ตอนที่ 10: โอกาสที่ฟ้าสร้าง สะพานเชื่อมใจ
Part 1: การตัดสินใจของฟ้า
หลังจากที่ฟ้ารดาส่งข้อความตอบกลับอัญชิสาไปแล้ว เธอก็รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ความกลัวที่เคยเกาะกุมหัวใจมานานหลายปีได้แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นท้าทาย เธอไม่ใช่เด็กสาวที่ได้แต่รอคอยอย่างเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว แต่เธอคือศิลปินที่พร้อมจะสร้างสรรค์เส้นทางของตัวเอง
ภีมวัฒน์ที่นั่งมองเพื่อนสนิทอยู่ฝั่งตรงข้าม ยิ้มออกมาอย่างพอใจเมื่อเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของฟ้ารดา จากที่เคยสับสนและหวาดหวั่น บัดนี้มันกลับเต็มไปด้วยประกายของความมุ่งมั่นและความคิดสร้างสรรค์
"ดูหน้าแกสิ เหมือนศิลปินเอกกำลังจะได้ไอเดียสร้างผลงานชิ้นโบแดงเลยนะ" ภีมแซว "คิดอะไรออกล่ะสิ"
"ฉันคิดว่า... ฉันจะลองสร้างสะพานดู" ฟ้าตอบ น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น "สะพานที่จะเชื่อมโลกของฉันกับโลกของเขา... โลกของศิลปะกับโลกของวิทยาศาสตร์"
ภีมเลิกคิ้วอย่างสนใจ "น่าสนใจ... แล้วสะพานที่ว่านั่นมันหน้าตาเป็นยังไง"
ฟ้านิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเธอทอประกายวิบวับขณะที่สมองกำลังประมวลผลภาพในจินตนาการ "ฉันกำลังทำโปรเจกต์ภาพถ่ายชุดใหม่อยู่พอดี เป็นโปรเจกต์เกี่ยวกับ 'กายวิภาคของความรู้สึก' (The Anatomy of Feelings)... มันคือการตีความอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ออกมาเป็นภาพถ่ายเชิงสัญลักษณ์ โดยใช้ร่างกายของมนุษย์เป็นสื่อกลาง"
"โอ้โห... ฟังดูโคตรอาร์ตเลยแม่" ภีมผิวปาก "แล้วมันไปเกี่ยวกับคุณหมอของแกได้ยังไง"
"ก็ตรงนี้แหละ" ฟ้ายิ้มกว้างขึ้น "ฉันอยากได้ที่ปรึกษา... ที่ปรึกษาที่มีความรู้เรื่องกายวิภาคศาสตร์อย่างลึกซึ้ง เพื่อให้ภาพของฉันมันออกมาสมจริงและมีความหมายมากขึ้น ไม่ใช่แค่สวยงามแต่เพียงอย่างเดียว... ฉันอยากให้ภาพของฉันมันสื่อสารได้ถึงระดับเซลล์ ถึงระดับเส้นประสาทที่รับความรู้สึก... และฉันไม่คิดว่าจะมีใครเหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากไปกว่านักศึกษาแพทย์ปีสามที่เก่งที่สุดในรุ่นอีกแล้ว"
ภีมถึงกับอ้าปากค้าง ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา "ร้ายกาจมาก! ยัยฟ้ารดา! แกมันร้ายกาจที่สุด! นี่คือแผนการที่แยบยลและสมบูรณ์แบบมาก... การใช้เรื่องงานมาเป็นข้ออ้างในการเข้าหาเนี่ยนะ ฉันขอคารวะเลยจริงๆ"
"มันไม่ใช่แค่ข้ออ้างนะภีม" ฟ้าพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น "ฉันอยากทำโปรเจกต์นี้จริงๆ และฉันก็เชื่อว่ามุมมองที่ละเอียดอ่อนและเป็นวิทยาศาสตร์ของอิงจะช่วยยกระดับงานของฉันได้... มันคือการสร้างโอกาสให้เราได้ใช้เวลาร่วมกัน ได้เรียนรู้โลกของกันและกันมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องรู้สึกกดดันหรือกระอักกระอ่วนใจ"
"ฉันเข้าใจแล้ว" ภีมพยักหน้าอย่างชื่นชม "มันคือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ความสัมพันธ์ของพวกแกได้เติบโตสินะ... ฉลาดมากเพื่อน"
"ฉันแค่อยากจะลองดูสักครั้ง... ลองใช้ศิลปะที่เคยเป็นเกราะป้องกันความเจ็บปวดของฉัน มาเป็นสะพานเพื่อสร้างอนาคตดูบ้าง" ฟ้าพูด แววตาของเธอมองออกไปไกล "และฉันก็หวังว่า... เขาจะยอมเดินข้ามสะพานนี้มาหาฉัน"
Part 2: การตอบรับของอิง
ในขณะเดียวกัน ที่โรงอาหารคณะแพทยศาสตร์ อัญชิสากับมินตราก็ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะเดิม บทสนทนาที่เปิดใจเมื่อครู่ได้ทลายกำแพงบางอย่างระหว่างเพื่อนสนิททั้งสองลง ทำให้อัญชิสารู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด
หลังจากที่ได้ระบายความรู้สึกทั้งหมดให้มิ้นท์ฟัง และได้รับการยืนยันว่าเธอไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง อิงก็รู้สึกว่าตัวเองมีเรี่ยวแรงที่จะเผชิญหน้ากับโลกความจริงมากขึ้น
"แล้วแกจะเอายังไงต่อ" มิ้นท์ถามขึ้นหลังจากที่ทั้งคู่นั่งเงียบกันไปพักหนึ่ง "จะปล่อยให้มันเป็นแค่ความสัมพันธ์ในแชท หรือจะลองพัฒนาไปมากกว่านี้"
"ฉัน..." อิงลังเล "ฉันก็อยากจะเจอเขาอีก... แต่ฉันไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี"
ความกลัวที่จะเป็นฝ่ายเริ่มต้นยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับเธอ การเป็นฝ่ายส่งข้อความไปหาก่อนก็ถือเป็นการทำลายกำแพงครั้งใหญ่แล้ว แต่การที่จะต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนไปไหนมาไหนนั้น... มันดูจะเป็นเรื่องที่ยากเกินไปสำหรับคนที่เคยชินกับการเป็นฝ่ายถูกกระทำมาตลอดชีวิต
ติ๊ง!
เสียงแจ้งเตือนข้อความใหม่จากโทรศัพท์ของอิงดังขึ้น ทำลายความเงียบระหว่างคนทั้งสอง อิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูด้วยหัวใจที่เต้นระรัว... เป็นข้อความจากฟ้า
[ พอดีเรามีเรื่องอยากจะปรึกษาน่ะ... เกี่ยวกับโปรเจกต์งานถ่ายภาพของเรา มันเกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์พอดี เลยอยากจะขอความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญหน่อย... ไม่รู้ว่าคุณหมออัญชิสาจะพอมีเวลาว่างให้คำปรึกษาศิลปินไส้แห้งคนนี้บ้างรึเปล่า :) ]
อัญชิสาอ่านข้อความนั้นซ้ำไปซ้ำมาสามรอบ เธอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว หัวใจของเธอพองโตขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล นี่มัน... เกินกว่าที่เธอคาดคิดไว้มาก
ฟ้ากำลังสร้างโอกาส... สร้างสะพาน... เพื่อให้เธอได้เดินข้ามไปหา
"ใครส่งอะไรมา ทำไมแกต้องทำหน้าเหมือนเห็นข้อสอบรั่วขนาดนั้น" มิ้นท์ชะโงกหน้าเข้ามาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
อิงยื่นโทรศัพท์ให้มิ้นท์ดูโดยไม่พูดอะไร
มิ้นท์อ่านข้อความนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองอิงด้วยแววตาที่ทั้งทึ่งและล้อเลียน "โอ้โห... เพื่อนเก่าแกคนนี้ไม่ธรรมดานะเนี่ย รุกหนักและฉลาดมาก! ใช้เรื่องงานมาอ้างแบบนี้ แกปฏิเสธไม่ได้แน่ๆ"
"ฉัน... ฉันควรจะตอบว่ายังไงดี" อิงถามเสียงสั่น เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กสาวอายุสิบห้าอีกครั้ง
"ก็ตอบไปสิว่าได้! จะรออะไรอยู่เล่า!" มิ้นท์พูดอย่างกระตือรือร้น "นี่คือโอกาสทองเลยนะอิง แกจะได้ใช้เวลากับเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องมานั่งเกร็งว่าจะคุยอะไรกันดี... แถมยังเป็นเรื่องที่แกถนัดอีกต่างหาก"
มิ้นท์มองลึกเข้าไปในดวงตาของเพื่อน "นี่อาจจะเป็นโอกาสที่แกจะได้แสดงให้เขาเห็นนะอิง... ว่าแกไม่ใช่คนเดิมที่เคยหนีเขาไปอีกแล้ว... แต่แกคืออัญชิสาคนใหม่ที่พร้อมจะเปิดใจและเรียนรู้โลกของเขา"
คำพูดของมิ้นท์ทำให้เธอตาสว่าง
ใช่... นี่ไม่ใช่แค่โอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับฟ้า แต่เป็นโอกาสที่เธอจะได้พิสูจน์ตัวเอง... พิสูจน์ว่าเธอเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
ความลังเลที่เคยมีในตอนแรกจางหายไป ถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้นและความมุ่งมั่นที่ชัดเจนขึ้น เธอรับโทรศัพท์คืนมาจากมิ้นท์ ก่อนจะพิมพ์ข้อความตอบกลับไปด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้น
[ ได้สิ... ด้วยความยินดีเลย ]
เธอจ้องมองข้อความนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้สึกว่ามันยังขาดอะไรไปบางอย่าง... ขาดความเป็นตัวของตัวเองที่เธอเพิ่งค้นพบ
เธอจึงตัดสินใจพิมพ์ประโยคสุดท้ายต่อท้ายไป... ประโยคที่แสดงถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเธอ
[ แต่ว่า... ค่าที่ปรึกษาขอเป็นกาแฟอร่อยๆ สักแก้วนะ :) ]
แล้วเธอก็ยิ้มออกมา... เป็นรอยยิ้มที่มาจากใจจริง... รอยยิ้มของอัญชิสาคนใหม่ที่พร้อมจะก้าวเดินบนเส้นทางที่หัวใจของเธอเลือกเอง