที่เราเดินออกมาได้สักพัก

"อยากกินก๋วยเตี๋ยวอะ แต่ขอเข้าห้องน้ำก่อนนะอั้นมาตั้งแต่แรกละ"

"เออ งั้นฉันไปรอที่รถนะ"

"เออเดี๋ยวตามออกไป" ฉันบอกพร้อมกับหมุนตัวเดินไปยังห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านในขวาสุด ฉันอั้นมันมาตั้งแต่ก่อนจะเริ่มถ่ายงานก็เพราะว่าตื่นเต้นยังไงล่ะ นี่มันงานชิ้นแรกของฉันนี่นา

ฉันเข้าไปในห้องน้ำเพื่อจัดการทำธุระส่วนตัวของตัวเองให้เสร็จสรรพในหัวก็คิดถึงเรื่องงานไปพรางๆคำถามพาร์ทพิเศษของนายภาคินฉันก็ไม่รู้ว่าจะจองคิวถ่ายได้วันไหน ก็เขาน่ะคิวทองซะขนาดนั้น

ฉันสะบัดไล่ความคิดออกและเดินออกจากห้องน้ำเพื่อจะไปล้างมือแต่กลับต้องชะงักเมื่อสายตาของฉันหันไปเป็นสัตว์ตัวใหญ่ที่เกาะอยู่บนผนังซึ่งห่างจากฉันเพียงแค่หนึ่งเมตร

โอ้!

มาย!

ก๊อต!!!

"กรี๊ดดดดดด!!" ฉันร้องออกมาสุดเสียงเมื่อเห็นตุ๊กแกอยู่ตรงหน้า มันเป็นสัตว์ที่ฉันเกลียดและขยะแขยงที่สุดในโลก

ฮือออ อยากกัดลิ้นตาย TT

พลั่ก!

ประตูห้องน้ำหญิงถูกเปิดออกพร้อมกับร่างสูงของใครคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาซึ่งเขาก็คือภาคินคนที่ฉันเพิ่งนึกถึงไปเมื่อครู่

"เกิดอะไรขึ้น!" เขาถามสีหน้าจริงจังหลังจากวิ่งเข้ามาหาฉัน

พรึ่บ!

ฉันตรงเข้าไปสวมกอดเขาพร้อมกับซบใบหน้าซบที่อกของเขาทันที ในตอนนี้ฉันทำอะไรไม่ถูกรู้แค่ว่าไม่อยากจะเห็นไอ้ตัวนั้น มันทั้งน่าเกลียดน่ากลัวและน่าขยะแขยง

"ฮึก...ฮืออ ตุ๊กแก มันอยู่ตรงนั้นฮือออ" ฉันร้องไห้ออกมาอย่างหนักเมื่อหาที่พักพิงได้ซึ่งเขาเองก็ยอมให้ฉันกอดอยู่อย่างนั้นแม้ว่าจะตกใจกับการกระทำของฉันก็ตาม

"โอ๊ะ! ก็นึกว่าอะไร"

"อื้ออ อย่าเพิ่ง ฮืออ จูนกลัวจูนไม่อยากเห็น" ฉันรีบกอดเขาแน่นเมื่อเขาทำท่าจะผลักตัวฉันออก

"ยัยบ้านี่ งั้นก็หลับตาเอาไว้" เขาพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดแต่ฉันก็ยังคงกอดเขาเอาไว้ดังเดิม ในตอนนี้เขาเป็นที่พึ่งสุดท้ายของฉันแล้วแขนขาก็สั่นกลัวไปหมด

"หลับตาไว้และเดินตามฉันออกมา" เสียงเข้มเอ่ยอย่างอ่อนโยนพร้อมกับลูบที่เรือนผมของฉันเบาๆ เขาค่อยๆเดินนำออกจากห้องน้ำโดยที่ฉันก็เดินตามเขาไปด้วย และในที่สุด...

"ลืมตาได้แล้ว" ฉันลืมตาขึ้นช้าๆก็พบว่าในตอนนี้ฉันออกมาจากห้องน้ำนั้นเรียบร้อย ฉันเงยหน้ามองคนตัวโตที่จ้องมองฉันด้วยสายตาแข็งกร้าวทำให้ฉันรีบผละออกจากอ้อมกอดของเขาทันที

"เอ่อ...ขะ ขอบคุณค่ะคุณภาคิน" ฉันเอ่ยเสียงอ้อมแอ้มเมื่อได้สติ

"แค่คำขอบคุณคงไม่พอมั้ง" เขาเลิกคิ้วขึ้นซึ่งนั้นทำให้ฉันมองเขาด้วยความสงสัย

แล้วเขาต้องการอะไรล่ะ?

