ตอนที่ 6 Part อดีต…เริ่มชอบเขาเข้าแล้วสิ
หนึ่งเดือนต่อมา
หลังจากวันนั้นที่แดนดินอาสาไปส่งฉันที่บ้าน ฉันก็มักจะได้เจอเขาทุกวัน ทั้งตอนอยู่โรงเรียนและหลังเลิกเรียนพิเศษ เขามักจะมายืนรอรถที่บ้านมารับเป็นเพื่อนฉันประจำ เขาพยายามที่จะเข้าหาฉันมากขึ้น ชวนฉันคุย ทั้งที่เขาเป็นคนคุยไม่เก่งแต่ก็หาเรื่องมาชวนคุยได้ตลอดเลย
จนเราเริ่มสนิทกันประมาณหนึ่ง ฉันเชื่อใจเขามากขึ้น กล้าสบตาเขามากขึ้น เลยยอมแลกช่องทางการติดต่อกันไว้เพื่อที่เขาจะได้ทักมาถามเรื่องที่เรียนไม่เข้าใจ เขาว่างั้นนะ และฉันก็เชื่อเขา
เขาโทรหาฉันทุกวัน แรก ๆ ก็โทรมาถามเรื่องการบ้าน หลัง ๆ เริ่มไม่ใช่ละ เขามักจะโทรมา หาเรื่องมาเล่าและชวนคุยนู่นนี่นั่นไปเรื่อย เราเริ่มคุยกันนานขึ้น จากสิบนาที เป็นครึ่งชั่วโมง จากครึ่งชั่วโมงเป็นหลายชั่วโมงต่อวัน
บางวันฉันต้องทำการบ้านและอ่านหนังสือ ไม่ว่างคุยกับเขาเพราะปีนี้ใกล้จะจบแล้ว ต้องเตรียมตัวในการสอบเข้าคณะแพทย์ แต่เขาก็ขอโทรไลน์มาหา เพื่อนั่งมองฉันอ่านหนังสือเงียบ ๆ
จนบางวันเขาก็นั่งหลับฟุบคาโต๊ะก็มี แรก ๆ ฉันก็เขินเหมือนกันนะ มีคนมานั่งจ้องกันขนาดนี้ แต่ตอนนี้ชักเริ่มจะชินแล้วล่ะ ชินแบบไม่รู้ตัวเลยว่าปล่อยให้เขาเข้ามาในพื้นที่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีฉันก็ "เริ่มชอบเขาเข้าแล้วสิ"
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ซึ่งวันนี้ฉันไม่มีเรียนเพราะติวเตอร์ติดธุระ ยกเลิกคลาสหนึ่งวัน ตอนนี้ฉันเลยได้มาเดินเล่นที่ห้างกับเขาแทน แล้วดูสภาพฉันใส่ชุดมาสิ กางเกงยีนส์ขายาวทรงกระบอก กับเสื้อยืดตัวโคร่งสีขาว ซึ่งมันไม่เข้ากับเขาเลยสักนิด เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าแขนยาวพับแขน ข้างในเป็นเสื้อยืดสีขาว ใส่คู่กับกางเกงยีนส์ขายาว เขาดูโตเป็นผู้ใหญ่มาก ไม่เหมือนเด็กในวัยเพียงสิบหกกว่าๆเลยสักนิด
นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่ฉันได้ออกมาเที่ยวเล่นกับเขาสองคนแบบนี้ มันก็แอบประหม่าและใจสั่นอยู่เหมือนกันนะ เพราะนี่คือครั้งแรกที่ฉันเคยมากับผู้ชายสองต่อสองแบบนี้
และทั้งวันนั้นเขาก็พาฉันไปกินข้าว และดูหนัง ฉันยื่นเงินให้ เขาก็ไม่เอา...นี่ฉันต้องให้เด็กมาเลี้ยงข้าว เลี้ยงหนังหรอเนี่ย (อมยิ้ม)
แล้วตอนนี้เขาก็กำลังพยายามตั้งหน้าตั้งตาคีบตุ๊กตาจากตู้คีบอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็พลอยให้ฉันลุ้นจนตัวโก่งไปด้วย
จนในที่สุดก็....
“กรี๊ดดดด ได้แล้วดิน ได้แล้ว” ฉันกระโดดตัวลอยอย่างดีใจ
“เยสสส…” เขาทำท่ากำมือกระทุ้งศอกไปด้านหลังพร้อมหันมาหาฉัน แล้วอุ้มฉันขึ้นหมุนไปมาจนตัวลอยจากพื้นอย่างลืมตัว พอได้สติเขาก็รีบวางฉันลงทันที
“เอ่ออ ดะ...ได้แล้วเนอะ” เขาว่าพร้อมเอามือลูบท้ายทอยแก้เก้อ แล้วหันกลับไปหยิบตุ๊กตาหมีตัวสีขาวผ้าพันคอสีชมพูขึ้นมา
"อะ ผมให้" ว่าแล้วก็ยื่นตุ๊กตาตัวนั้นมาให้ ฉันยังไม่ได้รับมา ทำเพียงแค่ยืนมองเขาอย่างอึ้ง ๆ เพราะไม่คิดว่าเขาจะให้ฉัน อุตส่าห์เล่นตั้งนานแหนะ
“ถึงมันจะไม่ได้เป็นของมีค่า มีราคาอะไรแต่ผมก็ตั้งใจคีบมาให้พี่เลยนะครับ” เขามองหน้าฉันสบสายตาสื่อความหมาย ว่าสิ่งที่เขาพยายามทำนั้นเพื่อฉันจริง ๆ ไม่ได้โกหก หรือเสแสร้งแกล้งทำแต่อย่างใด และฉันก็เชื่อเขาหมดทั้งใจ
“มีค่าสิ ทำไมจะไม่มีค่า เธอหมดเงินไปตั้งหลายบาทเลยนะกว่าจะได้น้องมา”
ฉันอมยิ้มแล้วพูดติดตลก ก่อนที่เราทั้งสองต่างมองหน้ากัน แล้วก็หัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่ฉันมีความสุขมากจริง ๆ โดยไม่เคยคาดคิดเลยว่าวันหนึ่งมันจะนำพาความทุกข์มาให้ฉัน อย่างสุดแสนจะสาหัสเช่นกัน....
"ขอบคุณนะคะ" พูดแล้วก็ยื่นมือไปรับมา แต่เขาดันไม่ยอมปล่อยมือจากตุ๊กตา และอยู่ ๆเขาก็พลิกมือเปลี่ยนมากุมซ้อนทับมือของฉันที่จับตุ๊กตาอยู่ ฉันจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา เม้มปากนิดๆด้วยความประหม่า
“พี่อิงฟ้าครับ” เขามองหน้าฉันนิ่งๆเงียบไปครู่นึง ก่อนจะพูดต่อ
“ผะ...ผม…ผมขอจับมือพี่ได้ไหม”
“....” ฉันไม่ได้พูดตอบอะไรไป ทำเพียงพยักหน้าเบาๆ แล้วก้มหน้างุด อมยิ้มอย่างเขินอาย ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ แล้วนำมืออีกข้างไปถือตุ๊กตามากอดไว้แทน
ฉัยเงยหน้าขึ้นไปมองเขาครู่นึงก็เห็นว่าเขากำลังมองหน้าฉันและอมยิ้มอยู่เช่นกัน
เสร็จจากตรงนั้นเขาก็จับมือฉันเดิน พาฉันมานั่งกินข้าวก่อนกลับ เนื่องจากตอนนี้ก็เย็นย่ำเป็นเวลาห้าโมงเข้าไปแล้ว
.
.
อีกฝากฝั่งของร้านตรงข้าม…
ในระหว่างนั่งกินข้าวอยู่นั้นสองหนุ่มสาวหารู้ไม่ ว่ามีสายตาหลายคู่กำลังจ้องมองมาที่เขาและเธออยู่
“แกๆ ยัยพอลลี่ ยัยแป้ง ยัยกิ๊ฟ แกเห็นเหมือนที่ฉันเห็นไหม” โบว์วี่พูดขึ้นพร้อมชี้มือไปทางร้านที่สองหนุ่มสาวกำลังกินข้าวกัน อยู่อีกฝั่งของร้านที่พวกเธอนั่งกัน
“หือออ/คุณพระ/อ๊ายยย” ทั้งสามคนเอามือปิดปาก พร้อมอุทานออกมาโดยพร้อมกัน อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
“กรี๊ดดด ยัยชีของเราจะขายออกแล้วหรอเนี่ย” กิ๊ฟพูดขึ้น ยิ้มจนตาหยี ดีใจกับเพื่อน
“เออ นั่นสิ! ฉันก็คิดว่าชาตินี้จะไม่ได้เห็นโมเมนต์แบบนี้ของยัยอิงแล้วซะอีก” แป้งพูดขึ้นพร้อมหันไปมองอีกฝั่ง แล้วยิ้มออกมาอย่างยินดี
“พรุ่งนี้ต้องมีซักฟอกกก” ทั้งโบว์วี่และพอลลี่ยิ้มกริ่มพูดขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะหันหน้ามามองกันโดยมิได้นัดหมาย
.
.
“อิ่มแล้วไปไหนต่อดีครับ หรือพี่อยากกลับบ้านเลย”
“อืมมม…ไม่รู้สิก็น่าจะกลับเลยแหละมั้ง”
“งั้นไปเดินย่อยกันหน่อยไหมครับ วันนั้นที่ขับรถผ่านหมู่บ้านพี่ ผมเห็นมีสวนสาธารณะด้วย อยากไปไหมครับ ถ้าพี่ไม่สะดวกเรากลับกันเลยก็ได้” เขามองฉันส่งสายตาปิ๊งๆมา
“.....” ฉันยังไม่ทันได้ตอบอะไร เขาก็ตีหน้าเศร้าแล้ว เด็กคนนี้นี่ ขยันอ้อนเสียจริง
“ค่ะ เอางั้นก็ได้ อยากไปเดินรับลมอยู่เหมือนกัน” พอเขาได้ยินฉันพูดแบบนั้น เขาก็ยิ้มออกมาจนตาหยี ต่างจากเมื่อกี้ริบลับ
“ดีใจขนาดนั้นเลย?” เพราะเห็นเขาอมยิ้มตลอดทางที่เดินมายังที่จอดรถ ฉันเลยอดที่จะถามไม่ได้ อย่าว่าแต่เขาเลยที่อมยิ้ม....ฉันก็แอบยิ้มอยู่เหมือนกัน
“ครับ ดีใจมากกกกก”
“ผมดีใจที่จะได้อยู่กับพี่ให้นานอีกนิด” เนี่ย! ละเขาก็ขยันหยอดให้ใจฉันสั่นอยู่เรื่อยเลย เด็กมันปากหวานอะ ใจฉันก็เหลวเป็นน้ำเลยสิทีนี้