"คุณต้องการอะไรคะ" เขาไม่ตอบแต่เดินเข้ามาใกล้ฉัน มือหนาปาดน้ำตาของฉันออกจากพวงแก้มและเคลื่อนใบหน้าหล่อเหลาเข้ามาจนฉันแทบหยุดหายใจ

เขาจะทำอะไร...

"เลิกร้องไห้ได้แล้ว" เขาเอ่ยแนบชิดที่แก้มของฉันเบาๆ

"คะคุณจะทำ...อื้อ!!!" ฉันเบิกตากว้างเมื่ออยู่เขาก็กดริมฝีปากลงมาประกบที่ริมฝีปากของฉันโดยไม่ทันตั้งตัว

พรึ่บ!

เมื่อฉันจะผลักเขาออกเจ้าตัวก็ล็อกตัวของฉันไว้และดันให้ติดกำลังพร้อมกับลงน้ำหนักอย่างหนักหน่วง

"อื้ออ!!!" มือของฉันทุบที่อกแกร่งเพื่อประท้วงขอให้เขาหยุดการกระทำน่ารังเกียจแบบนี้สักที

พลั่ก!

ฉันรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีผลักคนตัวโตออกไปอีกฝั่งพร้อมกับขยับตันหนีให้ห่างจากเขาได้มากที่สุด

"คุณทำบ้าอะไร!!"

"ก็ไม่อยากได้คำขอบคุณ" เขาตอบกลับหน้านิ่งอย่างไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด

"คุณมัน...คนฉวยโอกาส โรคจิต!!"

หมับ!

"อ๊ะ!" คนตัวโตตรงเข้ามาบีบแขนทั้งสองข้างของฉันไว้ด้วยความโกรธจัด

"จะตกใจอะไรนักหนาวะ!"

"ปล่อยฉันนะ! ไอ้คนทุเรศ! โรคจิต!" ฉันตะคอกกลับไปสุดเสียงอย่างไม่ยอมแพ้ คนอย่างเขามันน่ารังเกียจกว่าตุ๊กแกที่ฉันเห็นเมื่อกี้เสียอีก!

"ไอ้คิน มึงทำอะไร" ราวกับเสียงสวรรค์ที่ช่วยชีวิตของฉันไว้เมื่อภูริเดินเข้ามาทำให้นายภาคินยอมปล่อยตัวฉันให้เป็นอิสระ

ฉันรีบไปยืนอยู่ด้านหลังของนายภูริด้วยความหวาดกลัวซึ่งก็พบกับสายตาดุของภาคินที่จ้องฉันอย่างกับจะฆ่ากันให้ตายไปข้าง

ฉันไม่สามารถร่วมงานกับเขาได้อีกแล้ว!

ผู้ชายคนนี้...เขามันชอบฉวยโอกาส!

"ไอ้คินกูถาม"

"เปล่า" เขาตอบหน้าตาย

"เธอเป็นอะไรไหม" เขาหันมาถามฉันด้วยสีหน้าเป็นห่วงซึ่งฉันก็ส่ายหน้าตอบกลับไปแทนคำพูด

"ขะ ขอตัวก่อนนะคะ" ฉันเอ่ยก่อนจะรีบวิ่งหนีออกไปในที่สุด ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วแต่เห็นใบหน้าและแววตาร้ายกาจของนายภาคินฉันก็รังเกียจเต็มทน

ฉันวิ่งออกมานอกตึกก็พบว่ารถของเตอร์นั้นจอดรออยู่แล้วฉันจึงรีบขึ้นรถไปในทันที

"ทำไมช้าจังวะ"

"มะ...ไม่มีอะไร คนเยอะน่ะ" ฉันเลือกที่จะโกหกเพราะไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนั้นอีก

"สรุปกินเตี๋ยวใช่ไหม เอาร้านเดิมนะใกล้ดี"

"อืม เอาร้านนั้นแหละ" ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แถมก็ยังตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่หาย ฉันไม่เข้าใจว่าเขาทำแบบนี้ทำไมทั้งๆที่ในตอนแรกฉันเกือบจะเปลี่ยนความคิดว่าเขานั้นเป็นคนอ่อนโยนแล้วแท้ๆ

ที่เขามาช่วยฉันไว้คงเพราะหวังจะฉวยโอกาสจากฉันอยู่สินะ

ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ! รู้แบบนี้น่าจะหยิบไม้มาฟาดเขาสักที ฮึ่ย!!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel